++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คติเตือนใจเรื่องคนฆ่าเสือ

โดย สิริอัญญา 26 พฤศจิกายน 2552 16:25 น.
นายไพศาล พืชมงคล ได้เขียนทวิตเตอร์เมื่อเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน 2552
มอบเป็นของขวัญแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในโอกาสที่ได้มีส่วนสำคัญในการทำให้หยุดการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในช่วงวัน
เฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นับเป็นของขวัญชิ้นแรกหลังจากเดินออกจากพรรคไทยรักไทย เมื่อ 5 ปีก่อน

ของขวัญชิ้นนี้เป็นคติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือ
โดยระบุว่าคติเรื่องนี้เป็นปัญหาทางยุทธศาสตร์ที่ถ้าหากกระจ่างแล้ว
ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของทุกฝ่าย รวมทั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองด้วย

นาย ไพศาล พืชมงคล
ได้ระบุว่าในช่วงที่เป็นกรรมการการเมืองของพรรคไทยรักไทยในช่วงปี
2547-2548 นั้น ได้เตือนในเชิงยุทธศาสตร์ว่ารัฐบาลและพรรคจะต้องไม่สร้างความกลัวให้เกิด
ขึ้นแก่คนทั้งปวง ถ้าหากไม่หยุดสร้างความหวาดกลัว
ในที่สุดทั้งรัฐบาลและทั้งพรรคก็จะพากันพังพินาศหมด

และก่อนหน้านี้ก็ได้เขียนทวิตเตอร์ระบุว่า
ในระหว่างที่พรรคความหวังใหม่ร่วมและรวมกับพรรคไทยรักไทยนั้น
ได้บันทึกทำความเห็นเสนอนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารพรรคในเวลานั้น
เป็นบันทึกถึง 478 ฉบับ ที่ถ้าหากมีการรับฟังปฏิบัติเพียง 5 เรื่อง 10
เรื่อง ก็จะไม่มีชะตากรรมอย่างวันนี้

แต่ก็หามีใครเชื่อฟังไม่
จนบางครั้งต้องยกเอาคำรำพึงของเทพแห่งกาลเวลาซึ่งปรากฏเป็นโศลกบทสำคัญในมหา
ภารตะยุทธ์ขึ้นมารำพึงรำพันว่า

"ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม"

คติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือนั้น นายไพศาล พืชมงคล
ระบุว่าเป็นคติที่มาแต่โบราณ
ที่ผู้นำหรือผู้เป็นกุนซือจะต้องสังวรไว้อยู่ทุกเมื่อ
พลั้งเผลอเมื่อไรเป็นอันตรายเมื่อนั้น

คติสอนใจเรื่องนี้มีว่า
การที่คนฆ่าเสือนั้นมิใช่เพราะคนเกลียดแค้นชิงชังกับเสือแต่ประการใด
แต่ที่คนฆ่าเสือก็เพราะคนกลัวเสือ

คติสอนใจเพียงสั้นๆ เท่านี้มีนัยความหมายที่ลึกซึ้งสำคัญมาก
เพราะเป็นวิถีแห่งการดำรงอยู่
เป็นการอยู่โดยรอดปลอดภัยและถึงซึ่งความสวัสดี
ไม่เป็นที่เกลียดแค้นชิงชังของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย
โดยเฉพาะเหล่าท่านผู้มีอำนาจวาสนาทั้งปวง

แต่ก็หามีใครเชื่อถือรับฟังไม่
กลับพากันตำหนิติเตียนเยาะเย้ยถากถาง
กระทั่งปองร้ายจนต้องเยื้องกรายออกมาจากพรรคไทยรักไทย

มิ หนำซ้ำ คนสำคัญระดับนำของพรรคยังเยาะเย้ยถากถางซ้ำเข้าไปอีก
ด้วยการไปพูดกับนายเสนาะ เทียนทอง ว่าคนตาบอดมันไม่กลัวเสือ
ซึ่งเป็นการตอบคำถามของนายเสนาะ เทียนทอง
เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจน ว่ามิได้ต้องการแก้ไขจริงๆ
แต่เป็นการทำไปเพื่อหาเสียงเท่านั้น
แล้วเหน็บต่อท้ายให้กระแทกมาถึงว่าคนตาบอดมันไม่กลัวเสือ

ซึ่งสะท้อนความคิดจิตใจว่าตั้งอยู่ในความประมาท
เหลิงระเริงในอำนาจอย่างเต็มที่ ดูหมิ่นถิ่นแคลนอาณาประชาราษฎร
ว่าเป็นแค่คนตาบอด ไม่รู้เท่าทัน
หรือถึงแม้จะรู้เท่าทันก็เป็นแค่คนตาบอดที่ทำอะไรเสือไม่ได้

นี่คือการตั้งตนอยู่ในความประมาท
ไม่หยุดยั้งม้าไว้ริมผาให้ทันท่วงที สมกับที่ได้เตือนไว้ ทั้งๆ
ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปนั้นย่อมรำลึกได้เป็นอย่างดีว่า
พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสอนเรื่องนี้ไว้เป็นอันมาก

ทรงตรัสสอนว่า คนเรานั้นหากยังมีผู้เตือน ก็เป็นผู้ที่มีลาภอันประเสริฐ

ทรงตรัสสอนแม้กระทั่งในปัจฉิมโอวาทว่า
จงยังการทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
ความประมาทนั้นแหละเป็นบ่อเกิดของความตายและอันตรายทั้งปวง

ดังนั้นจึงแทนที่จะได้รับลาภอันประเสริฐ
และป้องกันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงตามที่พระตถาคตเจ้าได้ตรัสสอนไว้ให้สมกับ
ความเป็นชาวพุทธ กลับกระตุ้นม้าควบเลยหน้าผาออกไป
ในที่สุดผลเป็นอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่

ความจริงในช่วงนั้นก็มีผู้คนท้วงติงตักเตือนเป็นอันมาก
ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ว่าระดับประธานองคมนตรี
หรือพระอริยสงฆ์อย่างหลวงตาพระมหาบัว
ซึ่งได้ตักเตือนในฐานะที่ขรัวเจ้าเป็นครูบาอาจารย์
ที่เคยให้อุปการะเป็นอันมากมาแต่ก่อน

แต่นั่นแหละบุรพกรรมนั้นมีอยู่จริงแท้ไม่แปรผัน
และเมื่อกรรมอันวินาศมาถึงแล้ว สติปัญญาย่อมวิปลาสแปรปรวนไป
รสชาติแห่งพระธรรมและคำเตือนทั้งปวงก็ไม่อาจคุ้มครองป้องกันอันตรายไว้ได้
ย่อมถึงซึ่งวิบัตินานัปการ จนชีวิตเหลือเป็นคนก็แทบไม่เป็นคน
เป็นนิทรรศน์อุทาหรณ์ให้คนทั้งหลายทั้งปวงได้พิจารณาศึกษาเรื่องความ
ศักดิ์สิทธิ์และความเที่ยงธรรมของกฎแห่งกรรมอย่างชัดเจนที่สุด

นาย ไพศาล พืชมงคล ได้เขียนทวิตเตอร์ไว้ตอนหนึ่งว่า
คำท้วงติงตักเตือนนี้แม้ผ่านวันเวลามา 4-5 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีผลอยู่
อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายทั้งปวง ทั้งปัญหาชาติบ้านเมือง ปัญหาท่าน
ปัญหาตน ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์และความสุขแก่คนทั้งหลาย
รวมทั้งตนเองและครอบครัว ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลายด้วย

ที่ว่าคำเตือนเรื่องคนฆ่าเสือยังมีผลอยู่ก็เพราะว่า แม้ยามนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ครองอำนาจรัฐ
แม้ตัวเองก็ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ในต่างแดน ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่พอใจ ต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย
หงอยเหงาซึมเศร้า ตามวิสัยที่ต้องเป็นไปเช่นนั้น
แต่กลับสามารถสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นแก่คนทั้งบ้านทั้งเมือง

สามารถ สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นเท่าๆ
กับหรือมากกว่าเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยยังเป็นรัฐบาลครองอำนาจเรืองกฤษดา
นุภาพด้วยอำนาจรัฐตำรวจในยุคนั้นเสียอีก

เนื่องเพราะลิ่วล้อบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นมีอยู่ 2
พวก ที่ทำอันตรายและได้ขุดหลุมฝัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่รู้ตัว
และไม่หยุดไม่หย่อน

พวกหนึ่งนั้นเป็นพวกโง่แต่ขยัน
อีกพวกหนึ่งนั้นเป็นพวกฉลาดแต่ขี้โกง คน 2 พวกนี้หลงผิดหรือหลงถูก
คิดว่าการสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในบ้านเมือง สร้างความรุนแรง
สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างความหยาบช้าสามานย์
ต่อทุกชั้นชนและคนทั้งปวงแล้ว จะสร้างความพออกพอใจให้เกิดกับ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

จะทำให้เป็นที่มาแห่งอามิสลาภผลอันเป็นที่พึงปรารถนาจนเป็นที่มาของ
คำกล่าวขานที่ว่า สู้แล้วรวย รวยแล้วไม่ยอมเลิก เป็นต้น
และปรากฏการณ์ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนว่าความเชื่อเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่ง
ความจริงรองรับแต่ประการใด

เมื่อ เป็นอย่างนั้นคน 2 พวกนี้ก็คิดอ่านสรรค์สร้างแผนการต่างๆ
นานาสารพัดสารพัน เพื่อให้เกิดความรุนแรง ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย
เพื่อให้กระทบหรือข่มขู่คุกคามต่อพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันองคมนตรี แม้กระทั่งคณะนางสนองพระโอษฐ์ หรือแม้คนอื่นๆ
ที่เข้าใจว่าเป็นศัตรูของตน

แผนการสารพัดสารเพนี้บางทีก็อาจทำให้ครึ้มอกเคลิ้มใจไปก็ได้
เพราะฟังผิวเผินก็ดูประหนึ่งว่าสวยหรูวิไลเลิศนักหนา
สามารถทำให้กลับมาครองอำนาจในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง
โดยพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งปวง
มีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องและได้ทรัพย์สินเงินทองที่ถูกอายัดกลับคืน
ดังหลักฐานคำกล่าวบางครั้งที่ว่า จะต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปก่อนวันที่ 19
กันยายน 2549 เป็นต้น

ดังนั้นการเผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือนเมษายน ปีนี้
การบุกเข้าไปล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอย่างป่า
เถื่อนทมิฬมารต่อหน้าสายตาผู้นำร่วม 20 ประเทศ
และสื่อมวลชนทั่วโลกจึงเกิดขึ้น

และยังเกิดเหตุทำนองนี้ต่อเนื่อง
กระทั่งล่าสุดก็ประกาศระดมคนเสื้อแดง 1 ล้านคน เข้ากรุง
แบ่งดาวกระจายเป็น 50 จุดๆ ละ 20,000 คน โดยไม่แยแสต่อกฎหมายบ้านเมือง
ไม่แยแสต่อห้วงมหามงคลสมัยที่คนไทยทั้งประเทศมุ่งถวายความจงรักภักดีแก่องค์
พระประมุขเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ประกาศใช้ทุกวิถีทางเพื่อปิดบัญชีล้มรัฐบาล

และ ยังประสานเสียงด้วยการข่มขู่ต่อพระมหากษัตริย์
พระบรมวงศานุวงศ์และคนทั้งปวง ด้วยการยกเรื่องการล้มราชวงศ์ของรัสเซีย
กระทั่งการล้มราชวงศ์ของฝรั่งเศสที่มีการประหารชีวิตพระบรมวงศานุวงศ์อย่าง
อำมหิต โดยเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงมาแก้ปัญหา

แล้วใครจะยอมล่ะ? คนไทยกว่าร้อยละ 90 ของทั้งประเทศ
โดยเฉพาะบรรดาผู้ดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยของชาติต่างมีความรู้สึกเป็น
อย่างเดียวกันว่า ถึงเวลาที่ต้องจัดการกับอริราชศัตรูผู้ก่อการกบฏแล้ว
มหกรรมกินโต๊ะจึงเกิดขึ้นเพื่อจัดการกับการเผาบ้านเผาเมืองรอบใหม่
จนในที่สุดแผนนั้นก็ต้องล้มเหลว

แต่มันได้มาซึ่งความหวาดกลัวของคนทั้งปวงที่กำลังกลัวเสืออย่างสุด
จิตสุดใจ ซึ่งเป็นไปตามคติว่า
เมื่อกลัวมากและไม่มีทางอื่นก็มีแต่ต้องฆ่าเสือเท่านั้น

ดัง นั้นจึงได้แต่หวังว่าคติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือจะได้รับการพินิจพิจารณาโดยแยบ
คายเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายในบ้านเมือง ก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น