++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ฝันร้ายที่ผ่านพ้นกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง (บทความของการคาดคะเนอย่างมีเหตุผล)

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     8 ธันวาคม 2551 17:48 น.
รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง
       รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย
       คณะเศรษฐศาสตร์
       มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
      
      
      
      
"มนุษย์ แปลว่า ใจสูง
       หมายถึงมีจิตใจสูงกว่า สัตว์เดรฉาน เปรต ยักษ์ สัตว์นรก
       มนุษย์รู้จักรับผิดชอบชั่วดี รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ มิใช่ประโยชน์
       มีหิริโอตัปปะ ละอายเกรงกลัวต่อบาป"

                                                                         พระอาจารย์มิสูโอะ คเวสโก
      
      
1

      
       ฝันร้ายของประเทศไทยไ ด้ผ่านพ้นไปเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลอีก 2 พรรคคือพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย การทบทวนอดีตที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่วิญญูชนสมควรที่จะกระทำเพื่อให้ตนเองมีสติ สมบูรณ์
      
       มูลเหตุของการยุบพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็น “ตัวแทน” ของพรรคไทยรักไทยที่ได้ถูกยุบพรรคไปก่อนหน้านี้ มีที่มาจากนายยงยุทธ ติยะไพรัชซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ถูกศาลฏีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองตัดสินว่าได้กระทำผิดกฏหมายการเลือกตั้ง ทำให้พรรคที่ตนสังกัดอยู่ได้รับ ส.ส.เพิ่มขึ้น ซึ่งถือได้ว่าพรรคพลังประชาชนได้ประโยชน์และเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะที่มาของ ส.ส.จำเป็นที่จะต้องได้มาอย่าง ถูกต้อง เที่ยงธรรม สุจริต และปราศจากข้อสงสัย อันเป็นหลักการที่สำคัญของการเลือกตั้ง
      
       โดยข้อเท็จจริงแล้วนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ก็เป็น ส.ส.สัดส่วนในกลุ่มดียวกับนายยงยุทธ ติยะไพรัชที่กระทำผิด หากมีสำนึกรู้จักผิดชอบชั่วดีก็ย่อมตระหนักได้ว่าที่มาของตนเองไม่ถูกต้อง ไม่เที่ยงธรรม ไม่สุจริต และมีข้อสงสัย ทำไมจึงยังประสงค์ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันเป็นตำแหน่งที่มีความส ำคัญ เช่นเดียวกับ ส.ส.คนอื่นๆในพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล ทำไมจึงไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีรับรองให้เข้าสู่ตำแหน่ง ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญก็ให้ความคุ้มครองเปิดช่องไว้ว่าการออกเสียงในวาระดังกล่ าวสามารถทำได้โดยอิสสระไม่สามารถนำเอามติพรรคมาบีบบังคับได้
      
       หากจะย้อนนึกไปถึงห้วงเวลาก่อนหน้านี้ สมัคร สุนทรเวช กล่าวไว้ว่าตนเองเป็น “ตัวแทน” ของทักษิณ ชินวัตรที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจากการยุบพรรคไทยรักไทย การเป็นตัวแทนเป็นสิ่งเสียหายตรงไหน ตรรกที่อ้างก็คือ บริษัทต่างชาติที่แสร้งว่าเป็นบริษัทสัญชาติไทยเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไ ทยก็ใช้วิธี “ตัวแทน” เข้ามาถือหุ้นเช่นเดียวกับที่ตนทำทั้งนั้น
      
       ดังนั้นนักการเมืองทั้งในพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลจึงมีบุคค ลที่เป็นตัวแทนเพราะ ถ้าสามี ภรรยา หรือ ลูก ถูกบล็อกก็ต้องหาคนมาเป็นตัวแทน กรรมการบริหารพรรคก็จะไม่เป็นแกนนำหรือ ส.ส.อีกต่อไป มาตรา 237 ในรัฐธรรมนูญฉบัพ.ศ.2550 จึงเป็นสิ่งเลวร้ายที่ทำให้ตนต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง โดยหามีความละอายต่อความชั่วไม่ว่า การเมืองมิใช่เรื่องธุรกิจที่จำเป็นต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพ หากแต่เป็นเรื่องของการอาสาเข้ามาทำเรื่องดีๆให้กับประเทศ หากจะไม่โกงการเลือกตั้งทำไมต้องเตรียม “ตัวแทน” เอาไว้ล่วงหน้า
      
       การซื้อเสียงเพื่อให้นักการเมืองได้รับการเลือกตั้ง อันเป็นวิธีการหนึ่งที่นักการเมืองใช้มานานจนเกิดความเคยชิน จึงเป็นความผิดที่ร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 เพราะเป็นการบ่อนทำลายไม่ให้ประชาธิปไตยพัฒนาขึ้นมาเป็นประชาธิปไตยที่แท้จร ิงและก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศ เนื่องจากนักการเมืองเมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วก็มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ด้วยวิธีก ารที่ไม่ชอบ โดยไม่มีความละอาย เพื่อเตรียมไว้ใช้ในการเลือกตั้งต่อไป อันเป็นวงจรเลวร้ายไม่มีที่สิ้นสุด
      
       ก ารเมืองที่เป็นธุรกิจเลี้ยงชีพ และเข้าสู่ตำแหน่งอย่างเคยชินด้วยการซื้อเสียงจึงเป็นต้นเหตุของปัญหาบ้านเม ืองมาโดยตลอด แต่ที่เป็นปัญหาจนกลายเป็นวิกฤตในปัจจุบันก็เพราะสัดส่วนนักการเมืองที่ไม่ซ ื้อเสียงมีน้อยลง ทำให้คนดีมีอยู่ในวงการเมืองน้อยลงและคนดีที่อยู่นอกการเมืองก็ไม่ประสงค์จะ เข้ามาร่วมแปดเปื้อนด้วย ปรากฏการณ์ของคนไม่ดี คนไม่มีคุณภาพ มาเป็นผู้บริหารประเทศจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
      
       
      
      
2

      
       ศาลรัฐธรรมนูญในชุดปัจจุบันอาจกล่าวได้เป็น “เสาหลัก” ของการเมืองการปกครองไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ว่าได้
      
       นอกจากกรณี สมชาย วงศ์สวัสดิ์แล้ว สมัคร สุนทรเวช ก็ถูกถอดออกจากตำแหน่งนายกฯเพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไทยไม่เสียทีในกรณีประสาทพระวิหารก็เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่หรือ
      
       ยิ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ สภาผู้แทนแล้ว จะเห็น สวรรค์กับนรกชัดเจนขึ้นว่าองค์กรใดสามารถเป็นที่แก้ไขปัญหาให้กับชาติบ้านเม ืองได้มากกว่ากัน และที่ทำให้แตกต่างก็เพราะคนที่อยู่ในองค์กรใช่หรือไม่
      
       ศาลรัฐธรรมนูญมิใช่เพิ่งมีในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หากแต่มีมาก่อนหน้านี้แล้วในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 ที่มีผลงานเด่นที่เป็นโบว์ดำ เช่น การตัดสินที่อื้อฉาวที่ทำให้ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิดจากข้อหาซุกหุ้น หรือ การขึ้นเงินเดือนให้กับตนเองจนเป็นตัวอย่างให้กับองค์กรอิสระอื่นๆทำตาม การที่ศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันมีผลงานดีขึ้นผิดหูผิดตาก็อาจจะเนื่องมาจากกร ะบวนการคัดคนที่จะมาเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญที่ได้ปรับปรุงให้ดีกว่าที่มีอยู่ เดิมในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 เนื่องจากไม่ได้ฝากไว้กับวิจารณญาณของฝ่ายการเมืองในการคัดเลือกตุลาการเพรา ะเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าใช้ไม่ได้ ไม่ทำผิดซ้ำซาก
      
       สมควรคารวะกับตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่าน ได้แก่ 1.นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 2.นายจรัล ภักดีธนากุล 3.นายจรูญ อินทจาร 4.นายเฉลิมพล เอกอุรุ 5.นายนุรักษ์ มาประณีต 6.นายบุญส่ง กุลบุปผา 7.นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ 8.นายสุพจน์ ไข่มุกด์ 9.นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี มา ณ ที่นี้
      
       
      
      
3

      
       ห ากมองให้ทั่วทั้งป่าจะเห็นภาพป่าในปัจจุบันได้ชัดเจนว่า ประชาชนน่าจะมีโอกาสเป็นประชาชนที่มีสิทธิ์มีเสียงก็ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับพ. ศ.2550 เพราะมิได้ถูกผูกขาดตัดตอนอำนาจไปอยู่ในมือของนักการเมืองแต่ฝ่ายเดียว
      
       หากจะเปรียบเทียบระหว่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 และ 2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะเห็นว่า ข้อดีของรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2550 น่าจะมีมากกว่า ฉบับพ.ศ.2540 แม้ว่าที่มาจะมีผู้กล่าวหาว่ามาจากเผด็จการก็ตาม แต่ปัญหามิใช่มาจากใคร เ พราะจะมีประชาธิปไตยที่ไหนบ้างที่มิได้มาจากเผด็จการ เพราะเผด็จการถ่ายโอนอำนาจให้ประชาชนมิใช่หรือจึงเป็นประชาธิปไตยได้ เนื้อหาและการปฏิบัติโดยชอบธรรมต่างหากที่สำคัญมากกว่าที่มา
      
       ทักษิณ ชินวัตร สามารถรวบอำนาจทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหารเข้ามาด้วยกันก็เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 แทรกแซงองค์กรอิสระได้ก็เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 อาจกล่าวได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับโปรดเลยก็ว่าได้ แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 จะเป็นไปในทางตรงกันข้ามแทบทั้งสิ้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดใจใดเลยที่ “ตัวแทน” ของเขาคนแล้วคนเล่าที่พยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ด้วยข้ออ้างต่างๆนาๆ แต่ผู้เขียนพอจะมองออกจากการมีชีวิตอยู่นานว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา”
      
       อะไรที่นักการเมืองเลวไม่ชอบนั่นแหละคือสิ่งดี
      
       การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการกลับมาส ู่อำนาจอีกครั้งของ ทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ผู้ที่อาสาเป็น พระยาจักรี ผู้เปิดประตูเมืองให้พม่าคือ เหวง โตจิราการ ที่เสนอให้ “ล้มล้าง” รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 เพราะมิใช่เป็นแต่เพียงการแก้หรือปรับปรุงบางมาตรา หากแต่เป็นการตัดทุกหมวดของฉบับ พ.ศ.2550 และทดแทนด้วยหมวดที่คล้ายกันของฉบับ พ.ศ.2540 เป็นความแยบยลเพราะแทนที่จะเสนอให้แก้มาตราที่หลายฝ่ายเฝ้ามอง ไม่ว่าจะเป็น มาตรา 190 หรือ 237 หรือ 309 ก็ ลับ ลวง พราง โดยแก้มันทั้งหมดโดยอาศัยฉบับ พ.ศ.2540 เสียเลย มาตราดังกล่าวข้างต้นก็จะถูกแก้โดยปริยายเพราะเดิมไม่มีอยู่ ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นการแก้ไขเพราะการแก้ไขน่าจะหมายถึงยังคงมีของเดิมหลง เหลืออยู่เป็นส่วนใหญ่ และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการไม่มีหมวดว่าด้วยองคมนตรีเอาไว้ ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการลิดรอนพระราชอำนาจในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
      
      
4

      
       เหวง โตจิราการ เคยเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ของพรรคคอมมูนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต ซึ่งในปัจจุบันหน้าตาของคอมมูนิสต์แท้แบบ “คาร์ล มาร์ก” อาจไม่มีให้เห็นอีกแล้ว แต่รากเหง้ายังคงอยู่คือต ้องการโค่นล้มศักดินา แต่อาจมิได้ด้วยปากระบอกปืนแต่เป็นการเข้าร่วมกับระบอบทักษิณ พร้อมด้วยสหายที่ออกมาจากป่าด้วยกันและนักวิชาการบางส่วน ชูธงรักษาประชาธิปไตยโดยไม่ได้ดูว่าประชาธิปไตยที่ตนเองต้องการปกป้องรักษาน ั้นมาจากการซื้อเสียงหรือไม่ ทำตัวเหมือนเป็นพวกก้าวหน้า (จอมปลอม)
      
       หากสมมติด้วยสี ความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลือและเสื้อแดงจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความขัดแย ้งมิได้เกิดเฉพาะทักษิณ ชินวัตรแต่เพียงจุดเดียว ห ากแต่ลุกลามเกิดเป็นขบวนการ “ล้มทุน ล้มปืน และล้มเจ้า” ในหลายรูปแบบและหลากหลายช่องทาง และก่อให้เกิดการวิพากษ์เสื้อเหลืองโดยไม่วิพากษ์เสื้อแดงภายใต้แนวคิดของกา รสมานฉันท์หรือความเป็นกลางกลวง พยายามตั้งเป็นโจทย์ที่ยัดเยียดให้สังคมต้องเลือกระหว่าง ทุนนิยม (แม้สามานย์ ) กับ (ก็ดีกว่า) อำมาตยาธิปไตย (ที่ล้าหลัง)
      
       โดยข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ หลายๆประเทศก็มีความเจริญก้าวหน้าทันโลกได้โดยเลือกทั้งสองพร้อมกันก็ได้ เช่น หลายประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร หรือ สเปน เป็นต้น ทำไมต้องไปเลือกทางหนึ่งและทำลายอีกทางหนึ่ง ทำไมต้องมีประมุขเป็นประธานาธิบดี มันดีกว่าปัจจุบันอย่างไร เหล่านี้เป็นคำถามที่อดีตสหาย นักวิชาการ ที่ทำตัวเหมือนเป็นหัวก้าวหน้าไม่พยายามจะตอบต่อสังคม
      
       พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ หรือสิ้นคิดที่จะไม่รู้ว่าก ารสนับสนุนทักษิณ ชินวัตรทั้งที่ถูกศาลตัดสินว่าฉ้อฉลอย่างชัดเจนนั้นขาดเหตุผลและความชอบธรรม แต่ที่ทำก็เพราะต้องการอาศัยระบอบทักษิณและทุนนิยมมาทำลายศัตรูของตน
      
       การเผยแพร่แนวคิดโดยนักวิชาการบางส่วนที่เป็นเหมือนยาพิษแทรกซึมไปเรื่อยๆจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับสังคมนี้อ ย่าลืมว่านักการเมืองปัจจุบันก็เคยเป็นลูกศิษย์นักวิชาการมาก่อน บางทีอาจมิใช่สั่งสอนแล้วไม่จำ แต่อาจเป็นสั่งสอนแล้วมันจำได้ดีเกินคาดก็เป็นได้
      
      
5

      
       การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองที่มีการนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ หรือปรากฏการณ์ข้างต้นที่กล่าวมา อาจมีคำอธิบายนอกเหนือจากสมมติฐาน “ตาปะเขียว” เข้าแทรกในฝันของ เปลว สีเงิน ซึ่งก็คือ การคาดคะเนอย่างมีเหตุผล (rational expectation)
      
       การเปลี่ยนจากขั้วการเมืองเดิมของพรรคร่วมรัฐบาลเกือบทุกพรรคและกลุ่ มของนายเนวิน ชิดชอบอาจมิได้มาจาก เงิน หรือ ตำแหน่งเป็นสำคัญ เพราะไม่ว่าจะเป็นขั้วใดก็ต้องอาศัยเสียงของตน ทำให้สามารถเรียกร้อง เงิน หรือ ตำแหน่งได้อยู่แล้ว แ ต่ทุกคนที่เปลี่ยนขั้วน่าจะมีการคาดคะเน (ไปในอนาคต) อย่างมีเหตุผลว่า การร่วมทำผิดซ้ำสามกับพรรคตัวแทนของทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะชื่อใดก็ตามจะไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนในอนาคต เพราะขาดความชอบธรรม หากจะอยู่ต่อก็ต้องไม่ทำผิดซ้ำอีก แม้แต่ภาคธุรกิจก็คาดคะเนเช่นเดียวกันดังจะเห็นจากคำแถลงให้เปลี่ยนขั้วเมื่อเร็วๆ นี้
      
       ในทางตรงกันข้าม ทักษิณ ชินวัตร และ พจมาน ดามาพงศ์ กลับคาดคะเนอย่างไม่มีเหตุผล พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ยอมรับกติกาใดที่มีผลในทางลบกับตนเอง คิดว่าเงินเป็นใหญ่สามารถซื้อทุกสิ่งได้ ทั้งที่การได้รับโทษจำคุกคนละ 2 หรือ 3 ปีนั้นก็เป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนมิใช่หรือว่าเงินไม่ใช่ทุกสิ่ง ก ารทำผิดซ้ำอยู่เรื่อยๆ ไม่เรียนรู้จากอดีตและข้อมูลปัจจุบัน การไม่รู้ถึงผิดชอบชั่วดี และไม่ละอายต่อบาปนั้นจึงไม่ส่งผลดีต่อความเป็นมนุษย์ของตนเองเลย
      
       รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ที่เกิดจากการเปลี่ยนขั้วท างการเมืองจึงมีหน้าที่ที่จะต้องสลาย ขบวนการ “ล้มทุน ล้มปืน ล้มเจ้า” ทั้งในเชิงองค์กรและเครือข่ายให้หมดพิษสงไปโดยเร็ววัน เพราะนี่คือต้นตอของ “ฝันร้าย” ของประเทศนี้ และทำให้เกิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มิเช่นนั้นแล้ว ประเทศนี้จะไม่สามารถ “สร้างชาติ” และสร้างสรรค์ฟื้นฟูสิ่งดีงานทั้งหลายทั้งปวงให้กลับคืนสู่สังคมไทยได้เลย
      
       เ พื่อการนี้ “การปฏิรูปสื่อ” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่รัฐบาลใหม่จะต้องรีบเร่งดำเนินการ โดยเร็ววัน ก่อนที่ “ฝันร้าย”จะกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง
      
       (บทความนี้เป็นความเห็นของผุ้เขียน ไม่เกี่ยวกับต้นสังกัด)

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000144705

สรุปเร็วไปครับท่านอาจารย์ ฝันร้ายมันยังไม่หายไปง่าย ๆ หรอกครับ เหตุ-ปัจจัยมันยังอยู่ครบ

1. ไม่กี่วันก่อนไม่ใช่เพราะนักการเมืองแบบบรรหาร แบบเนวินหรือครับ ที่ทำให้บ้านเมืองมันเกิดวิกฤต ทำไมวันนี้ถึงคิดว่า เขาจะเปลี่ยนอะไรกันง่าย ๆ สันดานของคนนะครับ ไม่ใช่นิสัยที่พอจะเปลี่ยนกันได้ พรรคการเมืองไทยผมบอกไว้เลยว่า มันมีอยู่ 2 พรรค คือ "พรรคเลวมาก" กับ "พรรคเลวมากกว่า" จะสลับกันอยู่ในสองพรรคนี้ ขึ้นอยู่กับว่า พรรคไหนเป็นรัฐบาลพรรคนั้นก็จะเป็นพรรคที่เลวมากกว่า เพราะจะมีโอกาสขึ้นไปโกงกิน พรรคที่เหลือก็รอที่จะขึ้นไปโกงกิน เราจึงเห็นการเปลี่ยนขั้วมั่วไปหมด เหมือนอย่างบรรหารกับเนวิน นั่นแหละคือ ตัวอย่างนักการเมืองที่ไหลไปได้ทุกที่

2. ที่คาดหวังกันว่า เปลี่ยนเป็นประชาธิปปัตย์แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้น ก็คิดกันง่ายไปหน่อย ลองไปดูประวัติของกำลังทัพที่หนุนมาร์คเป็นนายก ฯ ซิครับ ไม่ว่า จะเป็นเทพเทือก บรรหาร เนวิน และอาจจะเสนาะอีกด้วย แต่ละคนประเภทเชื้อชั่วตายยาก ระดับไวรัสกลายพันธ์ทั้งนั้นครับ ด้วยกำลังความดี (ถ้ามีอยู่จริง) ของนายมาร์ค ต้องอาศัยบารมีคนชั่ว มันก็คงไปไม่ได้อย่างที่ฝันกันหรอกครับ

3. เราเคยสังเกตอะไรบ้างไหมว่า เรื่องคดีความต่าง ๆ ถ้าเป็นคดีความของคนที่ขึ้นมามีอำนาจรัฐแล้ว คดีมันจะอืดอาดจนเหมือนแทบจะหมดอายุความกันทีเดียว ถ้าไม่เชื่อ ให้คอยจับตาดูกรณีเนวิน ถ้าคดีที่เข้าสู่ศาลแล้วก็คงอีกไม่นานคงเห็นผล แต่ถ้ายังเราจะเห็นเกมการเมืองของคนชั่วที่ฟอกตัวเป็นคนดี ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็หนีวังวนเดิมไม่พ้น ที่นักการเมืองจะเป็นคนชั่วกลุ่มเดิม ยังคงลอยนวลกันอย่างสบายใจ

4. เหตุ-ปัจจัยต่าง ๆ ที่ผมบอกว่า อยูุ่่ครบ นั่นคือ ประชาชนที่จะมาเลือกตั้ง แต่ก่อนผมเข้าใจว่า เหตุที่ยังมีคนสนับสนุนไอ้หน้าเหลี่ยม เพราะเขาขาดข้อมูล ไม่มีข่้่าวสารว่า ไอ้เหลี่ยมและแก็งค์มันโกง แต่ทุกวันนี้มั่นใจว่า ไม่ใช่ ชาวบ้านและคนมีความรู้ มีการศึกษา รู้กันหมดว่า ไอ้เหลี่ยมมันโกง แต่คิดแบบมักง่าย เห็นแก่ตัวว่า "โกงไม่เป็นไร ถ้าทำให้ชีวิตดีขึ้น" ตรรกะแบบผิด ๆ อย่างนี้ มันซึมซับเข้าไปในชีวิตประจำวัน จนมาตรฐานจิตใจคนมันต่ำลงทุกคนเห็นการโกงเป็นเรื่องปกติ ลองถามกลับว่า โกงไม่เป็นไร นะโกงใคร คงไม่ใช่โกงเงินของตัวเองแน่ ก็เหลืออย่างเดียว คือ โกงเงินของชาติ ความคิดอย่างนี้ มีแต่คนที่ไม่รักชาติ รักแผ่นดินเท่านั้นที่คิดได้ เพราะฉะนั้น การซื้อสิทธิ์ ขายเสียง จึงยังคงเหมือนเดิม ทุกอย่างจึงรอเวลาของมัน

5. นักการเมืองกเฬวรากที่มาร่วมรัฐบาลก็ย่อมรู้ดีว่า พฤติกรรมของประชาชนที่สิ้นคิดเหล่านี้ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้พรรคอย่างประชาธิปปัตย์เอง ในที่สุดก็จะไปไม่รอด โดยเฉพาะสถานการณ์ทุกวันนี้ มันเป็นเรื่องของการต่อสู้ของคนในแต่ละภาค เรียกได้ว่า ภาคใต้ไม่เอาทักษิณ แต่ภาคเหนือ ภาคอีสาณ และภาคกลางส่วนใหญ่จะเอาทักษิณ ในที่สุดถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งไม่น่าจะอีกนานวัน คนพวกนี้ก็จะกลับมาอย่างเดิม กลไกและกลโกงนั้น มันไม่ยากสำหรับคนชั่ว เอาแค่ง่าย ๆ ต่อไปถ้ามีการยุบพรรค เราจะไม่เห็นคนพวกนี้เป็นกรรมการบริหารพรรคอีก กฏหมายนั้นมีช่องโหว่สำหรับคนชั่วตลอด

6. เรื่องการคาดคะเนนั้น ผมก็ไม่เชื่อว่า มีเหตุผลอะไรมากไปกว่า ผลประโยชน์ของใครแต่ละคน กรณีไอ้ห้อย ไม่ใช่ว่า สำนึกผิดอะไร แต่นี่คือ ความสามารถเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ ที่จะสามารถสร้างค่า สร้างราคา และเปลี่ยนสีได้ และคนแบบนี้จะอาศัยสถานการณ์สร้างประโยชน์ เสริมกำลังให้ตนเองไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งคุณอาจจะเห็น "ไอ้ยี้ห้อย" นี่แหละเป็น "นายก ฯ " ส่วนนักธุรกิจก็ไม่แน่ คงต้องไปดูให้ละเอียด เพราะอาจจะกลายเป็นว่า ขั้วที่ผ่านมานั้น ตนเองไม่ได้รับประโยชน์ เพราะถูกผูกขาดอำนาจโดยฝ่ายทรราช

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเกมการเมืองที่ยังอยู่อีกยาว นักการเมืองก็คนเดิม ประชาชนก็ยังคิดแบบเดิม จะสรุปว่า ฝันร้ายผ่านไป มันก็ง่ายไปหน่อย ถ้าอยากจะโกหกตัวเองกันต่อไป ก็หลับกันต่อไป

สุดท้ายนี้ ผมมีเรื่องฝากทุกท่านที่ยังคิดดี ทำดี ให้หลีกเลี่ยงสิ่งอัปมงคลในชีวิตที่สำคัญอยู่อย่าง คือ "อย่าเป็นหนี้บุญคุณคนชั่ว" ถ้าใครเป็นหนี้บุญคุณคนชั่วแล้ว โอกาสที่จะเจริญเป็นไปได้ยาก เพราะธรรมดาของคนชั่ว ทำอะไรย่อมหวังผลเพื่อตัวเองเท่านั้น และคนอย่างนี้ย่อมที่พร้อมจะลำเลิกและทวงบุญคุณได้ตลอดเวลา และการทวงบุญคุณส่วนใหญ่ก็มักจะให้ทำในสิ่งที่ชั่วตามสันดานของคนชั่วนั่นแห ละ นอกจากนี้การที่ไปวานขอความช่วยเหลือจากคนชั่ว ก็เหมือน "คบคนชั่วเป็นมิตร" แล้ว ย่อมนำพาไปสู่ความหายนะได้ แต่ถ้าเป็นหนี้บุญคุณกับคนดีแล้ว แทบจะไม่มีปัญหาเพราะคนดีนั้น ทำดีกับคนโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ใต้บาทพระนเรศวร

1 ความคิดเห็น: