++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หมอกภูติ

นพ.กฤษดา ศิรามพุช -เขียน

"ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันดัง มะฮึตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริ สาสะภา..."

"ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น
จงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้าผู้อยู่ในภาคพื้นท่ามกลางพระชินบัญชร
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกป้กรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล..."

เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงชีวิตเมื่อเป็นแพทย์ใช้ทุนตามต่างจังหวัดแล้ว
ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาอันเป็นวันชื่นคืนสุขที่ "แหลมงอบ"
ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆติดชายทะเล จ.ตราด
แล้วก็พาลหวนคิดไปถึงหนึ่งในเหตุการณ์ประหลาด
ที่ได้เกิดขึ้นในคืนข้างแรมกลางถนนสายเปลี่ยวนั้นอยู่เสมอ.....

อันแหลมงอบนี้ เป็นอำเภอเล็กที่เงียบสงบอยู่ติดทะเล
หรือพูดให้เห็นภาพชัดก็คือ เป็นติ่งของแผ่นดินที่ยื่นเข้าไปในทะเล
บางคราวเวลานอนที่พักบ้านข้าราชการ
ผมนึกอยู่คนเดียวว่านี่เรานอนอยู่ปลายสุดคมขวานของประเทศไทยเชียวนะก็ทำให้รู้สึกใจวังเวงอยู่บ้าง
ชีวิตในโรงพยาบาลอำเภอแหลมงอบนั้นช่างเรียบง่าย
ผิดกับชีวิตที่ผมเคยทำงานในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย

ตัวโรงพยาบาลแหลมงอบเป็นตึกชั้นเดียวทรงแบบอาคารราชการทั่วประเทศนั่นแหละครับ
ด้านหน้าเป็นห้องอำนวยการและห้องตรวจผู้ป่วยนอก
ส่วนปีกขวาของตึกเป็นห้องคลอด ซึ่งจะมีพยาบาลผดุงครรภ์ประจำอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเดินลึกเข้าไปข้างในก็จะเป็นวอร์ดผู้ป่วยใน
ซึ่งโรงพยาบาลนี้มีความสามารถรับผู้ป่วยได้ ๓๐ เตียง
ก็ไม่มากไม่น้อยนะครับสำหรับโรงพยาบาลอำเภอที่ห่างไกลนี้

ผู้ป่วยที่จะมาหาเราก็จะเป็นชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นส่วนใหญ่
ที่บอกว่าเป็นส่วนใหญ่ก็เพราะมีบางส่วนมาไกลจากอำเภอเกาะช้างซึ่งต้องนั่งเรือเฟอร์รารี่ข้ามมา
หรือบางทีเป็นชาวต่างชาติที่แบ็คแพ็กมาเที่ยวกัน มักเป็นพวกหนุ่มๆสาวๆ
ซึ่งผมก็จะถูกตามให้มาช่วยฟุดฟิตฟอไฟอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้น
บุคลากรทั้งหมอและพยาบาลก็จะรู้จักผู้ป่วยเกือบจะทุกรายเป็นอย่างดี
และผู้ป่วยก็จะจำแพทย์ได้แม่น
บางทีมาก็ขอเลือกตรวจกับแพทย์หรือพยาบาลที่เขาคุ้นเคยเลยก็มี
นอกจากนั้นเพื่อให้เข้าถึงผู้ป่วยได้มากขึ้น
เราได้จัดออกหน่วยเยี่ยมถึงบ้านผู้ป่วยทุกๆสัปดาห์
ซึ่งทำให้ได้ผลในการรักษาดีมาก เป็นต้นว่า
ดูแลให้รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
และทำให้ผู้ป่วยสบายใจในการที่จะซักถามเรื่องการเจ็บไข้ตัวต่อตัว

ขณะนั้นผมเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่จังหวัดตราด
ซึ่งโดยปกติจะต้องประจำอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัด
แต่ในช่วงปลายปีนั้นแพทย์ประจำโรงพยาบาลอำเภอแหลมงอบขาดแคลนหนัก
จำเป็นต้องอาศัยแพทย์จากโรงพยาบาลจังหวัดไปช่วยเสริม
ผมจึงได้เป็นตัวเสริมอันนั้น
โดยผมต้องย้ายข้าวของส่วนหนึ่งจากหอพักแพทย์โรงพยาบาลตราดไปไว้ที่บ้านพักราชการที่โรงพยาบาลแหลมงอบ
หนทางจากตราดไปแหลมงอบเมื่อเกือบสิบปีก่อนนั้น
เป็นทางลาดยางสายเล็กๆเพียงสองเลนให้รถวิ่งสวนกัน
อันที่จริงนั้นระยะทางถึงกันนี้ไม่ไกลมาก เพียงสิบกว่ากิโลเท่านั้น
แต่ต้องใช้เวลาขับรถนานกว่าจะถึงเนื่องจากไม่มีไฟถนนและทางคดเคี้ยวค่อนข้างมาก
อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งโดยสังเกตได้จากศาลพระภูมิที่ตั้งอยู่ตามรายทาง
โดยเฉพาะโค้งหักศอกโค้งหนึ่งที่อยู่ในเขตอำเภอแหลมงอบแล้ว
โค้งนี้อ้อมผ่านสันเขาเล็กๆและมีไหล่ทางที่ยุบลงไปเป็นแอ่งใหญ่
จึงเป็นที่ขังของน้ำในเวลาน้ำท่วมและรกไปด้วยต้นตะขบ
ในบางคราวที่ฝนตกหนัก คนขับมองไม่เห็นทางหรือขับมาเร็วจนเกินไป
ก็จะมีการประสานงาครั้งใหญ่ๆอยู่หลายครั้ง
ที่บอกเป็นครั้งใหญ่เพราะมีคนเจ็บคนตายมากทุกครั้ง
บางคราวเป็นการเทกระจาดทั้งคันรถก็มี
ชาวบ้านจึงพากันมาตั้งศาลให้กับคนตายและศาลเพื่อสักการะพระภูมิเจ้าที่ด้วย
ไม่ให้เอาชีวิตคนไปสังเวยปีละหลายๆรายอีก

วันนี้เป็นอีกวันที่ขาดหมอ
ผมต้องไปอยู่เวรเช้าแทนเพื่อนที่โรงพยาบาลจังหวัด เมื่อลงจากเวรเวลา ๔
โมงเย็นนั้น ก็ไปนั่งเตรียมเคสผู้ป่วยเพื่อประชุมแพทย์
โดยเราจะนำเคสผู้ป่วยที่น่าสนใจมาเป็นกรณีศึกษาร่วมกันในหมู่แพทย์ของโรงพยาบาลเดือนละ
๑ ครั้ง ผมนั่งเขียนแผ่นใสอยู่นานพร้อมกองประวัติผู้ป่วยสูงท่วมหัว
เมื่อรู้สึกตัวอีกทีมองลอดกองเอกสารออกไปภายนอกตึกมืดสนิทหมดแล้ว
เมื่อมองดูนาฬิกาก็เห็นเป็นเวลา ๔ ทุ่ม
กำลังว่าจะนอนค้างเสียที่โรงพยาบาลจังหวัด
แต่พลันนึกได้ว่าพรุ่งนี้ต้องออกตรวจคนไข้แต่เช้า
จึงรีบเก็บงานแล้วขับรถออกจากโรงพยาบาลทันที
แม้จะเป็นในเขตอำเภอเมืองแต่ก็ค่อนข้างเงียบ
ร้านรวงทั้งหลายดึงประตูม้วนลงมาปิดกันหมดแล้ว
ถนนในเมืองมีแต่แสงไฟสีส้มแสดส่องอยู่อย่างวังเวง
ผมขับไปไม่นานก็ผ่านเขตตัวเมืองออกไปสู่ถนนระหว่างอำเภอซึ่งไม่มีไฟถนนสองข้างทางมีแต่พุ่มไม้ประปราย
นานทีจะเจอแสงไฟนีออนจากบ้านคน
แต่บนถนนนั้นมืดสนิทเพราะคืนนี้เป็นคืนข้างแรมเสียด้วย
การขับรถยิ่งยากขึ้นเพราะต้องคอยระวังรถที่สวนมาบนถนนสายแคบๆ

โดยปกติผมจะไม่ขับรถบนถนนเส้นนี้ในเวลากลางคืนเพราะรู้ซึ้งถึงสภาพของมันดี
ท่ามกลางทัศนวิสัยที่แย่ขณะนั้นใจผมนึกอยู่อย่างเดียวว่า
ให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย
เพราะเมื่อขับไปไกลขึ้นๆก็ยิ่งมีแต่ความมืดปกคลุมอยู่รอบด้าน
แม้ผมจะเปิดไฟสูงก็ยังเห็นทางข้างหน้าได้ไกลไม่เกิน ๒๐ เมตรเอง ดังนั้น
ผมจึงตัดสินใจขับให้ช้าที่สุด แม้ว่าจะอยากให้ถึงที่หมายเร็วเท่าใดก็ตาม
พร้อมทั้งภาวนาขออย่าให้มีฝนตกเลย

ถนนเส้นนี้กินชีวิตคนมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุหรือความประมาท

สรรพสิ่งภายนอกเงียบสงัด ไมได้ยินแม้แต่เสียงหริ่งเรไร
วิทยุในรถผมรับสัญญาณไม่ได้ตั้งแต่ออกจากตัวจังหวัดแล้ว
มีแต่เสียงซู่ซ่าของคลื่นแทรกอยู่เบาๆในขณะที่ผมกะว่าใกล้จะถึงกลางทางที่มีโค้งอันตรายนั้นอยู่
ผมก็พยายามชะลอความเร็วลงอีกเผื่อถ้ามีรถสวนมาจะได้หลบทัน
และแล้วเมื่อแสงไฟจากรถสาดเข้ามาใกล้ผมก็เหลือบไปเห็นสัญลักษณ์ของโค้งมรณะคือ
ศาลพระภูมิทั้งเก่าใหม่ ระเกะระกะอยู่ในดงตะขบ
พร้อมทั้งกระดาษแพรสีต่างๆที่ผู้คนนำมาเซ่นไหว้ไหววิบวับอยู่ข้างหน้า

และแล้วสิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้น นั่นคือ
พื้นถนนข้างหน้าถุกปกคลุมไปด้วยหมอกระดับต่ำเรี่ยดิน
มองคล้ายปุยเมฆสีขาวอันอ่อนนุ่ม
แล้วหมอกเหล่านั้นก็คล้ายจะจับตัวกันลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ
จนบดบังทัศนวิสัยข้างหน้าเสียจนสิ้น
นอกจากจะลอยสูงแล้วกลุ่มหมอกนั้นดูราวจะหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆจนน่าอึดอัด

"ขับมาตั้งนาน ไม่เคยเจอหมอกหนาอย่างนี้เลย" ผมคิดในใจ

ความเครียดมาถึงขีดสุดเมื่อหมอกประหลาดนี้หนาจนถึงจุดที่ไฟสูงของรถก็ไม่ได้ช่วยให้เห็นรถที่สวนมาได้เลย
เพราะโค้งนี้หักศอกมาก
คนที่ขับมาเลนตรงข้ามจะมีไหล่เขาบังอยู่ทำให้เขาก็ไม่เห็นเราเช่นกัน
ด้วยความกลัวที่จะต้องตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของโค้งมรณะแห่งนี้
ผมจึงพยยามเพ่งฝ่าเข้าไปในหมอกนั้นให้ลึกที่สุด

"คุณพระช่วย"

จะเป็นด้วยผมตาฝาดหรืออะไรก็ตาม
แต่บัดนี้ในหมอกนั้นหาใช่สิ่งที่ทึบอย่างเดียวไม่ แว่บหนึ่งที่มองเห็นคือ
ภายในนั้นมีเงาคล้ายเงาคนจำนวนมากมาย มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
เพราะเห็นเงาส่วนศรีษะที่มีขนาดสูงต่ำต่างๆกันไป
คล้ายกับคนจำนวนมากกำลังเดินสวนทางมาหา
คุณผู้อ่านลองนึกถึงเวลาที่เรามองเห็นคนกำลังเดินฝ่าหมอกมาหาโดยที่มีไฟสลัวอยู่รอบเท่านั้น
ในขณะนั้นผมไม่สามารถที่จะเพ่งพินิจอยู่ได้นานนักเพราะกำลังตั้งสมาธิมองหาไฟรถที่จะสวนมา
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังแทรกความเงียบสงัดเข้ามาในโสตประสาทเป็นเสียงคนจำนวนมากหัวเราะทั้งหญิงและชาย
เสียงนั้นดังอยู่ใกล้หูประหนึ่งว่ากำลังหัวเราะอยู่ข้างๆนี่เอง
สำเนียงเป็นเชิงเยาะหยันอยู่ในที ทันใดนั้นผมก็นึกได้ว่า
วิทยุในรถนั้นสัญญาณดับไปตั้งนานแล้ว และเสียงนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้
นอกจากเสียงของผู้ที่ไม่มีร่างที่ยังคงเร่ร่อนอยู่ในสถานที่ที่ปลิดชีพเขาเหล่านั้นนั่นเอง

เมื่อคิดได้ดังนี้ก็ระลึกถึงสิ่งที่คุณแม่เคยสอนไว้ได้ว่า
ไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ใด ให้ห้อยพระไว้เสมอแล้วบูชาท่านด้วยบทสวดชินบัญชร
เทวดาจะได้มาปกปักคุ้มครองเพราะเทวดาท่านโปรดฟังเสียงสวดมนต์
ผมจึงตั้งสมาธิทำจิตอธิษฐานขออารธนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขอให้อาเพศทั้งหลายเหล่านี้ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ สิ้นสุดลงเสียที
เพราะผมแทบจะฝืนร่างกายขับรถต่อไปไม่ไหวอยู่แล้ว

ผมจึงเริ่มสวดคาถาชินบัญชร ท่อนที่นึกออกมาได้ในขณะนั้น

"ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮึตะเล

สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริ สาสะภา..."

"ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น
จงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้าผู้อยู่ในภาคพื้นท่ามกลางพระชินบัญชร
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล..."

แล้วผมก็อาราธนาพระบารีของพระอรหันต์สาวกทุกพระองค์
ช่วยปกป้องดุจเป็นข่ายเพชรป้องกันภยันตรายใดๆที่อาจถูกอำนาจที่มองไม่เห็นตัวดลให้เป็นไป
เมื่อสิ้นเสียงสวดมนต์
ในเสี้ยววินาทีนั้นเองเป็นเสี้ยววินาทีที่ผมจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต
นั่นคือ หมอกอาเพศและเสียงหัวเราะที่น่าพรั่นพรึงทั้งหลายหายไปหมดสิ้นเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นคือ ดวงไฟกลมใหญ่ 2
ดวงซึ่งเป็นตาของรถบรรทุกดินขนาดสิบล้อก็ส่องสวนมาทันที
เหมือนเขาก็พึ่งเห็นรถของผมเหมือนกัน
เขาจึงรีบหักหลบลงถนนข้างทางที่เป็นลูกรังไปเล่นเอาดงไม้ข้างทางราบไปเป็นแถบ
เมื่อผ่านช่วงโค้งอาถรรพ์นั้นมาได้แล้ว ผมจึงหยุดรถที่ไหล่ทางลงไปช่วยดู
ปรากฏว่าไม่เป็นอะไรกันมากและสิ่งที่คนขับรถปิ๊กอัพเล่าก็คือ
เขาเห็นหมอกหนาทึบมากผิดปกติเช่นกัน
แต่เนื่องจากมีผู้โดยสารมาด้วยจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก
ยังคงเหยียบด้วยความเร็วเท่าเดิม
มาตกใจเอาตอนที่จู่ๆก็เห็นแสงไฟรถผมสาดเข้ามาจึงรีบเบี่ยงลงข้างทาง
ผมนึกแล้วยังขนลุกอยู่ไม่หายเลยว่า
ถ้าเกิดประสานงากันขึ้นจริงคงมีคนตายเยอะ เพราะปิ๊กอัพมีแต่เด็กๆทั้งนั้น

เมื่อกลับมาขี้นรถตั้งสติได้
แล้วผมก็ก้มกราบพระรูปของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตที่นับถือสูงสุดมาตลอดชีวิต
ตั้งสมาธิจิตขอบพระเดชพระคุณที่ท่านได้ช่วยชีวิตสัตวโลกไว้ไม่ให้ต้องถูกตัดรอนก่อนถึงกาลอันสมควร
แล้วจึงค่อยๆขับอย่างระมัดระวังไปจนถึงโรงพยาบาลแหลมงอบ ขณะนั้นเป็นเวลา
๕ ทุ่มเข้าไปแล้ว รวมความว่าผมใช้เวลาอยู่บนถนนอาถรรพ์นั่นถึง ๑
ชั่วโมงเต็ม ที่น่าแปลกก็คือ เหมือนหมอกนั้นทำให้เวลาผ่านไปนานกว่าปกติ
เพราะจะว่าไปถึงผมจะขับช้าอย่างไร
ก็ไม่เคยใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงอย่างนี้
หรือช่วงเวลาที่ผ่านหมอกนั้นมีสิ่งใดดลใจให้เวลาผ่านไปช้าลง?
ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักเรพาะถ้าต่างฝ่ายยังขับด้วยความเร็วปกติคงไม่แคล้วอุบัติเหตุแน่ๆ

ในคืนนั้นผมได้มานั่งใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แล้วก็เกิดความกระจ่างในใจขึ้นมาได้ว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนั้นอาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้มีอุบัติเหตุการชนกันอย่างรุนแรงที่โค้งนั้น
เหตุอื่นไม่ว่าจะจากความประมาทหรืออย่างไรก็ตามก็คงมีด้วย
แต่น่าจะมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องพบพาน "หมอกอาถรรพ์" นี้เหมือนอย่างผม
แต่...เขาเหล่านั้นไมได้มีโอกาสกลับมานั่งเล่านั่นเอง
หมอกประหลาดเหล่านั้นอาจไม่ใช่หมอกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเพราะขณะนั้นเป็นเวลาปลายปีซึ่งอากาศมักแจ่มใสอยู่เสมอ
ฉะนั้นเมื่อเลิกงานในเย็นวันรุ่งขึ้นผมจึงนำเรื่องที่พบเห็นไปเล่าให้หลวงพ่อที่คุ้นเคยฟัง
ท่านครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นจึงกล่าวช้าๆว่า

"โยมหมอเคยฝึกจิตมาบ้างหรือไม่?"

ผมก็กราบเรียนท่านไปว่า ได้เคยฝึกอยู่แต่ก็คงไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก
เพราะเป็นการทำสมาธิช่วงสั้นๆก่อนจะเริ่มตรวจคนไข้ ท่านจึงกล่าวต่อ

"เรื่องที่โยมหมอรอดมาได้นั้นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านคุ้มครองเป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อยนัก
คงเพราะอานิสงค์ที่หมอเคยทำสมาธิมาก่อน
จิตถึงมีพลังในการกล่าวพระคาถาจึงเกิดพุทธานุภาพที่ศักดิ์สิทธิ์มาก"

หลวงพ่อบอกว่า ดวงวิญญาณที่โค้งมรณะที่ยังวนเวียนเป็นสัมภเวสียังมีอีกมาก
ทั้งที่ได้มีการทำบุญให้ทุกปีเนื่องจากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย
เรียกง่ายๆว่าโค้งนี้แออัดไปด้วยดวงวิญญาณนั่นแหละ
พอพูดถึงตอนนี้ผมก็นึกถึงภาพเงาผู้คนมากมายในหมอกทึบนั้นขึ้นมาทันที
แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า ถ้าเป็นผู้ที่ชาตาตกหรือถึงฆาตนั้น
หมอกวิญญาณจะสามารถดลให้เกิดอาเพศอื่นได้อีก
เป็นต้นว่าบังให้มองไม่เห็นแอ่งลึกข้างไหล่ทางจนรถตกถนนพลิกคว่ำซึ่งก็เกิดอยู่บ่อยๆ
จากนั้นก็สนทนาธรรมกับหลวงพ่อพอสมควรแก่เวลาที่ท่านจะต้องไปทำวัตรเย็นแล้วจึงกราบนมัสการลากลับ
ท่านยังกล่าวปิดท้ายว่า

"ถ้าเป็นคนอื่นไม่รอดแล้วนะ"

หลังจากเหตุการณ์หมอกประหลาดผ่านไป ๒ สัปดาห์ ขณะที่ผมอยู่เวรเย็น
ตอนนั้นผมก็เกือบๆจะลืมเหตุอาถรรพ์ในคืนนั้นได้อยู่แล้ว
พลันเสียงเพจเจอร์ประจำตัวก็ดังขึ้นพร้อมข้อความว่า

"ด่วน! เคสชันสูตรที่ห้องฉุกเฉิน"

ผมรู้สึกแปลกใจมาก
เพราะโดยมากเคสชันสูตรมักเป็นการเสียชีวิตจากทะเลาะวิวาทและมาในช่วงกลางดึก
แต่นี่เริ่มแต่หัววันเลย จึงรีบเดินจากบ้านพักไปที่ห้องฉุกเฉิน
เมื่อไปถึงปรากฏว่าไม่เห็นญาติผู้ตายเลยสักคน เห็นแต่เด็กผู้ชายอายุราวๆ
๗ ขวบยืนตาแดงก่ำอยู่คนเดียว

ภายในห้องฉุกเฉินซึ่งบัดนี้เปลี่ยนเป็นห้องชันสูตรชั่วคราว
โดยศพผู้ตายนอนอยู่บนเตียงสแตนเลสกลางห้อง
เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดผ้าใบคลุมศพออกให้เห็นหน้าชัดนั้น
ผมและพยาบาลก็แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ด้วยดวงหน้าที่เห็นนั้นคือ
หน้าของยายที่กระเดียดกระจาดมาขายผักเล้กๆน้อยๆให้ชาวโรงพยาบาลเป็นประจำ
แกไปเที่ยวเก็บผักหญ้าตามข้างทางมาขายหารายได้เล็กๆน้อยๆเลี้ยงตัวในแต่ละวัน
เพราะลูกๆไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วก็ไม่เคยกลับมาส่งเสียเลี้ยงดูแกเลย
ส่งมาอย่างเดียวคือหลานชายตัวน้อยนี้ให้แกเลี้ยงอีกนั่นเอง
ยายเลยจำเป็นต้องมาเดินงกๆเงิ่นๆขายของทั้งที่ไม่ใช่งานของคนวัย ๗๐
อย่างนี้เลย แต่วันนี้แกคงไปสบายแล้ว
ไม่ต้องมาเดินขายของให้เหนื่อยอีกต่อไป ผมถามคนนำส่งได้ความว่า
ยายถูกรถปิคอัพชนเต็มแรงขณะที่กำลังเดินข้ามถนน
เมื่อถามว่าเป็นถนนช่วงไหน คำตอบที่ได้มาทำให้ผมสะกิดใจทันที
ตรงสถานที่มรณะของยายคือ ถนนช่วงโค้งหักศอกนั่นเอง
คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ทั้งที่รถคันนั้นทั้งบีบแตรและเปิดไฟสูงเตือน
แต่ยายก็เอาแต่เดินเหม่อข้ามถนนคล้ายอยู่ในภวังค์
รถจึงชนแกเข้าอย่างเต็มแรง
สภาพศพที่ผมชันสูตรด้วยความเศร้าใจในวันนั้นคือ
กระดูกต้นคอหักสะบั้นและข้อเท้าขวาหัก
กระดูกโผล่ออกมาจนเท้าเหลือแต่หนังบางๆยึดอยู่
แต่มองภายนอกเหมือนไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก หลังจากจัดการให้ยายเสร็จ
วันหลังๆจากนั้นผมก็ถามไถ่คนแถวนั้นถึงเรื่องหลานยายและได้ฝากเงินจำนวนหนึ่งไปช่วยหลานเล็กของยายที่กำลังเรียนอยู่
อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยผ่อนภาระได้บ้าง

น่าแปลกที่แรงอาถรรพ์ของถนนสายนั้นทำให้เกือบเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ถึง
๒ ครั้งภายในเวลาไม่นาน
ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุครั้งแรกไม่ประสบผลหรือเปล่าที่ทำให้ต้องมีการสังเวยชีวิตให้ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน
แต่ก็ด้วยพระบารมีของ พระคาถาชินบัญชร และ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
พรหมรังสี จึงทำให้ผมรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์จากสิ่งที่มองไม่เห็นตัวได้

เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อเกือบสิบปีมาแล้ว
ในบัดนี้จึงเขียนเล่าเรื่องนี้โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คุณผู้อ่านบ้าง
เหมือนคนรักชอบกันได้สิ่งดีมาก็ต้องแบ่งปัน
เช่นเดียวกับที่คุณแม่ของผมได้เตือนผมให้ห้อยพระไว้ตลอดเวลาและสวดมนต์เพื่อให้มีสติอยู่เสมอ
ไม่ใช่ห้อยเฉยๆเพื่อรอให้ท่านช่วยอย่างเดียว

เพราะพระบูชาที่ห้อยคอและบทสวดมนต์นั้น มีไว้เพื่อเตือนให้เรามี "สติ"
รู้ตัวพร้อมอยู่ทุกขณะจิตนะครับ

ที่มา ต่วย'ตูน ปีที่ ๓๗ เล่มที่ ๑๑ ปักษ์แรก-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น