โดย ชัยสิริ สมุทวณิช 25 พฤศจิกายน 2552 14:26 น.
ผมเห็นหนังสือ “ช่อการะเกด” วางอยู่บนโต๊ะ อดนึกถึงเพื่อนเก่ามิได้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เขาคือ “ช่อการะเกด” จริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้เป็นลูกของเขาก็ว่าได้
ผมรู้จักสุชาติมานานคงร่วม 30 กว่าปี ครั้งแรกที่พบกันผมส่งบทละครชื่อ “รถไฟไปกระบี่” ให้เขาตีพิมพ์ในนิตยสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ คือผมเพิ่งเรียนจบและกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ในภาควิชาการหนังสือพิมพ์ เวลานั้นเป็นคณะนิเทศศาสตร์แล้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถานศึกษาชั้นนำ อิทธิพลที่ผมได้รับ และใช้มันมาเขียนบทละครเรื่องนี้มาจากนักเรียนบทละคร เขาชื่อ Samuel Beckett
ผมประทับใจในบทละครเรื่อง Waiting for Godatผมเรียนบทละครนี้ขณะเรียนอยู่ในนิวซีแลนด์ และอยู่ไฮสกูล โรงเรียนผมสอนเช็คสเปียร์ แต่ก็ให้อ่านยอร์จ เบอร์นาร์ด ชอร์ และคนอื่นๆ ด้วย
ผมไม่เคยสอบผ่านภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่ผมเรียนเลย โรงเรียนบอกผมว่าผมต้องเรียนถึง 5 ปี ทั้งๆ ที่ผมจบชั้น ม. 6 มาแล้ว
ผมไม่อยากเป็นเด็กโข่ง อายุมันจะมาก หากเข้ามหาวิทยาลัยก็หมายถึงพ่อแม่ต้องส่งเสียอีกไม่ต่ำกว่า 9 ปี ผมคิดว่าผมอยากเรียนระดับไฮสกูลแค่ 3-4 ปีเท่านั้น
ครู บอกเป็นไปไม่ได้ เด็กฝรั่งยังใช้เวลามากกว่าที่ผมคิดอีก ผมก็นึกว่าคนไทยก็อาจเรียนดีกว่าฝรั่งได้นี่นา แต่เพื่อนที่ประเทศอังกฤษก็บอกว่า อย่าเครียดเลย มันอยู่อังกฤษก็ต้องเรียน 5 หรือ 6 ปี เท่ากันแหละ
ผมมันหัวดื้อ แล้วก็รั้น ความเชื่อมั่นสูงก็ตัดสินใจออกมาเป็นนักเรียนไป-มา ด้วยเหตุผลว่า มันมีโอกาสนอนดึก ผมนอนเที่ยงคืนทุกวัน เพื่อทดแทนความเครียด ผมเริ่มเขียนเรื่องสั้น และนวนิยายไปลงในนิตยสารของคนไทยในนิวซีแลนด์ มีเสียงตอบรับ และผมชนะเลิศในการประกวดวรรณกรรม ผมสอบข้ามชั้น 2 ปีรวด สอบดีทุกวิชา
ดังนั้น กลับมาบ้าน จึงพบกับสุชาติ และบอกกับเขาว่าจะช่วยเขียนบทละคร “รถไฟไปกระบี่” เขียนด้วยพล็อตง่ายๆ 2 องค์จบ ตัวละครมีคนเดียว ลงท้ายด้วยคำว่า “เกิดปฏิวัติในกรุงเทพฯ” แล้วในความเป็นจริง หลังหนังสือออกไม่นาน ก็มีปฏิวัติเกิดขึ้น ความจริงผมเคยเขียนนวนิยายอยู่ในนิวซีแลนด์ก็ออกแนวทำนายมาก่อน
ผมเขียนนวนิยายที่ลงท้ายว่า นักเรียน นิสิตนักศึกษาโค่นรัฐบาลทรราช แล้วขึ้นเป็นรัฐบาลเสียเอง แต่เกิดแตกกันเองจนหมดอำนาจไป
ต่อมาไปเรียนที่วิสคอนซิน กระแสจีนมาแรง
ผมก็เขียนนวนิยายมีตัวละครเป็นผู้หญิงสรุปได้ว่าประเทศไทยกับจีนจะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกัน
เวลานั้นไทย-จีนไม่มีความสัมพันธ์กันเลย เราปราบคอมมิวนิสต์หนักหน่วง
หลาย ปีที่ผมกลับประเทศไทย จึงมีคุณเล็งเลิศ ใบหยกที่ครอบครัวเราสนิทสนม เป็นทางผ่านให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไปเมืองจีนพบกับประธานเหมาเจ๋อตุง และไทย-จีนคบกันเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตสำเร็จ
ครับ... ผมคิดว่าเรื่องบังเอิญ 3 ครั้ง น่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก
หรือว่าผมได้เชื้อแถวจากคุณแม่ เพราะแม่ผมนั้นมักรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเสมอ มันอาจอยู่ในยีนส์ก็ได้
กลับมาเรื่อง ช่อการะเกด ต่อ ช่อการะเกดมีชีวิตที่น่าสนใจ มันเคยเกิด-ดับ มาก็สองสามครั้ง
แต่ตราบใดที่สุชาติ ยังมีลมหายใจ การะเกดก็จะมีชีวิต เป็นนิตยสารทางวรรณกรรมที่ดีที่สุด รวมนักเขียนมากที่สุด มีรางวัลที่ยิ่งใหญ่ และไม่ต้องทำพีอาร์โฆษณาใดๆ
ใครเกิดที่การะเกดก็จะถือว่าได้รับการต้อนรับจากคนอ่านที่ยิ่งใหญ่แล้ว
สำหรับผมนั้น เคยก่อตั้งรางวัลซีไรต์มากับมือเห็นว่า
การะเกดนั้นทำคุณประโยชน์ให้กับนักเขียนไทยมากกว่ารางวัลซีไรต์หลายเท่า
มีความเคร่งขรึม มีคุณภาพสูง และการคัดเลือกเรื่องก็พิถีพิถันมากกว่า โดยไม่ต้องมีกรรมการมากมายเหมือนคณะกรรมการซีไรต์ครับ ในเชิงวิชาการที่นี้ถือว่าที่สุดแล้ว
มีการตอบรับจากคนเขียนมากที่สุดเห็นได้จากจดหมายส่งมาถึงสุชาติมีมากเสียจนเขาต้องให้เนื้อที่หลายหน้า
เล่มล่าสุดก็กล่าวถึงหนังสืออมตะของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งปัจจุบันผมเชื่อว่าเขาบรรลุธรรมไปแล้ว
การะเกดให้เขียนถึงนิทรรศการ การอภิปราย และการแสดงภาพถ่ายที่สถาบันปรีดีฯ เมื่อ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยช่วยป่าวประกาศให้
ที่เหลือเป็นเรื่องสั้นๆ คุณภาพทั้งนั้น ชีวิตของสุชาตินั้นผมว่าเขาใช้ไปกับวรรณกรรมจนเกินคำว่าคุ้มค่า
คงไม่มีใครในโลกที่อุทิศตนให้กับงานวรรณกรรมได้มากไปกว่าเขา
ถ้ามีใครจะเป็นผู้เสนอรางวัลโนเบลจะรับรู้ชีวิตและผลงานของเขา
ผมว่าถึงเวลาแล้วที่สุชาติควรได้รางวัลโนเบลในสาขาวรรณกรรมเสียที และควรเป็นคนไทยคนแรกที่ควรได้รับเกียรตินี้
ผมจะดีใจที่สุด
ถึงคุณสุชาติจะพลาดโนเบลไพซ์ ก็ลองมาอ่านข่าวนี้ได้
ตอบลบhttp://www.ainews1.com/modules.php?name=Web_Board&file=view&No=171