++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สนามหลวง...ตลาดสัตว์ป่าในอดีต

รศ.น.สพ.ปานเทพ รัตนากร -เขียน

ประเทศไทยในอดีตร่วมศตวรรษที่ผ่านมา
ทรัพยากรสัตว์ป่ามีอุดมสมบูรณ์สมกับเป็นป่าในเขตร้อนชื้นอีก
ทั้งยังมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สัตว์อย่างมหาศาล

คนไทยสมัยนั้นยังชีพอย่างพอเพียงด้วยการหากับข้าวกับปลาจากป่า ห้วย หนอง
คลอง บึง ตามธรรมชาติ ล่ามาพอกินกันภายในครอบครัว
อย่างเก่งก็เป็นกับแกล้มเหล้ากับเพื่อนบ้าน
ไม่ถึงกับต้องไปนั่งผับนั่งบาร์เช่นทุกวันนี้
ทั้งประชากรชาวไทยสมัยนั้นมีจำนวนน้อยกว่าสมัยนี้มาก
ทรัพยากรสัตว์ป่าจึงยังพอมีให้เก็บเกี่ยวหากินกันอย่างสบายๆ

ต่อมาหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลของสงครามคือ
การตกค้างของอาวุธยุทธภัณฑ์ และสันดานการทำลายล้างที่ยังติดตัวคนเรามา
ทำให้มีการล่าสัตว์ป่ากันอย่างแพร่หลาย เหตุจากอาวุธสงครามมีเกลื่อนกลาด
ปืนอันทรงอนุภาพเต็มป่า ที่สำคัญยานพาหนะที่สามรถพาคนไปได้เร็วและลึก
บุกป่าฝ่าดงทุกหนทุกแห่งได้ง่ายกว่าเดิม นั่นคือ "รถจี๊ปทหาร"
พรานป่าทั้งดั้งเดิมและรุ่นใหม่ (ชาวกรุง)
สามารถเข้าป่าล่าสัตว์สะดวกขึ้น ไม่ต้องเดินดงให้เมื่อยตุ้ม
รถจี๊ปขับเคลื่อน ๔ ล้อทรงพลังพาไปถึงที่ ประกอบกับปืนไรเฟิลขนาดใหญ่
จะมีอะไรเหลือให้ล่าอีกล่ะครับ! สัตว์ป่าขนาดใหญ่ค่อยๆลดจำนวนลง
จากนั้นก็เป็นสัตว์ปีก
และสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ถูกล่าและจับมาขายเป็นสัตว์เลี้ยงในเมือง

ผมจำได้สมัยนั้นยังมีตลาดนัดสนามหลวงอยู่กลางกรุงเทพฯ
เป็นตลาดนัดที่มีของขายทุกชนิด ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
ทุกเสาร์-อาทิตย์เป็นขาดไม่ได้
ต้องไปเที่ยวสนามหลวงเพื่อดูสัตว์ป่าแปลกๆและนกนานาชนิด
นับว่าเป็นตลาดค้าสัตว์ป่าที่เปิดเผยและใหญ่ยิ่งแห่งหนึ่งของโลก
ฝรั่งมังค่ารู้จักเป็นอย่างดี ยิ่งพวกสนใจเลี้ยงสัตว์แปลกๆ
ด้วยแล้วเป็นต้องมาเยือนอย่างพลาดไม่ได้
อีกทั้งกฏหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์ป่าในสมัยนั้นยังไม่มี
คงเนื่องจากสังคมเห็นว่าสัตว์ป่ามีอยู่อย่างล้นเหลือ
แต่เผลอแผล็บเดียวลดวูบน่าใจหายแล้วก็หายไป
จริงๆเราใช้ทรัพยากรสัตว์ปาอย่างเกินกว่าที่สัตว์ป่าจะเพิ่มปริมาณแทนทัน
ผมว่าสนามหลวงมีส่วนทำให้การค้าขายสัตว์ป่าในยุคนั้นเฟื่องฟู
สร้างอาชีพและเศรษฐีขึ้นมาหลายคน
จะว่าไปผมขอยอมรับว่าเป็นผู้หนึ่งที่เคยอุดหนุนตามประสาเด็กๆ
เห็นสัตว์แปลกๆไม่รู้จักก็อยากได้มาเลี้ยง
กว่าจะรู้สำนึกว่ามีส่วนทำให้สัตว์ป่าร่อยหรอ ก็เกือบจะโตแล้ว
ซึ่งนับเป็นสิ่งหนึ่งที่บันดาลใจให้ผมมาทำงานเพื่อสัตว์ป่า
โดยการเป็นหมอสัตว์ป่าอยู่ทุกวันนี้

หวนกลับไปสนามหลวงเมื่อครั้งยังเป็นตลาดนัดสัตว์ป่ากลางเมืองกรุงอยู่
บริเวณที่เป็นโซนขายสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าถุกจัดอยู่ในแนวถนนตัดขวางสนามหลวงค่อนมาทางด้านพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
เวลาผมไปจะลงรถหน้าพิพิธภัณฑ์แล้วเดินข้ามถนนตรงสู่ทางเข้าถนนโซนสารพัดสัตว์พอดิบพอดี
เริ่มต้นด้วยเจ้าที่ขายหมาแมวเป็นกระบะหรือกรงเลี้ยงเป็นตับ
จากนั้นเรียงรายไปด้วยร้านขายกรงและอาหารสัตว์ ตลอดจนสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
เช่น กระต่าย หนูตะเภา และหนูถีบจักร ฯลฯ ยุคนั้นหมาพันธุ์แท้ หมาฝรั่ง
พอมีมาบ้างราคาแพงพอสมควร ที่เป็นคอกหรือฟาร์มเพาะพันธุ์จริงๆมีน้อย
ลูกหมาพันธุ์ผสมมีมากมายหลากหลายขนาดและรูปร่าง
คนขายจะใช้ฝากล่องกระดาษเขียนชื่อพันธุ์ที่เขาตั้งขึ้นจากรูปร่างของลูกหมาตัวนั้นๆแปะไว้ข้างกรง
หรือกล่อง เช่น อัลเซเชี่ยนผสมโดเบอร์แมน
หมายถึงลูกผสมระหว่างหมาพันธุ์อัลเซเชี่ยนกับหมาพันธุ์โดเบอร์แมน
เพราะโหงวเฮ้งลูกหมาที่หูตั้งขนสีน้ำตาลยาว หน้าแหลม อกหนา แต่เอวคอด
ดูไปดูมาคล้ายๆหมาทั้งสองพันธุ์รวมกัน เลยขนานชื่อพันธุประหลาดดังกล่าว
ฯลฯ

เมื่อเดินเลยไปสักครึ่งทาง เป็นเขตที่ผมชอบมาก คือ
บรรดาร้านขายนกสารพัดชนิด นับจากนกเลี้ยงสวยงามธรรมดาทั่วไป
ที่ฮิตมากได้แก่ นกหงส์หยกครับ สมัยนั้นนกเลิฟเบิร์ดหรือฟินซ์ ๗ สี
ฯลฯยังไม่มีมา อีกทั้งยังมีนกเสียงหรือนกร้องจำพวกหลายพันธุ์ เช่น นกเขา
นกกรงหัวจุก นกซอฮู้ ฯลฯ แล้วก็นกพูด คือ นกขุนทอง นกแก้ว
นกเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนกป่าหรือนกที่จับจากธรรมชาติด้วยการต่อหรือล้วงเอารังเอามาตั้งแต่เป็นลูกนก
ที่มักเป็นลูกนกขุนทองเพราะเชื่อกันว่า
หากจะให้พูดเก่งต้องหัดตั้งแต่เป็นลูกนกเลี้ยงกันมาตั้งแต่ขนอุยเพิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับนกยอดฮิตอีกชนิดคือ นกแก้วแขกเต้า
เขาจับมาทั้งยังเป็นลูกนกตัวแดงๆ
เอามาป้อนข้าวป้อนน้ำเหมือนลูกนกขุนทองนั่นแหละครับ
ลูกค้าจะเลือกซื้อเฉพาะนกในวันนี้ด้วยเหตุผลว่า
ถ้าเลี้ยงนกโตมันไม่เชื่อง
ฉะนั้นทุกฤดูร้อนอันเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ราวเมษายน
เราจะพบว่าแทบทุกแผงมีลุกนกหลากพันธุ์ร้องระงมเซ็งแซ่ไปหมดซึ่งขายดีมาก
หากสังเกตดูคนที่เดินหิ้วถุงกระดาษสีน้ำตาลดูพองๆ มีรูข้างๆขนาดหัวแม่มือ
สัก ๔ รูนั่นแหละครับ ถุงใส่ลูกนกและนกทั่วๆไป
เราพบเห็นมากในฤดูปิดภาคเรียน คุณพ่อหิ้วบ้างหรือคุณลูกหิ้วไปเอง
ผมเคยหิ้วมากับเขาเหมือนกันเป็นลูกนกแก้วหรือนกแขกเต้า
กว่าจะรู้จักวิธีเลี้ยงที่ถูกต้อง
รู้เคล็ดลับต่างๆนานาเล่นเอาต้องเสียลูกนกไปหลายตัว
ยิ่งในสมัยนั้นไม่มีสัตว์แพทย์ที่รู้จักการรักษาแปลกๆเลย
ผมจึงไม่รู้จะพึ่งใคร
จำต้องใช้วิธีลองผิดลองถูกแต่อยู่ภายใต้แนวทางที่ค้นคว้าหามาจากการอ่านหนังสือนี่เอง
ส่งผลเป็นอานิสงค์แก่ตัวผมต่อมาจนปัจจุบัน คือ
สามารถประยุกต์วิชาการทางสัตว์แพทย์เพือรักษาสัตว์เลี้ยงตามปกติมาสู่สัตว์ชนิดแปลกๆอื่นๆที่มิได้มีในตำรา
เช่น สัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดต่างๆด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาด้วยตนเอง

เลยมาตอนท้ายปลายถนนสายสัตว์เลี้ยงจะเป็นแหล่งขายสัตว์ป่าขนาดใหญ่
นับจากนกป่านานาชนิดตั้งแต่นกกินแมลง นกกินเกสรดอกไม้ตัวจิ๋วๆ นกกินปลา
นกน้ำนานาพันธุ์ นกนักล่าจำพวกเหยี่ยวอินทรี หรือแม้แต่นกเงือก
ก็ยังถูกล้วงรังเอามาขายเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ไม่น้อย
ตามร้านเหล่านี้บางร้านมีการขายสัตว์ป่าที่เป็นสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
เช่น งูสายป่าน และงูเขียวหางจิ้งจก
ซึ่งเด็กๆนิยมซื้อไปเป็นสัตว์เลี้ยงเล่น
นัยว่าชอบเอาไปหลอดครูบาอาจารย์และเพื่อนๆ ผมเคยเลี้ยงไว้หลายตัว
ต้องคอยจับจิ้งจกมาให้เป็นอาหาร นานๆเข้าชักไม่ไหว
จับจิ้งจกจนหมดบ้านหาไม่ได้แล้วจำต้องปล่อยเข้าป่าละเมาะไป
กิ้งก่าบินและกิ้งก่าสีแปลกๆมีมาเช่นกัน แต่เลี้ยงยาก ตะกวด แย้
มีให้เห็นทั้งตัวเป็นๆ และเป็นแผง (เพื่อใช้เป็นอาหาร)
นานๆทีจะเห็นเหี้ยถูกมัดใส่ข้องไว้
(คงจะมีคนมาซื้อเหมือนกันแต่ลงหม้อซะมากกว่า)
เต่านานาพันธุ์รวมถึงเต่านอกสุดฮิต คือ "เต่าญี่ปุ่น"
ตัวสีเขียวขนาดน่ารักเท่าเหรียญห้าบาท (สมัยก่อน)
คนขายมักโฆษณาว่าเป็นเต่าจิ๋ว โตเต็มที่แล้วเอาไปเลี้ยงใส่ปลาตู้ได้เลย
ผู้คนซื้อหากันไปเลี้ยงไม่น้อย สุดท้ายต้องปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะและวัด
เนื่องจากมันมีขนาดตัวที่โตขึ้นตลอดเวลาจากเหรียญห้าเป็นชามข้าว!!

นี่แหละครับแหล่งที่มาของชนิดพันธุ์สัตว์ต่างถิ่นหรือเอเลี่ยนในธรรมชาติบ้านเรา
เดี๋ยวนี้มองไปที่ไหนเห็นแต่หัวเขียวๆแก้มสีแดงลอยตะคุ่มๆ
มิใช่เต่าไทยแต่เป็นเต่าญี่ปุ่นไปหมดแล้ว
นี่มิใช่สัตว์ป่าต่างบ้านต่างเมืองชนิดเดียวที่มีในตลาดนัดสัตว์ป่าแห่งนี้
เราสามารถพบนกสวยงามราคาแพงนำเข้ามาจากต่างประเทศ
สมัยนั้นบ้านเรายังไม่มีฟาร์มนกสวยงาม เช่น ทุกวันนี้ ฉะนั้น
มันจึงถูกนำเข้ามาขายเศรษฐีในราคาแพงมหาศาล เช่น นกกระตั้ว
และนกมาคอร์หลากหลายพันธุ์
หรือแม้แต่นกหายากจำพวกนกเบิร์ดออฟพาราไดซ์ของอินโดนีเซียก็มีให้ซื้อหาได้
ถ้าคุณใจถึงและมีสตางค์พอ

ณ บริเวณนี้มีร้านขายสัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเจ้าโปรด
ผมแวะเวียนทุกครั้งที่มา
ยังจำได้ว่าสัตว์ชนิดแรกที่ผมเก็บหอมรอมริบค่าขนมประจำอาทิตย์มาหาซื้อก็คือ
"ลิงลม" ซึ่งมีขายมากมายในราคาถูก เนื่องจากไม่มีผู้คนสนใจมากนัก
ผิดกับสมัยนี้ที่ราคาและความต้องการต่างกันลิบลับ เดิมไม่ถึงร้อยบาท
ปัจจุบันปาไปกว่า ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ บาท
ผมประทับใจในการใช้ชีวิตลึกลับของมันเพราะลิงลมเป็นสัตว์ตระกูลลิงชนิดเดียวในบ้านเราที่หากินกลางคืน
จึงทำให้ดวงตาของมันโตกว่าลิงชนิดอื่นๆ ประกอบกับนิ้วตีน
ฝ่าตีนละม้ายคล้ายคลึง และใช้งานหยิบจับได้ราวกับคนเราไม่มีผิด
(อย่าหาว่าหยาบนะครับเพราะตีนใช้กับสัตว์นะถูกแล้ว)
กอปรกับพฤติกรรมน่ารักน่าเอ็นดู คลานต้วมเตี้ยมเชื่องช้าในเวลากลางวัน
(ซึ่งปกติจะเป็นเวลานอน) แล้วก็หาโพรงเพื่อซุกหลับจึงเรียกว่า นางอาย
แต่กลับคึกคักว่องไวปานลมยามค่ำคืน มันจึงได้ชื่อว่า ลิงลม
เหตุที่มันต้องว่องไวเช่นนั้น
เพื่อจับอาหารที่เป็นแมลงและสัตว์ตัวเล็กๆอื่นๆกินได้ทัน
ตลอดจนช่วยให้หลีกหนีศัตรูตามธรรมชาติ เช่น งู เสือลายเมฆ หรือ เสือดาว
ที่ตามขึ้นไปราวีลิงลมถึงบนต้นไม้
ลิงลมไม่ใช่สัตว์ที่เชื่องได้ง่ายนักหากมิได้เริ่มเลี้ยงตั้งแต่เป็นลูกเล็ก
มิใช่ของง่ายที่จะเลี้ยงลูกลิงลมให้รอดได้อย่างสมบูรณ์
ตำรับตำราไม่มีให้อ่าน ผมจึงต้องใช้วิธีลองผิดลองถูกเช่นเคย
แต่โชคดีลองถูกมากกว่า ลิงลมตัวนี้จึงรอดชีวิตอยู่ต่อมา
นับเป็นแหล่งประสาทวิชาแก่ตัวผมเป็นอย่างยิ่ง
ต้องถือว่าเขาเป็นครูด้านโรคสัตว์ป่าตัวแรกของผม
ยังทำให้ผมสามารถช่วยชีวิตลูกลิงลมตัวอื่นๆต่อมาจนปัจจุบัน (สาธุ)

ท่ามกลางย่านขายสัตว์ป่าอันหลากหลาย
ส่งเสียงเซ็งแซ่ลั่นขรมไปทั้งสนามหลวงนั้น
เราอาจพบสิ่งที่ชวนสลดหดหู่ใจจนลืมสัตว์สวยๆงามๆน่ารักทั้งหลายไปหมด
นั่นคือ สัตว์ป่าจำนวนไม่น้อยที่ถูกจับมาจากป่า ไม่ว่าจะติดกับ ติดแร้ว
ถูกล้วงมาจากรังหรือพรากพ่อพรากแม่มา ฯลฯ เช่นลูกชะนี ลูกหมี
หรือแม้แต่ลูกนกเงือก ฯลฯ สัตว์เหล่านี้มีอายุน้อย บ้างก็บาดเจ็บ
หรือได้รับการเลี้ยงดูมาด้วยวิธีผิดๆ ยังผลให้มันต้องเจ็บปวด
ทนทุกข์ทรมานทั้งกาย คือ ขาดอาหาร ติดเชื้อโรค บาดแผลอักเสบรุนแรง
กระทั่งบาดเจ็บทางใจด้วยความเครียด
ความกลัวที่สั่งสมอยู่จนสัตว์เหล่านั้นป่วยจนยากจะเยียวยาไหวหรือคนขายไม่ใส่ใจจะรักษา
อาจเป็นเพราะไม่รู้จะนำไปรักษาที่ไหน หรือ ความคิดว่าไม่คุ้มค่ายา
หาจับเอาใหม่ง่ายกว่าถูกกว่า
คุณจึงอาจเห็นภาพลูกลิงนอนหายใจระรวยรินใกล้ตายในกล่องแม่โขงซุกอยู่ใต้กรงนก
หรือ ลูกนกแก้วนอนจมกองสำรอกอยู่บนพื้นและถูกเหยียบย่ำด้วยลูกนกตัวอื่นๆที่แข็งแรงกว่า
ฯลฯ แม้บางตัวยังไม่ตายก็ถูกทิ้งไว้ในถังขยะเสียแล้ว
คุณคงได้เห็นภาพความจริงของชีวิตที่มีทั้งเกิด แก่ เจ็บและตาย
เบ็ดเสร็จอยู่ในโซนของสัตว์ป่าสนามหลวงเดิมจนครบรอบ
รับรองได้ว่าปลงสังขารได้โดยไม่ต้องไปถึงวัดวาที่ไหน

ในขณะนั้นประเทศไทยมี พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฉบับแรก พ.ศ.๒๕๐๓
(ปัจจุบันเราใช้ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฉบับใหม่ พ.ศ.๒๕๓๕)
ซึ่งระบุการคุ้มครอง ควบคุมการครอบครองสัตว์ป่า โดยแบ่งสัตว์ป่าเป็น ๓
ประเภท คือ สัตว์ป่าสงวนที่ชาวบ้านไม่สามารถมีไว้ในครอบครองกับสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่
๑ และประเภทที่ ๒ ซึ่งสามารถขออนุญาตครอบครองได้จากกรมป่าไม้
และสมัยนั้นยังมีการอนุญาตให้ล่าสัตว์ป่าได้โดยขออนุญาตจากกรมป่าไม้ก่อน
จึงเห็นได้ว่ามีการจับสัตว์ป่าบางชนิดมาขาย ซึ่งดูเหมือนถูกกฏหมาย
ขณะเดียวกันก็ลักลอบนำสัตว์ชนิดต้องห้ามมาขายอีกด้วย
เขาจะซุกไว้ในกล่องแม่โขง (อีกเช่นเคย) วางไว้หลังร้านบ้าง
เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจค้นเข้าทีไรจะมีการพาหรืออุ้มวิ่งหนีกันทีหนึ่ง
จะซื้อจะขายต้องหลบๆซ่อนๆหลบเลี่ยงมือกฎหมายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ครั้นเมื่อสนามหลวงถูกย้ายไปอยู่สวนจตุจักร
ผมคิดว่าตลาดนัดสัตว์ป่ากลางกรุงของเมืองไทยคงปิดฉากของมันลงแล้ว
ภาพเวทนาดังเคยพบของสรรพสัตว์ป่าคงจะหมดไป แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
ตลาดนัดสัตว์ป่ากลางกรุงของเมืองไทยยังคงอยู่
เพียงแต่ย้ายไปอยู่สถานที่ใหม่ด้วยผู้ค้ารายใหม่ๆนั่นเอง

ที่มา ต่วย'ตูน ปีที่ ๓๗ เล่มที่ ๑๑ ปักษ์แรก-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น