++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"จิตตนาถ" ยันจุดยืนสื่อเหมือนเดิม ลั่นแม้พรรค ก.ม.ม.ทำผิดก็ตรวจสอบ

รายการ "แอน จินดารัตน์" ดำเนินรายการโดย นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ
ออกอากาศทาง ASTV เวลา 20.30-22.00 น. วันจันทร์ที่ 16 พ.ย.2552
ได้รับเกียรติจาก นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ทายาทสื่อในเครือ ASTV
มากล่าวเปิดใจกับภาระที่ได้รับมอบหมายดูแลกิจการในเครือ ASTV ทั้งหมด

นายจิตตนาถ กล่าวถึงภาระหน้าที่ในการดูแลธุรกิจในเครือ ASTV ว่า
ไม่หนักใจ เพราะก่อนหน้านี้รับหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของผู้จัดการ
มาเป็นเวลาถึง 5-6 ปีแล้ว
วันนี้ภาระที่เพิ่มขึ้นก็เพียงรับโอนความรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลากร
การเงิน ธุรกิจในเครือ ASTV ทั้งหมดเข้ามาเต็มตัวเท่านั้น
เมื่อถามถึงกิจการสินค้าของ ASTV ว่าเป็นอย่างไร นายจิตตนาถ กล่าวว่า
ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ถึงตอนนี้เรามีสินค้าทั้งหมดประมาณ 50 ชนิด
ส่วนใหญ่เป็นสินค้าของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ตอนนี้สินค้าที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่ "ข้าวสาร" มียอดขายประมาณ
7.8 หมื่นถุงต่อเดือน สำหรับเรื่องของราคานั้น อาจมีลูกค้าบ่นบ้าง
ตรงนี้หลายคนอาจมองว่าสินค้าอย่างเดียวกัน แต่ทำไมของเราแพงกว่า
เป็นเพราะว่าข้าวที่เรานำมาใช้ผลิตเป็นข้าวเกษตรอินทรีย์แท้
สั่งซื้อจากฟาร์มเกษตรอินทรีย์
รับรองว่ากินแล้วไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกาย
และเป็นข้าวเจ้าแรกที่คำนึงถึงสุขภาพผู้บริโภคอย่างแท้จริง
มีจำหน่ายที่ร้าน ASTV ที่เดียวเท่านั้น

ส่วนสินค้าที่ขายดีรองลงมา เป็น "ปุ๋ยขวัญดิน" ซึ่งผลิตโดย
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง โดยแนวโน้มมีโอกาสทำราคาขายแซงข้าว
หลายคนที่ซื้อไปใช้เอ่ยปากชมใช้แล้วดินดีขึ้น
ทำให้ดินที่เสื่อมจากการใช้สารเคมีฟื้นตัว จนได้ขึ้นชื่อเป็นคำขวัญว่า
"ปุ๋ยขวัญดิน ซ่อมแผ่นดิน" ทำยอดขายได้ประมาณ 20 กว่าล้านบาทต่อเดือน
ซึ่งตนขอรับรองว่าปุ๋ยขวัญดินไม่มีปลอมแน่นอน เพราะ พล.ต.จำลอง
ให้คนจากกองทัพธรรมไปนอนเฝ้าดูแลการผลิตตลอด 24 ชม.

"โปรดักต์สินค้าของเราต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่าง แชมพู
ครีมนวดทำจากข้าวนิล สบู่ ยาสีฟัน ก็ทำมาจากสมุนไพร กระดาษทิชชู
ของเราไม่ใส่สารเรืองแสง ทั้งนี้
ยอดขายของสินค้าทุกอย่างที่ยังไม่หักค่าใช้จ่าย รวมแล้วได้ประมาณ 20-30
ล้าน ซึ่งถือว่าขณะนี้การเงินของเอเอสทีวีดีขึ้น
สามารถนำกำไรมาจ่ายเป็นเงินเดือนให้พนักงานได้คล่องตัวกว่าเก่า
ไม่ต้องติดค้างเป็นเวลานาน หากในอนาคตธุรกิจยังขยายตัวได้เรื่อยๆ
เราจะมีเงินจ่ายพนักงานได้ทั้งหมด สินค้าของเรา เอเอสทีวีโปรดักต์
เป็นที่เดียวและที่แรกของโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน
เพราะเขาอยากให้มีสื่อดีๆ ออกอากาศต่อไป" นายจิตตนาถ กล่าว

นายจิตตนาถ กล่าวต่อว่า สินค้าของพันธมิตรฯ
ที่นำมาฝากขายมาจากหากหลายที่
ซึ่งในนี้มีจำนวนไม่น้อยมาจากผู้ประกอบการที่ทำกันภายในครอบครัว
เป็นสินค้าคุณภาพที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
เดิมทีเขาอยากขายตามห้าง แต่ติดที่ห้างไม่รับบ้าง
หรือมีกำลังทรัพย์ไม่พร้อมที่จะจ่ายค่าวางสินค้าบ้าง
จุดนี้เองทำให้เขาไม่สามารถตั้งตัวได้ แต่เมื่อเข้ามาหาเรา
เราก็มองเห็นคุณภาพของสินค้าควรได้รับการสนับสนุน
เราก็เข้าไปจัดการกระจายสินค้าไปตามสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย
เมื่อสินค้าขายได้ก็ทำให้เขาสามารถอยู่ได้ เศรษฐกิจรากหญ้าก็เติบโต
ส่วนผู้ประกอบการที่เป็นโรงงาน หลายเจ้าก็มาหาเรา
เนื่องจากหากเอาโปรดักต์ที่เป็นยี่ห้อสินค้าของเขาไปวางขายที่ห้างเทสโก้โล
ตัส ถ้าสินค้านั้นขายดีจะถูกตรีตราเป็นยี่ห้อเทสโก้โลตัสทันที
ที่สำคัญกว่าทางห้างเทศโก้โลตัสจะจ่ายเงินค่าสินค้า ผู้ผลิตต้องรอถึง 6
เดือน แต่ของเราจะเคลียร์เงินให้ผู้ผลิตทุกๆ 15 วัน
เพื่อให้เขามีเงินหมุนเวียนก็สามารถที่จะนำไปพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้นได้
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าร้านโชห่วยต่อให้ปรับปรุงร้านดีขนาดไหน
ก็สู้ห้างเทสโก้ไม่ได้ ตราบใดที่ของที่คุณทำมีขายในห้าง
เพราะทุนเขาหนากว่า

นายจิตตนาถ กล่าวอีกว่า เอเอสทีวีโปรดักต์แบ่งสินค้าเป็น
1.สินค้าอุปโภคบริโภค 2.เวชภัณท์ 3.ออแกนิกส์ อินทรีย์ปลอดสารพิษ
4.มัลติมีเดีย เช่น เอสเอ็มเอส 5.เซอร์วิส หรือการปริการ เช่น
การประกันภัย ส่วนโครงการที่จะตามมาในอนาคต อย่างที่ 6.คือ
สินค้าทางด้านเทคโนโลยี ตรงนี้ก็มีแนวคิดว่าจะผลิตมือถือที่ดูทีวีได้
7.ทำสื่อขายตรง และ 8.สร้างเครือข่ายการขายตรง เหมือนธุรกิจแอมเวย์
โดยสินค้าใหม่ทั้งหมดนี้น่าจะเริ่มต้นไม่เกินเดือน มกราคม 2553

"ตอนนี้เรามีตัวแทนสาขาที่ขายสินค้าของ ASTV ประมาณ 500
กว่าร้านแล้ว ครอบคลุมทุกจังหวัด เราพยายามสร้างระบบเศรษฐกิจตัวอย่าง
ไทยเข้มแข็ง ให้รัฐบาลดู สินค้าของเราประชาชนกระตือรือร้น
ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี บางจังหวัดลงขันกันเปิดร้าน ASTV
เขาผลิตสินค้าสมุนไพรภายในชุมชน แล้วเอามาวางขายด้วยการการันตรีของเรา
ทำแล้วร้านค้าขายได้ เขาก็อยู่ได้ ส่งผลให้กลุ่มรากหญ้าเข้มแข็งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ใครมาทำสินค้ากับเราไม่ใช่ว่าเราจะรับทั้งหมด
สิ่งแรกเราจะดูที่คุณภาพเป็นหลัก และจะต่อสัญญาทุก 6 เดือน
หากตรวจสอบพบว่าผู้ผลิตโกง ไม่สุจริต เราก็จะไม่ต่อสัญญาให้" นายจิตตนาถ
กล่าว

นายจิตตนาถกล่าวถึงอุปสรรคของการค้าขายในช่วงเริ่มต้นว่ามีปัญหาด้าน
ศูนย์รับสั่งสินค้า (คอลเซ็นเตอร์) ที่รับสายไม่ทัน
เนื่องจากมีการจัดพนักงานไม่เพียงพอ
เพราะไม่คิดว่าจะมีผู้โทร.มาสั่งสินค้ามากขนาดนี้
แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้ว เราจัดพนักงานเพิ่มประมาณ 20 กว่าคน
อีกอย่างสินค้า ASTV ได้รับการตอบรับดีมาก ประชาชนโทรมาสั่งของ
ทำให้ยอดออเดอร์เยอะ ส่งผลให้ผู้ผลิตที่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตภายในครอบครัว
ผลิตไม่ทัน และการจัดจำหน่าย ช่วงแรกตอนนั้นเราใจดี โทร.สั่งของชิ้นเดียว
เราก็บริการส่งให้ฟรี
แต่มันก็มีข้อเสียตรงที่มีบางบ้านก็ยอมรับว่าอาจหวังดีอยากช่วย ASTV
โทร.มาสั่งทุกวันๆ ละชิ้น จนทำให้เราส่งไม่ทัน
ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องแก้กติกากันใหม่กำหนดเกณฑ์ขั้นต้ำ
สำหรับผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล สั่งของครั้งหนึ่งอย่าให้ต่ำกว่า
500 บาท สำหรับผู้ประกอบการ ที่ต้องการนำสินค้าของเราไปขาย
ปกติราคาส่งจะต้องสั่งของชิ้นละมากๆ แต่ลูกค้าต้องการของหลายๆ
อย่างผสมกัน เมื่อเป็นอย่างนี้เราก็ตั้งกฎใหม่ งั้นก็ขอเป็น 20,000
บาทต่อครั้ง หากของที่สั่งไปสินค้าบางอย่างยังไม่หมด อยากเติมของ
ก็ขอให้สั่งที่ละ 5,000 บาท ทั้งนี้ ในอนาคตคาดว่า สินค้า ASTV
น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 200 รายการ

เมื่อกล่าวถึงภาระหน้าที่ในการดูแลสื่อของประชาชนอย่าง ASTV
นายจิตตนาถ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับตน
ประสบการณ์ในชีวิตวนเวียนอยู่กับวงการนี้มานานพอควร
อย่างตอนเป็นเด็กช่วงปิดเทอมก็เป็นเด็กเดินเอกสาร
ช่วงทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ตนก็คลุกคลีอยู่กับพ่อ (นายสนธิ
ลิ้มทองกุล) ตลอด ที่ผ่านมาช่วงที่มีการเลือกข้าง
จากที่เคยกู้เงินธนาคารมาลงทุนได้ พอเรามีปัญหากับรัฐบาล
ธนาคารเหล่านั้นก็ฉีกสัญญาทิ้งไม่ให้กู้อีกต่อไป
เนื่องจากหวั่นเกรงอิทธิพลทางการเมือง เพราะสื่ออย่าง ASTV
แฉพฤติกรรมนักการเมืองเป็นปกติ ทำให้สังคมไทยตื่นตัว
จนเป็นเหตุให้รัฐบาลที่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่พอใจ
พยายามล้มสื่ออย่าง ASTV อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ความแลวร้ายต่างๆ
เราฝ่าฟันมาได้ เราผ่านมาทั้งหมดแล้ว จึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวล
กับการเลือกข้างอีก การทำให้คนเชื่อข่าวสาร เป็นเรื่องยาก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนที่เราเคยกล่าวหาอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ
พยายามล้มสถาบัน ทุกวันนี้ก็ได้ปรากฎหลักฐานชัดเจน
แล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

"ผมไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย
พื้นฐานเคยใช้ชีวิตในห้องแถวย่านวิสุทธิกษัตริย์
แต่ยอมรับว่าครั้งหนึ่งก็เคยใช้ชีวิตอย่างหรูที่สุดเหมือนกัน
เมื่อครั้งพ่อ (นายสนธิ ลิ้มทองกุล) ประสบความสำเร็จจุดสูงสุดของชีวิต
ก็เคยเช่าเครื่องบินเหมาลำเหมือนอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอยู่มาแล้ว
ตอนที่พ่อเลือกข้างเดินทางที่เห็นว่าถูกต้อง ทุกคนที่เคยทำงานร่วมกันทั้ง
ตำรวจ ทหาร หายหมด แต่พอพ่อสู้ชนะ ก็ฮือกันเข้ามาห้อมล้อม
สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมทางการเมืองที่ตนเห็นมาตลอด เห็นความไม่แน่นอน
เห็นเบื้องหลังการเมือง สิ่งเหล่านี้แกได้ให้ภูมิคุ้มกันผม
มาตั้งแต่เกิดแล้ว โดยที่แกไม่รู้
หลายคนเป็นห่วงว่าผมยังไม่มีประสบการณ์แข็งเท่าพ่อ ตรงนี้ก็ขอยอมรับ
แต่เชื่อว่าเข้มแข็งพอสำหรับคนที่มีอายุไล่เลี่ยกัน" นายจิตตนาถ กล่าว

นายจิตตนาถ กล่าวด้วยว่า หลายคนไม่ทราบว่าตนเองวาดรูปการ์ตูนเก่ง
เคยคิดอยากทำงานด้านวงการสื่อการ์ตูน เรียนจบมาก็ได้ไปสมัครงานหลายที่
แต่เนื่องจากพิษเศรษฐกิจทำให้ไม่มีใครรับงาน
จะพูดไปแล้วก็เหมือนสวรรค์ลิขิตให้ตนมาทำงานวงการสื่อ
เมื่อความฝันพังหันเหเข้ามาทำงานที่ ASTV เหตุผลที่มาทำหน้าที่ตรงนี้
นามสกุลลิ้มทองกุล เป็นยี่ห้ออยู่แล้ว
โดยสายเลือดย่อมหวงแหนรักษาเอเอสทีวี ปรับปรุงให้มีคุณภาพดีขึ้น
ตนขอให้คำมั่นว่า หากตราบใดที่ยังทำหน้าที่อยู่ตรงนี้ จุดยืนของ ASTV
จะมีศักยภาพอย่างนี้ไปตลอดแน่ ไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคการเมืองใหม่
หากเราพบว่า ทำผิดหน้าที่ ก็จะตรวจสอบออกสื่อเช่นกัน
อย่างไรก็ตามทุกวันนี้รายได้ร้อยละ 25
ได้ถูกจัดสรรให้เป็นสวัสดิการของพนักงาน ในบางเดือนเงินไม่พอ
ต้องเอาเงินเดือนของผู้บริหารไปเฉลี่ยจ่ายให้คนที่มีรายได้ต่ำกว่าก่อน
อย่างตนก็เหมือนกันจะได้รับเงินเดือนช้ากว่าปกติ 3 เดือน
ตรงนี้ถือว่าคนที่ร่วมงานกับเรา เป็นคนที่หนักแน่น
บางครั้งเงินที่เราจ่ายไม่พอ ต้องเลื่อนออกไป เขาก็อยู่กับเรา
หากบริษัทมีฐานะที่ดีขึ้น เราจะให้มีสวัสดิการไม่แพ้บริษัทอื่น
แต่ขอให้ทำงานเต็มที่ พึงระลึกไว้เสมอว่า ประชาชนเป็นเจ้านาย

"คุณสนธิเป็นคนเด็ดเดี่ยว แต่ขี้สงสารคน
แต่ถ้าเป็นเรื่องของประเทศชาติ ตัดก็คือตัด
แต่สำหรับผมแล้วค่อนข้างเด็ดขาด หากเป็นเรื่องของสถาบันชาติ ศาสน์
กษัตริย์ เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เหมือนกัน
ยอมรับว่าการทำสื่อแม้แนวทางการบริหารจะไม่เหมือนกัน
แต่จุดมุ่งหมายเหมือนกัน ผมทำงานยังเคยไปฟาดฟันกับคนของพ่อ
หากเห็นว่าทำไม่ถูก อย่างพ่อคิดจะทำอะไร พูดอะไรไป
คนรอบข้างแทนที่คนจะหาคำตอบ ประเมินให้แก แต่นี่ผิดก็ไม่ทักท้วง
ถ้าเป็นผมหากเห็นว่าผิดจะคัดค้านทันที แล้วประเมินให้แกฟัง
ซึ่งแกก็ยอมรับ อย่าคิดว่าสนธิเป็นศาสดา สุดโต่งไม่รับฟังเหตุผลใคร"
นายจิตตนาถ กล่าว

นายจิตตนาถ ยังกล่าวถึงพินัยกรรมที่นายสนธิทำไว้ให้ว่า
เป็นช่วงเวลาที่รอทำบุญกับหลวงปู่ พุทธะอิสระ พ่อ (นายสนธิ) ได้ถามตนว่า
สินค้า ASTV ดำเนินกิจการไปได้ดีไหม ตนบอกไปได้ดี ซึ่งพ่อก็ได้ย้ำว่า
เราต้องไม่ทรยศต่อประชาชน เพราะประชาชนศรัทธาเราจึงได้ซื้อของ ASTV
พร้อมกับกล่าวว่า หากป๋าตาย ขอให้จำเรื่องนี้ไว้
ความเป็นสื่ออย่างนี้จะต้องคงอยู่ และต้องกระจายความรู้ให้ทั่วถึง
วันหนึ่งถ้าเรามีตังค์อย่าลืมตัว เคยมีชีวิตอย่างไรก็ใช้อย่างเดิม
พร้อมกับกำชับอีกว่า
ถึงแม้จะมีเงินมากแค่ไหนก็ห้ามใช้รถที่แพงกว่าโตโยต้า คัมรี่
อย่างไรก็ตาม คงไม่ตายตัวขนาดนั้น
เป็นที่รู้ดีว่านายสนธิโดนลอบสังหารแต่ไม่สำเร็จ
เมื่อไม่สำเร็จบางทีเขาอาจมาเล่นงานตนแทนก็เป็นได้ เมื่อเป็นดังนี้
หากวันหนึ่งมีสถานการณ์บีบบังคับ จำเป็นต้องใช้รถคุณภาพดี รถกันกระสุน
หรือมีรถหลายคัน เพื่อใช้รถสับเปลี่ยน อย่างนี้เมื่อจำเป็นก็ต้องใช้


http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000138693

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น