++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Taxi สนามบินสุวรรณภูมิมอมยาผู้โดยสาร

เรื่องเล่าที่มีการส่งต่อ ๆ กัน เกี่ยวกับวิธีการของคนขับรถ Taxi ที่จะมอมยาผู้โดยสาร เพื่อนๆ
ทุกคนคงคุ้นตา ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะคิดเสมอว่าคนขับคงต้องถูกมอมด้วยยาที่ตนเองใช้ด้วย เนื่องจากนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน


แต่แล้วผมก็ต้องเชื่อเมื่อเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับญาติผู้น้องของผมเอง เมื่อเธอนั่งรถ Taxi กลับ
จากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยผ่านการเรียกของศูนย์การขนส่งสาธารณะ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อราว 23.00น. ของวันที่ 20 ก.ค.52 (เมื่อวานนี้เอง) ความจริงเราทุกคนเชื่อว่ารถ Taxi ที่เรียกอย่าง
ถูกต้องมีการลงประวัติเรียบร้อยโดยเจ้าหน้าที่ของทางการท่าอากาศยานไม่น่าจะกล้า หรือมีพฤติกรรม
ประสงค์ร้ายกับผู้โดยสาร ผมได้แนบสำเนาเอกสารการรับบริการใช้รถ Taxi หรือที่เรียกว่าตั๋ว มา
พร้อมกับเมลล์ฉบับนี้ ซึ่งญาติผู้น้องของผมส่งมาให้

เหตุการณ์ที่ไม่ปกติเกิดขึ้นเมื่อ นายองอาจ อุนา ขับรถ Taxi ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยญาติผู้น้องของผม แจ้งให้ไปส่งที่อพาร์ทเมนท์ ใกล้มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 โดยนั่งอยู่ด้านหลัง เธอ เล่าว่าสังเกตุเห็น นายองอาจใช้มือข้างเดียวจับพวงมาลัย ส่วนมืออีกข้างล้วงเอาสิ่งของในกระเป๋าเสื้อเป็นเวลานานพอควร (ผมเข้าใจว่า มันต้องการเปิดขวดที่บรรจุสารระเหยสำหรับมอมยาผู้โดยสารที่อยู่
ในกระเป๋าเสื้อและป้ายที่มือ จากนั้นต้องพยายามปิดฝาขวดเพื่อไม่ให้สารระเหยออกมาจากขวดมากเกินไป จึงทำให้ใช้เวลาล้วงกระเป๋าเสื้ออยู่เป็นเวลานาน) หลังจากนั้นได้นำมือข้างที่ล้วงกระเป๋าเสื้อมาบังช่องลมของแอร์ และเปิดเร่งแอร์ให้ลมพุ่งมายังคนนั่งด้านหลัง เพื่อให้สารระเหยส่งผลต่อผู้โดยสารโดยเร็ว

โชคของญาติผมยังดีที่ได้เคยอ่านเรื่องราวคล้ายคลึงกันนี้จากทางอินเตอร์เน็ต ทำให้ฉุกคิด และ เอาผ้ามาปิดจมูกพร้อมทั้งพยายามหายใจเพียงเล็กน้อย โดยนายองอาจพยายามชวนญาติผมคุย และมือยังคงบังที่ช่องลมโดยตลอด ซึ่งญาติผมพยายามไม่พูดคุยเพื่อไม่ให้สูดอากาศเข้าไปมาก แต่ในที่สุดก็รู้สึกมึนงง จึงบอกให้แท็กซี่รายนี้จอดรถที่ 7-11 โดยอ้างว่านายองอาจ ขับรถแล้วทำให้เธอเกิดอาการมึน แท็กซี่รายนี้ยังถามกลับว่ามึนมากหรือไม่ และไม่ยอมจอดรถตามที่ผู้โดยสารแจ้ง โดยอ้างว่าอีกไม่นานจะถึงจุดที่ระบุไว้ แต่ญาติผมรู้สึกตัวว่าสติค่อยๆ ลดลง จึงขู่ว่าหากแท็กซี่รายนี้ไม่จอดจะอาเจียนใส่รถ ทำให้นายองอาจต้องยอมจอดรถที่หน้า 7-11 แต่ได้มีการแสดงอาการไม่พอใจ และพูดจาไม่สุภาพกับเธอว่า ทำให้นายองอาจขาดรายได้ และไม่ได้เงินตามระยะทางที่ควรได้ตามที่แจ้งไว้ที่ศูนย์การขนส่งสาธารณะ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อญาติผมลงจากรถ และรีบเดินเข้า 7-11 ก็กดโทร ศัพท์หาแม่ของเธอเอง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งหาซื้อน้ำมาดื่มเพื่อให้สติฟื้นกลับมาโดยเร็ว แต่เมื่อมองออกนอกร้านก็พบว่านายองอาจยังคงจอดรถรออยู่หน้าร้านทำให้เธอกลัวจนต้องรออยู่ภายในร้าน และใช้เวลาอีกประมาณ 15 - 20 นาที นายองอาจจึงขับรถออกไป
อยากขอฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์กับเพื่อนๆ นะครับ หากหวังว่าจะช่วยกันส่งต่อเพื่อป้องกันไม่ให้
เกิดเรื่องที่น่าเศร้ากับคนรอบข้างที่เรารักนะครับ เพราะผมเชื่อว่าเมลล์อาจจะช่วยใครบางคนได้เหมือน
ที่ช่วยญาติของผมคนนี้ไว้

รายละเอียดของแท็กซี่อันตราย

ผู้ขับขี่ นายองอาจ อุนา
ทะเบียนรถ มง.9207
โทรศัพท์ 087-0611679

ปล.ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์การขนส่งสาธารณะ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่โทรไปแจ้งเรื่อง ได้รับคำตอบว่าต้องทำจดหมายร้องเรียนพร้อมแนบตั๋วเหมือนกับที่แนบมากับเมลล์นี้ ทางศูนย์จึงจะดำเนินการกับคนขับรถแท็กซี่ได้ และหากอยู่ใกล้โรงพยาบาลต้องให้ทางโรงพยาบาลทำการตรวจสารพิษในร่างกาย เพื่อเป็นหลักฐานในการฟ้องตำรวจ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะตรวจหาสารพิษเจอหรือไม่หากทำตามคำแนะนำ เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าคนขับรถรายนี้มีสติดีอยู่ตลอดเวลาที่่พยายามมอมยาญาติผม

2 ความคิดเห็น:

  1. นี่ไม่ใช่รายแรกเมื่อ๑๙ตุลาคม๒๕๕๓เวลา๒๐.๓๐น.ลูกชายดิฉันก็โดนลักษณะเดียวกันเลยทั้งๆที่มากัน๒คนกับภรรยาแต่เมื่อไปแจ้งความตำรวจเขาก็จะบอกว่าเอาผิดไม่ได้ความผิดยังไม่เกิดคือพูดง่ายคนร้ายประเทนี้ก็จะลอยนวลต่อไปหมายเลขทะเบียนแท๊กซ๊ม.จ.๓๖๗๓ คนขับแกล้งขับออกนอกเส้นทางทั้งๆที่ให้ไปส่งที่ราษฏ์บูรณะกลับพาออกไปบางนาไม่ยอมขึ้นทางด่วนแต่ลูกชายก่อนเกือบจะหมดสติได้พยายามโทรมาหาดิฉันและแจ้งทะเบียนรถดิฉันเลยจะให้รถขับตามไปทั้งที่เราไปคนละทางคือเราไปเชียงใหม่มาด้วยกันแต่แยกกันกลับเพราะอยู่คนละที่อยากบอกว่าผิดหวังกับความรับผิดชอบของสนามบินและแม้ตำรวจที่ไม่รับแจ้งถ้าเรายังไม่เสียหายแทนที่อย่างน้อยจะติดตามหรือตักเตือนหรือตามรถมาคุยกันอย่างน้อยจะได้ทำให้คนร้ายเกิดการหวาดกลัวกับการทำผิดแต่ดูๆๆแล้วเหมือนตำรวจจะรอให้เราตายหรือถูกปล้นหมดตัวแล้วค่อยมาแจ้งความอนาถกับการทำงานทั้งของเจ้าหน้าที่สนามบินและตำรวจจริงๆๆ

    ตอบลบ
  2. อ้อขอต่ออีกนิดนี่ถ้าคนขับแท๊กซี่เกิดกลัวเราจะตามก็คงได้เอาลูกชายดิฉันไปถีบส่งแถวไหนแล้วไม่ดิฉันต้องบอกลูกชายแหละว่าจะเรียกตำรวจมันถึงได้ยอมขึ้นทางด่วนมาและไม่ได้ส่งยังที่หมายลูกชายกับภรรยาต้องเข้าร้านเซเว่นซื้อน้ำมาล้างหน้าและอาเจียนออกมาเราถึงได้ไปถึงและพาส่งบ้านยังงั้นลูกชายก็ต้องลางานอีกวันเพราะไม่มีแรงแท็กซี่ทำเหมือนกันคือทำไปหมุนอะไรตรงช่องแอร์นั่นแหละพวกนี้เลวมากคิดว่าคนมาสนามบินต้องมีตังอย่างน้อยกล้องถ่ายรูปมือถือก็คงพอได้อยู่ปัญหานี้มีมานานไม่เห็นจะมีใครแก้ไขเป็นทุกรัฐบาลหรือมีคนใหญ่หนุนหลังหรือตำรวจเอาแต่ตั้งด่านไถรถง่ายกว่าไล่จับคนร้ายเสียดายเงินที่เสียภาษีจัง

    ตอบลบ