โครงสร้างภาพรวมเรื่องกรรม มีความเป็นมาหลายยุคหลายสมัย เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งจุดกำเนิดอย่างจริงจังและระยะเวลาการสืบทอดดำรงคำสอนสืบต่อกันมาทางฝ่าย พระพุทธศาสนานั้น แบ่งออกเป็น 2 ยุค คือ
ยุคสมัยพุทธกาล นับจากวันตรัสรู้ธรรม ทรงค้นพบเรื่องราวความเป็นจริงของทุกชีวิตว่า เว้นจากพระพุทธองค์แล้วทุกหมู่สัตว์ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม และเพราะอาศัยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสั่งสอนหมู่สัตว์ให้รู้แจ้ง จึงเป็นจุดกำเนิดความรู้เรื่องกรรมอย่างจริงจัง ซึ่งจากการศึกษาเรื่องราวที่ปรากฏในพระไตรปิฎก พบว่าทรงจำแนกกรรมออกมาในลักษณะการให้ผลของกรรมตามกาล เพราะประสงค์ให้เห็นว่าการให้ผลของกรรมนั้นยาวนาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 วาระ คือ
วาระที่ 1 ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม วาระการให้ผลกรรมในอัตภาพปัจจุบัน คือ อัตภาพในชาตินี้ เช่น มนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น กรรมจะให้ผลในอัตภาพปัจจุบันทันทีหลังจาก ที่ทำ เช่น อาชญากรทั้งหลายที่ถูกจับตาย หรือผึ้งหลังจากต่อยแล้วตัวเองก็ตายทันทีเหมือนกัน ฉะนั้น เมื่อทำกรรมแล้ว ผลของกรรมจะเริ่มนับหนึ่งที่ปัจจุบันชาติแล้วก็ส่งผลต่อๆ ไป
วาระที่ 2 อุปปัชชเวทนียกรรม วาระการให้ผลกรรมในอัตภาพหน้า คือ อัตภาพใหม่หลังจากละโลก เช่น อัตภาพปัจจุบันเป็นมนุษย์ เมื่อละโลกไปบังเกิดเป็นเทวดา อัตภาพเทวดาคืออัตภาพใหม่
วาระที่ 3 อปรปริยายเวทนียกรรม วาระการให้ผลกรรมในอัตภาพต่อๆ ไป คือ อัตภาพใหม่ที่เวียนเกิดเวียนตายต่อๆ ไป จนกว่าจะหมดสิ้นกิเลสจึงถือว่ายุติการให้ผลของกรรม เช่น เมื่อจุติจากเป็นเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ อัตภาพมนุษย์คืออัตภาพใหม่ต่อจากอัตภาพเทวดา และเมื่อละจากอัตภาพมนุษย์นี้แล้วอาจจะไปบังเกิดในกำเนิดอะไรได้อีกต่างๆ นานา ขึ้นอยู่กับลำดับผลกรรมจะเป็นกระแสนำไปเกิด
ยุคหลังพุทธกาล นับจากวันปรินิพพานจนถึงปัจจุบัน ในช่วงที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนมชีพทรงสั่งสอนมนุษย์และเทวดาให้หลุดพ้น เป็นจำนวนมาก เมื่อปรินิพพานแล้วยังหลงเหลือผู้สืบทอดพระธรรม คำสั่งสอนสืบต่อมา บางท่านมีความรู้แตกฉานในปริยัติธรรม และเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธองค์ แต่บางท่าน เกิดภายหลัง กระนั้นก็ตามก็ได้อธิบายพุทธพจน์ให้กับคนรุ่นหลังได้รับฟังศึกษาอย่างเข้าใจ พระภิกษุสงฆ์ ผู้เป็นศาสนทายาทและเหล่าคณาจารย์หลายกลุ่มหลายท่านได้ช่วยกันเผยแผ่คำสอน อรรถาธิบาย พุทธพจน์อย่างระมัดระวัง ในเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมนี้ สืบทอดมาจนปัจจุบันโดยท่านได้จำแนกกรรมออกเป็น 12 อย่าง ดังนี้
1) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ กรรมให้ผลในปัจจุบันชาติ หมายถึง กรรมดี กรรมชั่วให้ผลในปัจจุบันชาติ
2) อุปปัชชเวทนียกรรม คือ กรรมให้ผลในชาติหน้า หมายถึง กรรมดี กรรมชั่วให้ผลในชาติหน้า
3) อปรปริยายเวทนียกรรม คือ กรรมให้ผลในชาติต่อๆ ไป หมายถึง กรรมดี กรรมชั่วให้ผลในชาติต่อๆ ไป
4) อโหสิกรรม คือ กรรมเลิกให้ผล หมายถึง กรรมดี กรรมชั่วไม่มีโอกาสให้ผล กรรมชนิดนี้จะกล่าวคู่กับการให้ผลของกรรมข้อที่ 1, 2, 3 จึงจัดเป็นกรรมอีกอย่างหนึ่ง
5) ครุกกรรม คือ กรรมหนัก หมายถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำหนักมาก
6) พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม หมายถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำบ่อยจนเสพคุ้น
7) ยทาสันนกรรม คือ กรรมใกล้ตาย หมายถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำให้ระลึกถึงตอนใกล้ตาย
8) กฏัตตาวาปนกรรม คือ กรรมสักแต่ว่าทำ หมายถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำไปโดยไม่รู้ไม่เจตนา
9) ชนกกรรม คือ กรรมนำไปเกิด กล่าวคือ กรรมดีหรือกรรมชั่วนำไปเกิด
10) อุปัตถัมภกกรรม คือ กรรมสนับสนุน หมายถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วสนับสนุน
11) อุปปีฬกกรรม คือ กรรมบีบคั้น กล่าวคือ กรรมดีหรือกรรมชั่วบีบคั้น
12) อุปฆาตกกรรม คือ กรรมตัดรอน กล่าวคือ กรรมดีหรือกรรมชั่วตัดรอน
ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 10 อรรถกถาจารย์คนสำคัญของยุค คือ พระพุทธโฆษาจารย์ ภิกษุชาวแคว้นมคธ ประเทศอินเดีย ด้วยความที่ท่านเป็นบัณฑิตนักปราชญ์มีความรู้แตกฉานในปริยัติธรรม หลังจากบวชในบวรพระพุทธศาสนาได้ไม่นาน ก็ได้รับคำแนะนำจากพระเรวตเถระให้ไปประเทศศรีลังกา เพื่อแปลอรรถกถาพระไตรปิฎกฉบับภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ ท่านถูกพระสังฆปาลมหาเถระชาวศรีลังกาทดสอบความรู้ทางพระพุทธศาสนาโดยให้แต่ง อธิบายคาถา 2 บท1
(สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ
อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ
นรชนผู้มีปัญญา เป็นภิกษุมีความเพียรมีสติปัญญาเครื่องบริหาร ตั้งตนในศีลแล้ว
ทำสมาธิจิต และปัญญาให้เจริญอยู่ เธอพึงถางรกชัฏนี้เสียได้)
และด้วยคาถา 2 บทนี้ จึงเกิดคัมภีร์วิสุทธิมรรค อันเป็นตำราสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่อธิบายเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา อย่างละเอียด ซึ่งในตำราเล่มนี้ท่านได้จัดโครงสร้างภาพรวมของกรรม โดยจำแนกกรรมทั้ง 12 ประการ จัดเป็นหมวดหมู่ 3 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 กรรมให้ผลตามกาล มี 4 อย่าง คือ
1) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในปัจจุบันชาติ
2) อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติหน้า
3) อปรปริยายเวทนียกรรม หรืออปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อๆ ไป
4) อโหสิกรรม คือ กรรมเลิกให้ผล หรือไม่ได้โอกาสให้ผล
ประเภทที่ 2 กรรมให้ผลตามลำดับกำลัง มี 4 อย่าง คือ
1) ครุกรรม หรือครุกกรรม กรรมหนัก
2) อาจิณณกรรม หรือพหุลกรรม กรรมทำบ่อยจนเสพคุ้น
3) อาสันนกรรม หรือยทาสันนกรรม กรรมใกล้ตาย
4) กตัตตากรรม หรือกฏัตตาวาปนกรรม กรรมสักแต่ว่าทำ หมายถึง กรรมทำไปโดยไม่รู้
ประเภทที่ 3 กรรมให้ผลตามหน้าที่ มี 4 อย่าง คือ
1) ชนกกรรม กรรมทำหน้าที่นำไปเกิด
2) อุปัตถัมภกกรรม กรรมทำหน้าที่สนับสนุน
3) อุปปีฬกกรรม กรรมทำหน้าที่บีบคั้น
4) อุปฆาตกกรรม กรรมทำหน้าที่ตัดรอน
ดังจะเห็นได้ว่าโครงสร้างภาพรวมของกรรมและการให้ผลของกรรมมีความเป็นมา 3 ช่วงสำคัญๆ ซึ่งได้ยึดถือเป็นเนติแบบแผนสำหรับวางแนวทางการศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมตราบจน กระทั่งปัจจุบันนี้
1.2.10 ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม
อวิชชาคือความไม่รู้ เมื่อไม่รู้จึงถูกกิเลสครอบงำได้ง่าย ทำให้หมู่สัตว์เห็นผิดเพี้ยนในการกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ จึงส่งผลทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด มีสังขารมีวิญญาณรองรับ ถือกำเนิดในรูปแบบต่างๆ ตามแต่กรรมนำไป เมื่อมีกายและจิตแล้วทำให้พร้อม ต่อการรับรู้สิ่งต่างๆ ทั้งดีและไม่ดี เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกสูดดมกลิ่น กายรับรู้การสัมผัส ทั้งหมดนี้จะส่งความรู้สึกไปที่ใจ ใจก็จะ รับรู้และเก็บสิ่งที่ดีหรือไม่ดีนั้นไว้ จากตรงจุดนี้จึงเป็นมูลเหตุที่ก่อให้เกิดกรรม ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสถึงการดับกรรมไว้ว่า ''ความดับแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้น เพราะความดับแห่งผัสสะ'' หมายความว่าถ้าดับผัสสะการกระทบนี้ได้แล้วสิ่งที่จะไม่เกิดก็คือ การรับรู้ว่าสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ อันเป็นปัจจัยให้เกิดความตัณหาความทะยานอยาก ส่งทอดทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ข้องติดอยู่ในภพ ชาติ การเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏสงสารแห่งทุกข์นี้ไม่รู้จบสิ้น ดังนั้นจึงตรัสว่า จะดับกรรมต้องป้องกันการกระทบรับรู้นั้นด้วยปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ประการ
1) สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง
2) สัมมาสังกัปปะ ความคิดถูกต้อง
3) สัมมาวาจา วาจาถูกต้อง
4) สัมมากัมมันตะ การงานถูกต้อง
5) สัมมาอาชีวะ อาชีพถูกต้อง
6) สัมมาวายามะ พยายามถูกต้อง
7) สัมมาสติ ระลึกถูกต้อง
8) สัมมาสมาธิ ความตั้งใจไว้ถูกต้อง
พระพุทธองค์ตรัสกับสุภัททะว่า ''อริยมรรคมีองค์ 8 มีแต่ในพระธรรมวินัยนี้ สมณะ 4 คู่ 8 ประเภท ก็มีแต่ในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น ไม่สามารถหาได้ในลัทธิอื่น'' สมณะ 4 คู่ 8 ประเภท มีดัง ต่อไปนี้
สมณะคู่ที่ 1 คือ พระอริยบุคคลประเภทโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
สมณะคู่ที่ 2 คือ พระอริยบุคคลประเภทสกทาคามิมรรค สกทาคามิผล
สมณะคู่ที่ 3 คือ พระอริยบุคคลประเภทอนาคามิมรรค อนาคามิผล
สมณะคู่ที่ 4 คือ พระอริยบุคคลประเภทอรหัตตมรรค อรหัตตผล
การปฏิบัติตามอริยมรรค ทำให้บุคคลสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ พระอริยบุคคลคือผู้ที่สามารกำจัดกิเลสตั้งแต่ระดับเบาบางจนกระทั่งหมดสิ้น เมื่อบรรลุโสดาบัน กรรมกิเลสจะถูกขัดเกลาจนเบาบางทำให้กลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียวหรือเจ็ด ชาติ เมื่อบรรลุสกทาคามี กรรมกิเลสจะถูกขัดเกลาจนเบาบางทำให้กลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียว เมื่อบรรลุอนาคามี กรรมกิเลสถูกขัดเกลาจนเหลือน้อยมากสามารถนิพพานได้ที่พรหมโลก เมื่อบรรลุอรหัตตผล กรรมกิเลสทั้งปวงถูกดับจนสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษเพราะต้นเหตุที่ทำให้เกิดกรรม ถูกดับไปเสียแล้วจึงไม่มีเหตุอันใดจะครอบงำให้สร้างกรรมได้อีกต่อไป และจะไม่กลับหวนมาสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป จากการสังเกตทำให้ทราบว่า ความเบาบางของกรรมจะเป็นไปตามภูมิธรรมของพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ จนสุดท้ายหมดสิ้น และผู้ที่จะดับกรรมจนบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้นั้นคือ ผู้ที่ได้อัตภาพมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา แม้เทวดาที่สามารถบรรลุธรรมได้นั้นก็มีน้อยเพราะยังข้องอยู่ในสุขอันเป็น ทิพย์ยังไม่เห็นทุกข์ จะกล่าวไปใยกับเหล่าสัตว์ในอบายภูมิที่มีเสวยทุกข์ทรมานจนไม่มีเวลาว่างเว้น จะคิดทำความดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น