++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อำนาจกำหนดใหม่

โดย สันติ ตั้งรพีพากร 17 พฤศจิกายน 2552 19:05 น.
“อำนาจกำหนดใหม่” เป็นจินตภาพสำคัญอีกอันหนึ่งในระบบทฤษฎีการเมืองใหม่ของชาวพันธมิตรฯ

“การเมืองใหม่” ที่คนไทยกำลังร่วมกันสร้าง ประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” ในรูปของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นแกนนำ มุ่งหมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ จากการเมืองเก่าที่สกปรก ขัดขวางพัฒนาการของประเทศชาติ ทำลายความผาสุกของประชาชน เป็นการเมืองใหม่ที่ใสสะอาด ขับเคลื่อนพัฒนาการของประเทศชาติ เสริมสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชนชาวไทย มีภารกิจใจกลางหรือภารกิจสำคัญที่สุด อยู่ที่การสร้าง “อำนาจกำหนดใหม่”

อำนาจกำหนดใหม่ เป็นจินตภาพ (โปรดดูคำอธิบายความหมายของ “จินตภาพ” ประกอบในบท “จินตภาพการเมืองใหม่”)โดยรวมของอำนาจทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาค ประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นองค์อำนาจที่จะพิชิตเอาชนะอำนาจการเมืองของกลุ่มทุนสามานย์ในรูปพรรคการ เมืองต่างๆ ทั้งที่เป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ที่ได้แสดงบทบาทเป็น “อำนาจกำหนดเก่า” กำกับให้การเมืองของประเทศไทยสนองประโยชน์ให้แก่กลุ่มตนมาโดยตลอดตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน

องค์อำนาจนี้ประกอบด้วย

1. อำนาจปัญญา ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจในความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ทั้งในตัวเอง(เรา) และผู้อื่น (เขา) ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความคิดทฤษฎีที่เป็นของตัวเองแนวทางนโยบายที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้อง การของประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง และยุทธวิธีที่พลิกแพลง เป็นต้น จัดอยู่ในบริบทของอำนาจการนำ สะท้อนคุณภาพและประสิทธิภาพของแกนนำในระดับต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค

การจุดเทียนปัญญา สร้างความตื่นตัวให้แก่ประชาชน การเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยการเอาธรรมนำหน้า สร้างความชอบธรรมให้แก่ขบวนการฯ นำไปสู่การก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของขบวนการการเมืองภาคประชาชน เกิดเป็นอำนาจการเมืองภาคประชาชนอันยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์การเมือง ไทย ปูพื้นฐานให้แก่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ประชาชนแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” ได้อย่างแท้จริง

ความคิดทฤษฎีที่เป็นของตัวเอง โดยไม่ “ก๊อบปี้”มาจากตำราหรือบทสรุปของผู้อื่น ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการฯ ภาคประชาชน ดำเนินไปอย่างอิสระ ไม่ตกอยู่ในการครอบงำหรือชี้นำทางความคิดของผู้อื่น ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว สามารถสรุปบทเรียน สั่งสมประสบการณ์ที่ตั้งอยู่บนฐานการเคลื่อนไหวปฏิบัติของตนเองได้ทุกขั้น ตอน หลีกเลี่ยงความผิดพลาดใหญ่ๆ ได้ในทุกขั้นตอนของการเคลื่อนไหว สามารถประมวลองค์ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติอย่างรอบด้านทันที นำไปสู่การยกระดับทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง ขึ้นเป็นหลักการและแนวคิดทฤษฎี ที่นำไปประสานกับการทำงานที่เป็นจริงได้เป็นอย่างดี เช่น การเชิดชูจิตใจที่ “ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ” และคุณสมบัติที่ “ทำงานเป็น” หรือการกำหนดสถานภาพของพรรคการเมืองใหม่ว่าเป็น “เครื่องมือหนึ่งของพันธมิตรฯ” เหล่านี้เป็นต้น

2. อำนาจจัดตั้ง ได้แก่ การบริหารจัดการ การใช้ “เครื่องมือ” ชนิดต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล เช่น การทำงานของพนักงานเอเอสทีวีตลอด 24 ชั่วโมง การจัดกำลัง “การ์ด” พันธมิตรฯ ตลอดเวลา 193 วันของการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณ การประสานงานของเครือข่ายพันธมิตรฯ ทั้งในและต่างประเทศผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี การจัดคอนเสิร์ตการเมือง ฯลฯ ตลอดจนการจัดประชุมใหญ่แกนนำทั่วประเทศลงมติก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในวัน ที่ 24 พฤษภาคม 2552 และการชุมนุมใหญ่ให้ฉันทานุมัติการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2552เป็นต้น ได้ยกระดับการต่อสู้สูงขึ้นเรื่อยๆ สร้างการตื่นตัวอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นในหมู่ประชาชนชาวไทย ทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้มวลมหาชนชาวไทยหูตาสว่าง สนับสนุน เข้าร่วมขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ มากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งอำนาจปัญญาและอำนาจจัดตั้ง แสดงบทบาทเป็น “ผู้กำหนด” ในโครงสร้างขององค์อำนาจที่เป็น “อำนาจกำหนดใหม่” ที่จะนำไปสู่การแสดงตัวของอำนาจมวลมหาชน ซึ่งก็คือ “ผู้แสดงผล” (โปรดดูบทความเรื่อง “ผู้กำหนดกับผู้แสดงผล” และ “ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรฯ กับมวลมหาชน” ประกอบ)

3. อำนาจมวลมหาชน ประกอบไปด้วยมวลชนผู้ตื่นตัวทางการเมือง ต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามแนวคิดอุดมการณ์ของพันธมิตรฯ มวลชนเหล่านี้มีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับที่พร้อมเข้าร่วมขบวนการฯ เช่น สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ จัดตั้งเป็นกลุ่มแกนนำ พามวลชนเข้าร่วมการเคลื่อนไหวโดยตรง หรือในระดับที่คอยให้การสนับสนุนทางด้านเงินทอง วัตถุสิ่งของ และในระดับที่คอยเอาใจช่วย หากมีโอกาส (เช่น ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง) ก็จะให้การสนับสนุนลงคะแนนเสียงให้ทันที

ทั้ง สามอำนาจนี้ ประกอบเข้าเป็น 3 เสาหลักของอำนาจกำหนดใหม่ ขับเคลื่อนตัวเองอย่างเป็นพลวัต แสดงบทบาทเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน โดยมี “ปัญญา” เป็นตัวขับเคลื่อน นั่นคือ เมื่ออำนาจปัญญาเข้มแข็ง อำนาจจัดตั้งก็เข้มแข็ง (กลายเป็น “ผู้กำหนด” ที่เข้มแข็ง) มวลมหาชนก็ตื่นตัว เข้าร่วม และสนับสนุน อำนาจมวลมหาชน (ผู้แสดงผล) ก็เข้มแข็งเกรียงไกร ชี้เป็นชี้ตายได้ เมื่อถึงจังหวะและโอกาส อำนาจกำหนดใหม่ในรูปของอำนาจมวลมหาชนก็จะแสดงตัวเต็มที่ ทำลายอำนาจกำหนดเก่าลงไปอย่างราบคาบ ทั้งในและนอกสนามการเลือกตั้ง

ในทางทฤษฎี “อำนาจกำหนดใหม่” เป็นองค์ประกอบสำคัญในจินตภาพ “การเมืองใหม่” ขณะเดียวกันก็มีนัยหรือแก่นแกนเฉพาะในตนเอง มีจุดเริ่มต้น มีพัฒนาการของตนเอง

อีกนัยหนึ่ง มันมี “ประวัติศาสตร์” ของตนเอง ที่ดำเนินไปในบริบทของประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ ซึ่งในขั้นปัจจุบันนี้ อำนาจกำหนดใหม่ มีสถานภาพเป็น “หัวใจ” ของการเมืองใหม่ การพัฒนาขยายตัวของการเมืองใหม่ ชัยชนะและความสำเร็จที่ปรากฏ ล้วนเป็นผลจากการแสดงบทบาทของอำนาจกำหนดใหม่ นั่นคือ อำนาจกำหนดใหม่สามารถเอาชนะอำนาจกำหนดเก่าได้ในด้านต่างๆ อย่างไม่ขาดสาย ตั้งแต่การล่มสลายของรัฐบาลนอมินีในระบอบทักษิณ การยับยั้งแผนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อแก้วิกฤตให้กับนักการเมืองบางส่วนของ รัฐบาลชุดปัจจุบัน การยับยั้งแผนการคอร์รัปชันในโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000คัน รวมทั้งให้การสนับสนุนการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม ปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและของส่วนรวม ในรูปแบบต่างๆ เช่นการชุมนุมประท้วงการขยายตัวของอุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุด การต่อสู้กับอำนาจการเมืองที่ฉ้อฉลในวงการรถไฟไทยของสหภาพแรงงานการรถไฟ เป็นต้น

แม้ว่า ในปัจจุบันนี้ อำนาจกำหนดใหม่ยังไม่สามารถเอาชนะอำนาจการกำหนดเก่าได้ในทุกๆ ด้าน อำนาจบริหารประเทศยังอยู่ในมือของพรรคการเมืองเก่า นักการเมืองแบบเก่า อำนาจกำหนดเก่ายังครองฐานะเป็นอำนาจหลัก หรืออำนาจครอบงำทางการเมืองของประเทศไทย แต่ก็เชื่อได้ว่า อำนาจกำหนดใหม่จะสามารถยับยั้ง สะกัดกั้นการทุจริตโกงกินของนักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลายได้มากขึ้นเรื่อยๆ สามารถตีกรอบให้รัฐบาลดำเนินการบริหารประเทศไปในทางที่ถูกต้องมากที่สุดเท่า ที่จะทำได้

ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจ ระหว่างอำนาจกำหนดเก่ากับอำนาจกำหนดใหม่ที่อำนาจกำหนดใหม่เป็นฝ่ายรุกโดย ตลอด และขยายตัวเติบใหญ่โดยตลอด จึงมั่นใจได้ว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง อาจด้วยสาเหตุหรือชนวนบางอย่าง อำนาจกำหนดใหม่ก็จะได้จังหวะ “พลิกกระดาน” จากความเป็นด้านรองขึ้นเป็นด้านหลัก เอาชนะอำนาจกำหนดเก่าได้แบบเบ็ดเสร็จ

เมื่อนั้น การเมืองใหม่ก็จะปรากฏเป็นจริง ประเทศไทยก็จะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น