++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

3 สาวเภสัชฯ ม.อ.แจ้งเกิด"ยาอมฆ่าเชื้อราในช่องปาก"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤศจิกายน 2552 09:18 น.
3 นศ.สาวเพื่อนซี้คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) พัฒนายาอม (lozenges) ฆ่าเชื้อราในช่องปาก เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ เหมาะสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อราในช่องปาก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ

ปัจจุบันยังนำเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาแพง แพทย์จึงจ่ายยาฆ่าเชื้อราชนิดเม็ดเหน็บช่องคลอดให้แทน เพราะเป็นรูปแบบยาฆ่าเชื้อราที่มีจำหน่ายอยู่มากและราคาไม่แพง ซึ่งผู้ป่วยที่ได้รับการสั่งจ่ายยาดังกล่าวไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเท่า ที่ควร เพราะเป็นรูปแบบที่ไม่น่าอม และยังทำร้ายจิตใจของผู้ป่วยได้

นศ.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พัฒนายาอม (lozenges) ฆ่าเชื้อราในช่องปาก เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ เหมาะสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อราในช่องปาก

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้สามสาวเพื่อนซี้ อย่าง “ชนิดา จันทรกุลนาคา” และ “จุฑาภรณ์ อโนทัย” และ “นันทพร พัฒนขจรสกุล” นักศึกษาชั้นปีที่ 5 ปีการศึกษา 2551 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จึง ได้ดำเนินการศึกษาพัฒนารูปแบบยาฆ่าเชื้อราให้ออกฤทธิ์เฉพาะที่ ในรูปแบบยาอม โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ภายใต้โครงการ IRPUS (Industrial and Research Projects for Undergraduate Students) โดยมีผศ.ดร.สมฤทัย จิตภักดีบดินทร์ ภาควิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม เป็นที่ปรึกษาโครงการ และโรงยาเภสัชกรรมเคนยากุ(ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ร่วมโครงการ

ทั้งนี้ ชนิดา ตัวแทนกลุ่มอธิบายถึงที่มาของผลงานชิ้นนี้ว่า โดยส่วนใหญ่ยาฆ่าเชื้อราส่วนใหญ่มีรสขม จึงนิยมเตรียมเป็นยาเม็ดเคลือบรับประทาน หรือยาเหน็บช่องคลอด ในผู้ป่วยที่มีเชื้อราแผ่กระจายในช่องปาก เช่น ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ มักมีอาการอักเสบในช่องปากเนื่องจากเชื้อแคนดิดา (Oral candidiasis) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาส อาการที่สำคัญได้แก่ การเกิดฝ้าสีขาวครีมหรือสีเหลืองที่บริเวณลิ้นและภายในช่องปาก ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้เจ็บปวดในช่องปาก รู้สึกทรมานจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้ เป็นเหตุให้ภูมิต้านทานยิ่งลดต่ำลง และสร้างความอับอายให้แก่ผู้ป่วย แพทย์จำเป็นต้องจ่ายยาฆ่าเชื้อราในรูปแบบยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ ได้แก่ ยาอม


“เราพบว่ามีการ แก้ปัญหายาอมทางการค้าที่มีราคาแพง โดยแพทย์สั่งจ่ายยาเหน็บช่องคลอดซึ่งออกฤทธิ์เฉพาะที่เช่นกัน ให้ผู้ป่วยอมแทน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่ถูกต้องในการนำส่งยาที่เหมาะสม เพราะยาเหน็บยังเป็นรูปแบบที่ไม่มีการปรุงแต่งรสชาติ และการแตกตัวในช่องปากไม่ดี นอกจากนั้นยังเป็นรูปแบบที่ทำร้ายจิตใจของผู้ป่วยในการใช้ยา ทำให้ผู้ป่วยไม่พึงพอใจในรูปแบบยา และให้ความร่วมมือในการรักษาไม่เต็มที่ การรักษาจึงไม่ประสบประสิทธิผลเท่าที่ควร”

นักศึกษาเภสัชศาสตร์ดังกล่าวจึงได้ศึกษาพัฒนารูปแบบยาอมฆ่าเชื้อราใน ช่องปาก โดยมีแนวทางในการศึกษาพัฒนา คือ ศึกษาข้อมูลเพื่อการคัดเลือกยาฆ่าเชื้อราที่เหมาะสมที่ต้องการนำมาพัฒนา โดยคัดเลือกยาที่มีการศึกษาว่า มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อราที่ดีที่สุด และศึกษาขนาดใช้ของยา โดยสามารถแบ่งอมใน 1 วันได้ปริมาณยาที่พอเหมาะ

จุฑาภรณ์ และนันทพร ทำ หน้าที่ชี้แจงว่า จากการรวบรวมข้อมูลและมีการนำเสนอในวิชาสัมมนาทางเทคโนโลยีเภสัชกรรม จึงคัดเลือกยาฟลูโคนาโซลเป็นตัวยาเพื่อการพัฒนารูปแบบยาอมต่อไป จากนั้นจึงพัฒนาวิธีการกลบรสขมของยา โดยศึกษาเปรียบเทียบวิธีการกลบยา 2 เทคนิค คือ

“เทคนิค ที่ 1. เป็นการกลบรสยาด้วยสารกลบรสตามทฤษฎีทางเภสัชกรรมโดยทั่วไป และเทคนิคที่ 2 โดยการเคลือบตัวยาฆ่าเชื้อราเพื่อบดบังรสของยาด้วยฟิล์มที่สามารถละลายได้ ก่อนมาปรุงแต่งด้วยรสชาติที่เหมาะสม

ทั้งนี้ได้ศึกษาวิธีการผลิตยาจนได้รูปแบบที่ต้องการ และศึกษาสมบัติต่างๆ การประเมินผลของรูปแบบยาอมที่ได้ตามเภสัชตำรับที่เหมาะสม รวมทั้งการศึกษาผลทางจุลชีววิทยาของยาอมที่เตรียมได้ พบว่า การเตรียมยาอมฆ่าเชื้อราพลูโคนาโซลในช่องปากด้วยเทคนิคการเคลือบบดบังรสของ ยาด้วยฟิล์มที่สามารถละลายได้ก่อนปรุงแต่งรสยา จะได้ผลิตภัณฑ์ที่น่าใช้กว่าการใช้เทคนิคกลบรสโดยทั่วไป และยังมีสมบัติในการฆ่าเชื้อราไม่แตกต่างจากตัวยามาตรฐาน

นอกจากนั้นยังสามารถเตรียมเป็นยาอมที่มีราคาไม่แพง (ไม่เกินเม็ดละ 2 บาท) ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางการค้าของโรงยาเภสัชกรรมเคนยากุ(ประเทศ ไทย) จำกัด”

หลังจากเสร็จสิ้นโครงงานวิจัยของนักศึกษา โครงการดังกล่าวได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอในงานมหกรรมผลงานวิจัย IRPUS ครั้งที่ 7 และได้รับรางวัลชนะเลิศ Professional award สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประจำปี 2551 โดยจะเข้ารับมอบรางวัลจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ


นับ เป็นอีกหนึ่งความสามารถของนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภายใต้การดูแลให้คำแนะนำจากคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ โดยที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย 1 ใน 9 สถาบันของประเทศไทย ผลงานของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ทั้ง 3 คนที่ได้ทำชื่อเสียงให้แก่มหาวิทยาลัย เป็นผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ทางการสาธารณสุขของไทยต่อไป
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000139906

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น