โดย สามารถ มังสัง 4 ตุลาคม 2553 12:36 น.
ความทุกข์เกิดขึ้นหลังจากที่ความสุขเปลี่ยนไป ในทำนองเดียวกันกับความโศก ความเศร้า เกิดขึ้นหลังจากที่ความรักเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม ตามนัยแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ว่า ความโศกย่อมเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก (ปิยโต ชายเต โสโก) นี่คือสัจธรรมที่มนุษย์ทุกคนจะต้องประสบในชีวิตเหมือนกันทุกคน จะต่างกันก็เพียงมากกับน้อย ก่อนหรือหลังแก่กันเท่านั้น
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้คนในสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เกาะติดข่าวสารบันเทิง คงจะได้เห็นสัจธรรมข้อที่ว่านี้จากข่าวของดาราหญิงชายคู่หนึ่ง คือ แอนนี่ บรู๊ค กับ ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวติดต่อกันเกือบสองสัปดาห์มาแล้ว และในขณะที่เขียนบทความนี้ (30 ก.ย.) ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้โดยสิ้นเชิง ทั้งนี้น่าจะด้วยเหตุผลในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. ทั้งคู่เป็นดาราที่อยู่ในความสนใจของผู้คนในวงการบันเทิง และเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟิล์ม เป็นทั้งนักร้องสังกัดค่ายอาร์เอส และนักแสดงสังกัดทีวีช่อง 3 เมื่อตกเป็นข่าวก็เป็นเหยื่ออันโอชะของสื่อประเภทที่ทำมาหากินกับความชั่ว ความเลวของคนดัง
2. การที่ดาราหญิงตกเป็นข่าวคาวโลกีย์ เฉกเช่นการมีลูกโดยที่ไม่มีใครยอมรับเป็นพ่อที่เกิดขึ้นกับแอนนี่ ถึงแม้ว่าเธอมิใช่ดารายอดนิยม แต่การที่ผู้ชายที่เธอบอกว่าเป็นพ่อของเด็กเป็นดาราดังเช่นฟิล์ม ก็มากพอที่จะทำให้นักข่าวนำไปขยายผล โดยดึงเอาคนรอบข้างทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายชายออกมาเป็นข่าวร่วมด้วยเพื่อเป็นการเพิ่มสีสัน และก็ดูเหมือนว่าวิธีการแบบนี้ได้ผลยิ่ง เมื่อเฮียฮ้อเจ้าของค่ายอาร์เอสตกเป็นเหยื่อลงมาร่วมด้วยโดยการให้สัมภาษณ์ ในครั้งแรกในทำนองเห็นใจฝ่ายหญิง และพยายามให้ฝ่ายชายแสดงความรับผิดชอบ พร้อมกับออกข่าวลงโทษด้วยการงดงานต่างๆ ที่ฟิล์มเกี่ยวข้อง แต่ต่อมาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะตรงกันข้ามกับครั้งแรก คือเห็นใจฝ่ายชาย และพูดในทำนองว่าฝ่ายหญิงคบชายถึง 4 คนในคราวเดียวกัน จึงทำให้สังคมมองว่าถ้าเราเป็นฟิล์มก็ยอมรับได้ยากว่าเป็นพ่อของเด็ก ถ้าไม่มีการพิสูจน์ด้วยการตรวจดีเอ็นเอก่อน เพราะอาจเป็นลูกของใครคนใดคนหนึ่งใน 4 คน นอกจากฟิล์มก็ได้
จากจุดที่เฮียฮ้อออกมาพูดในทำนองนี้ ทำให้กระแสสังคมตีกลับจากที่ค่อนข้างเห็นด้วยกับเจ้าของค่ายเพลงอาร์เอสอยู่ บ้างในครั้งแรก มาเป็นก่นด่า และในบางรายถึงกับประกาศเป็นศัตรูทางธุรกิจด้วยการไม่เป็นลูกค้าของค่ายเพลง อาร์เอสไปแล้วก็มี
3. เกือบจะเป็นวัฒนธรรมหรือประเพณีของคนบริโภคข่าวในสังคมไทยไปแล้วที่ชอบอ่าน เรื่องความทุกข์ ความเดือดร้อนของคนอื่นมากกว่าอ่านคำยกย่องสรรเสริญ นี่เองคือจุดให้นักข่าว และผู้ประกอบการธุรกิจสื่อประเภทไม่มีจรรยาบรรณถือโอกาสขายข่าว จึงทำให้ข่าวที่ควรจะจบลงอย่างรวดเร็วต้องจบลงอย่างช้าๆ
เรื่องของแอนนี่และฟิล์มได้ให้บทเรียนอะไรแก่ผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าพิจารณาให้รอบคอบและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยถือเพียงว่าทั้งแอนนี่ และฟิล์มเป็นเพียงปุถุชนคนมีกิเลส มีความเป็นไปได้ที่จะทำดี และทำชั่วคลุกเคล้ากันไป ก็พอจะบอกได้ว่าการที่หญิงชายสองคนคบหากัน จะด้วยความรัก หรือไม่มีความรักมีเพียงแต่ความต้องการเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่ที่ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะผิดปกติก็คือ ถ้าคบกันแบบผิวเผิน มีเพียงความต้องการโดยมิได้เริ่มต้นด้วยความรักแล้ว ทำไมฝ่ายหญิงไม่ป้องกันการมีบุตรซึ่งทำได้ไม่ยาก
และถ้าสองคนคบกันโดยเริ่มด้วยการมีความรักแล้วจบลงที่ความต้องการ โดยที่ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตของกันและกันในฐานะสามีและภรรยา รวมไปถึงพร้อมที่จะรับผิดชอบในความเป็นพ่อและความเป็นแม่เมื่อลูกเกิดมา แล้วทำไมจึงเกิดเรื่องขัดแย้งขึ้นได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของฟิล์มกับแอนนี่ ดูเหมือนว่าในการให้สัมภาษณ์สื่อในครั้งแรกๆ ทางฟิล์มได้ยอมรับว่าคบหากับแอนนี่จริงแต่ไม่ใช่ในฐานะแฟน ซึ่งจากคำพูดนี้แปลได้สองนัย คือ คบในฐานะเพื่อนไม่มีอะไรเกินเลย และคบหาโดยมีความเกี่ยวพันในทางเพศ แต่ไม่มีความผูกพันเฉกเช่นคนรักกับคนรัก จึงไม่คิดรับผิดชอบแต่ต้น และแง่คิดในข้อนี้น่าจะถูกต้องเพราะไปสอดคล้องกับคำพูดของแอนนี่ว่า เมื่อบอกฟิล์มว่าท้อง ทางฝ่ายชายได้แสดงอาการตกใจ จะด้วยการคาดไม่ถึงว่าทำไมปล่อยให้ท้องหรือเปล่าก็เป็นไปได้
จาก นัยแห่งคำพูดที่ทั้งฝ่ายแอนนี่และฟิล์มตอบโต้กันในครั้งแรกๆ ก็พอจะอนุมานได้ว่า ทั้งแอนนี่และฟิล์มคบหากันจริง และมีความสัมพันธ์ค่อนข้างลึกซึ้ง ในทำนองชายหญิงทั่วไปคบหากันมากกว่าเพื่อน แต่ไม่อยู่ในฐานะแฟนจึงมีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหญิงต้องการให้ฝ่าย ชายยอมรับการเป็นพ่อของลูก และเมื่อไม่ต้องการยอมรับจึงทำให้เกิดกระบวนการปฏิเสธโดยมีเงื่อนไข คือ การตรวจดีเอ็นเอเกิดขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น