++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าขานตำนานเฮี้ยน ณ มหิดล ศาลายา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤศจิกายน 2552 07:30 น.
หลังจากกระแสการตอบรับเรื่องเล่าแนวสยองขวัญ ประจำรั้วมหา'ลัย
ได้รับความสนใจเป็นอย่างดี เหล่าทีมงาน"Life On Campus" จึงไม่รอช้า
รีบเสาะหาเรื่องราวชวนหัวลุกจากปากคำของนักศึกษาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน
และบุคคลในพื้นที่จากรั้วมหาวิทยาลัยเก่าแก่ ติดเขตปริมณฑลอย่าง
"มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขต ศาลายา" ซึ่งขนานนามได้ว่า
มีเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ไม่น้อย

ทั้งนี้ "ปาล์ม" ไตรรัตน์ อุทัยรังสี นักศึกษาปริญญาโท
สาขาวิชาเทคโนโลยีการบริหารสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์
จะมาร่วมวงเล่าประสบการณ์ให้พวกเราได้ฟังกัน

ปาล์ม เริ่มต้นเล่าว่า สมัยก่อนเคยได้ฟังตำนานจาก
คนเก่าคนแก่ของมหาวิทยาลัยมหิดล ว่า พื้นที่ในเขต "ศาลายา" คือ
ชื่อตำบลหนึ่งที่ตั้งอยู่ใน จ.นครปฐม และปัจจุบันที่ดินส่วนหนึ่งของ
ต.ศาลายา ก็เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหิดล
ในอดีตศาลายานี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งซ่องสุมโจรและเลื่องลือกันว่า "ผีดุ"
มักปรากฏตัวให้ใครต่อใครเห็นอยู่เป็นประจำ

ชื่อ "ศาลายา" มีเล่าต่อกันมาหลายทาง
สมัยก่อนศาลายาจะเป็นชื่อที่คู่มากับ "ศาลา ทำศพ" ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่า
แต่ก่อนสถานที่ 2 แห่งนี้
น่าจะเคยมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนเจ็บไข้ล้มตายกันมาก
จึงมีการตั้งศาลาขึ้นจ่ายยาแก่คนเจ็บเหล่านั้น
และเมื่อล้มตายก็จัดการเผาศพจึงมีชื่อทั้ง "ศาลายา" และ "ศาลาทำศพ"
ต่อมาเห็นว่าชื่อ "ศาลาทำศพ" ไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อเป็น
"ศาลาธรรมสรพณ์" และยังใช้ในปัจจุบัน

ในอดีตคนเก่าแก่เล่าว่า "ศาลายา" เป็นที่เปลี่ยว
ห่างไกลความเจริญมาก ยังไม่มีถนนหนทางตัดผ่าน
ทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นเวลาป่วยไข้ไม่มีใครกล้าออกไปหาหมอ
จึงมีผู้เมตตาสร้างศาลาให้หลังหนึ่ง
และนำเอาสมุนไพรที่รักษาโรคได้มาแขวนไว้เป็นทาน ให้คนเอาไปใช้รักษา
ใครต้องการยาอะไรก็จะไปเลือกหาเอาที่ศาลานั้น จึงเรียกที่แห่งนั้นว่า
"ศาลายา" เรื่อยมา

ความเป็นมาของที่ดินบริเวณศาลายาแต่เดิมเป็นของพระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
และเป็นมรดกตกทอดมาถึงสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ต่อมาเจ้านายบางพระองค์ขายตกทอดไปเป็นของชาวบ้านบ้าง
บางส่วนถูกเวนคืนไปเป็นพุทธมณฑลบ้างและบางส่วนก็เป็นของสำนักงานทรัพย์สิน
ส่วนพระมหากษัตริย์

รวมถึงที่ดินที่เป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมหิดล
ในปัจจุบันก็เป็นที่ดินพระราชมรดกจากรัชกาลที่ 4 ตกทอดมายังรัชกาลที่
9มาในรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ให้มหาวิทยาลัยมหิดลซื้อที่ดินส่วนพระองค์ ในราคาถูกเป็นพิเศษจำนวน 1,250
ไร่ เพื่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัย
ทำให้ชาวบ้านที่เคยอาศัยทำกินอยู่ที่พื้นที่นั้นค่อยๆอพยพออกไปจนหมด


แต่สิ่งที่เหลือ อยู่มากมายบนที่ดินนั้นก็คือศาลพระภูมิ
และศาลเจ้าที่ ซึ่งถูกทิ้งให้หักพังโดยส่วนใหญ่ไม่มีใครเหลียวแลจะมีก็บางครอบครัว
ที่นานๆจะกลับมาไหว้ศาลเก่าของตน เพราะยังผูกพันกับเจ้าที่เดิม

และ ตามความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่
มักให้ความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่
ไม่ว่าจะปลูกบ้านหรือทำพิธีกรรมใดๆ
โดยมากมักจะแผ่ส่วนกุศลอุทิศให้เจ้าที่เจ้าทางที่ตนมาอาศัยจึงอยู่กันอย่าง
สงบสุข ราบรื่น แต่ในบริเวณที่ดินของ ม.มหิดลศาลายา
เมื่อเปลี่ยนจากที่ชาวบ้านอยู่อาศัยมาสร้างเป็นสถานที่ราชการแล้วมักเกิด
ปัญหาที่น่าพิศวงตามมา

** จุดเริ่มต้น ปรากฏการณ์อาถรรพณ์ ณ ม.มหิดล ศาลายา


หลังจากมหาวิทยาลัยมหิดล
เตรียมพื้นที่และสร้างอาคารเสร็จพร้อมจะให้นักศึกษาเข้ามาอยู่
ปรากฏว่าในวันเปิดตึกหอพักนักศึกษา ...มี นักศึกษาชายคนหนึ่งป่วยกะทันหัน
โดยไม่มีเค้าว่าจะเป็นคนสุขภาพไม่ดีมาก่อน
และผลจากการป่วยคราวนี้ทำให้กลายเป็นคนพิการ ไม่สามารถเรียนต่อได้

ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ว่านับตั้งแต่สร้างมหาวิทยาลัย
มามักมีคนตายบ่อยๆ เช่น
มีอุบัติเหตุที่สี่แยกพุทธมณฑลทำให้นักศึกษาตายหลายศพ
หรือมีการฆ่ากันตายที่ตึกคณะสิ่งแวดล้อม
และนักศึกษาหลายคนก็มักจะเห็นคนเดินหายเข้าไปในต้นไม้
จากเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องมีอัญเชิญ
พระพุทธรูปองค์หนึ่ง
มาตั้งไว้บริเวณหน้าหอพักนักศึกษาเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้อบอุ่นใจ
เหตุการณ์ในทำนองนี้ยังเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา

โดยครั้งหนึ่งที่คณะสังคมศาสตร์ได้จัดให้มีการทำบุญ
ขณะมีงานอย่านั้นก็มีคนงานคนหนึ่งเกิดอาการคล้ายผีเข้าเมื่อทำการถามไถ่ได้
ความว่า ผีที่เข้าเป็น "ผีแขก"
นับถือศาสนาอิสลามที่ตายที่นี่และวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่
ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ซึ่งเมื่อผีแขกตนนี้ ออกไปแล้ว
ในแต่ละปีเมื่อทางคณะทำบุญครั้งใด ก็จะต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้ทุกครั้ง


** เรือนไทย

เรื่องนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2529 ขณะที่ทำการสร้างเรือนไทย
เพื่อให้เป็นศูนย์วิจัยวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ มีคนเคยเล่าว่า
ระหว่างการสร้างเรือนไทยแห่งนี้ มักมีเหตุการณ์แปลกๆคือ
...อยู่ๆคนงานก็เกิดอุบัติเหตุ
ถูกฆ้อนตอกเสาเข็มทับบาดเจ็บสาหัส แล้วไปตายที่โรงพยาบาลศิริราช

ซึ่งเสาต้นที่เกิดเหตุน้อยคนนักที่จะรู้และจำได้
จนได้มีงานทำบุญขึ้นที่อาคารเรือนไทย ขณะที่กำลังทำพิธี พระ 9
รูปกำลังสวดทำน้ำพระพุทธมนต์
โดยพระภิกษุรูปแรกกำลังจุดเทียนร่างคาถาทำน้ำมนต์อยู่ จู่ๆพระภิกษุรูปที่
4 ก็เกิดอาการน้ำลายฟูมปาก และพ่นน้ำลายออกมา
บรรดานักศึกษาและอาจารย์ต่างเห็นกันทั่วทุกคน
เมื่อพระรูปที่ทำน้ำมนต์สวดเสร็จและหันมาเห็นเข้า ท่านก็ดูว่าทันที
และซัดน้ำมนต์ลงไปที่ร่างพระรูปนั้น

ท่านว่า "ผีก็อยู่ส่วนผี วันนี้เป็นวันมงคล อย่ามาทำตัวให้เกิดความยุ่งยาก"

ซึ่ง เมื่อซัดน้ำมนต์ไปที่ร่างนั้นแล้ว
อาการต่างๆของพระรูปนั้นก็หายไปทันที
จากนั้นท่านก็ลุกขึ้นยืนประพรมน้ำมนต์ไปทั่วอาคารเรือนไทย
แต่พอถึงเสาต้นหนึ่งท่านก็หยุด และตั้งคำถามที่เป็นปริศนาขึ้นว่า

"มีใครเคยเห็นอะไรเป็นพิเศษที่เสาต้นนี้บ้างหรือไม่?"

ผู้ที่อยู่และรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยมาตลอดถึงกับ
อึ้งและสงสัยว่า พระรูปนี้
ไม่เคยรู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างเรือนไทยว่ามีคนตาย
แต่ทำไมท่านชี้เสาต้นที่เกิดเหตุได้ถูกต้อง
นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาหลายกลุ่มที่ต่างพากันจาจับจ้อง
พื้นที่บริเวณเรือนไทย เพื่อติวหนังสือกันที่นี่
และบางกลุ่มก็ใช้เป็นที่พลอดรักกันอย่างน่าอิจฉา

จนกระทั่งมีนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง เข้าไปอ่านหนังสือบริเวณเรือนไทย
เวลาผ่านไปจนเริ่มเย็น ขณะ
นักศึกษาคนนั้นเก็บของเตรียมตัวกลับไปหอพักก็เหลือบไปเห็นเส้นสีดำๆคล้ายผม
ของใครบางคน ปลิวไสวอยู่ไม่ไกล เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่า

เส้นผมที่ว่านั่น...เป็นเส้นผมของผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ
และกำลังห้อยหัวลงมาจากเสาเรือน ปากยิ้มแสยะเห็นฟันดำขลับ

นักศึกษาคนนั้นกรีดร้องและเป็นลมทันที
พี่ยามได้ยินเสียงจึงเข้าช่วยเหลือ-ทำการปฐมพยาบาล มีรุ่นพี่บางคนเล่า
ต่อๆกันมาว่า เสาต้นหนึ่งในเรือนไทยตกน้ำมัน


** เจ้าที่..แรง!!

ยังมีอีกเหตุการณ์ที่เกิดกับบุคลากรระดับอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ
และเป็นฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยมหิดลท่านหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในกลางดึก
กำลังเดินกลับที่พัก ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัย ขณะกำลังเดินอยู่
ท่านเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณมหาวิทยาลัยจะข้ามสะพานออกไปนอกถนนหน้ามหาวิทยาลัย

ท่านก็นึกว่าเป็นนักศึกษาเดินกลับกลางดึก ด้วยความเป็นห่วงจึงถามว่า

"ไปไหนมาจนดึก เดินไประวังรถจะเฉียวเอา"

เพราะถนนสายนี้ กลางคืนรถแล่นเร็วมาก แต่เธอผู้นั้นก็ไม่ตอบ
กลับรีบเดินข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม
แล้วหายตัวเข้าไปในต้นไม้ข้างทางต่อหน้าต่อตาอาจารย์ท่านนั้น
เรื่องนี้ไม่ใช่จะเกิดเฉพาะกับอาจารย์ท่านนี้ เพราะยังมีนักศึกษาหลายคน
รวมทั้งยามหน้าประตูมหาวิทยาลัยก็เคยเห็น
โดยจะเห็นผู้หญิงเดินออกจากตัวตึกแล้วหายเข้าไปที่โคนต้นไทร
และทุกคนเล่าตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อว่า
รูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไร

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้อาจารย์ท่านนี้ต้องนำเรื่องไปปรึกษาพระผู้ใหญ่ที่นับถือองค์หนึ่งที่วัดพระเชตุพนฯ
ซึ่งท่านก็สอนว่า

"เรื่อง ย้ายไปทำงานใหม่ที่ใดที่หนึ่งนั้น
ประเพณีไทยเขาต้องเซ่นไหว้พระภูมิและเจ้าที่
เมื่อบอกกล่าวแล้วหากมีปัญหาอะไรท่านจะได้ช่วยเรา
และควรทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเป็นครั้งคราวด้วย"

และ ท่านยังบอกว่า ที่ศาลายานี้จะมีจิตวิญญาณจริงหรือไม่
ตอนดึกๆท่านจะนั่งวิปัสนาดูให้ แต่ครั้งแรกท่านทำไม่สำเร็จ
มาป่วยเสียก่อน ครั้งที่สองท่านพระยายามนั่งทางในอีก คราวนี้สำเร็จ

ท่านเล่าว่า เจ้าที่ที่ศาลายานี้แรงมาก
ไม่ยอมให้ท่านเข้าไปในสถานที่
ต้องใช้พลังจิตต่อสู้กันจนทำให้ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลเสียหลายอาทิตย์

ภายหลังทางม.มหิดลมาเชิญให้ไป โดยจะเอารถมารับ ท่านบอกว่า
"ให้ไปเอาพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ไปติดตั้งให้เรียบร้อยก่อนท่านจึงจะไป"
พระ บรมรูปรัชกาลที่ 5 มาเกี่ยวข้องกับเรือนไทยที่ศาลายาอย่างไร
ตอนนั้นยังไม่มีคำตอบ เพราะหลังจากนั้น
พระผู้ใหญ่รูปนี้ก็ป่วยหนักและมรณภาพไป หลังจากท่านมรณภาพลงแล้ว
ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่อง "ผี" ในศาลายาอีก

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอีก โดยมีคนงานก่อสร้างตึกภายใน
ม.มหิดล เกิดโรคไหลตาย และต่อมาก็เกิดฟ้าผ่าคนงานอีก
จนทำให้สงสัยว่าทำไมต้องมีคนตายในทุกตึกที่มีการก่อสร้างในศาลายา
จึงน่าจะมีอะไรสักอย่างดลบันดาลให้เกิดเหตุไม่ชอบมาพากลอย่างนี้
ก็บังเอิญว่ามีผู้ที่สามารถติดต่อกับจิตวิญญาณได้เป็นผู้หญิง
ซึ่งเธอได้เข้าสมาธิเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ แล้วก็ได้คำตอบว่า
แต่ เดิมสถานที่ที่ศาลายาบริเวณ ม.มหิดลนั้น มีผู้ตายทับถมกันมาก
เป็นผีตายโหงที่อดอยาก หิวโหย คอยส่วนบุญจากผู้อยู่อาศัยบนพื้นที่นั้น
คนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ก็ไม่เคยกรวดน้ำอุทิศให้แก่เจ้าที่
บนพื้นที่ศาลายานี้เลย

นอกจากเธอยังบอก ว่า ศาลายานี้เจ้าที่แรงมาก
จะเข้ามาตรวจสอบทางสมาธิได้ยาก ต้องทำตัวให้สะอาดจึงจะเข้ามาทำพิธีได้
สิ่งที่เธอเห็นจากการเข้าสมาธิครั้งแรกก็คือ

....ใน ชั้นที่ลึกที่สุดของที่ดินบริเวณนี้
เป็นกลุ่มคนหน้าตาเหมือนแขกมุสลิมที่ตายเพราะศึกสงครามทับถมกันอยู่
โดยวิญญาณเหล่านี้คือทหารที่รบราฆ่าฟันตายบนท้องทุ่งแห่งนี้
มาตั้งแต่สมัยทวารวดี ซึ่งมีทั้งแขกตามและขอม

ชั้น ถัดมาเป็นศพที่ตายจากโรคห่าระบาด ในสมัย ร.3
ซึ่งมีทั้งผีผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และผีทาสที่ข้อมือข้อเท้ายังติดตรวนอยู่
จากการติดต่อกับวิญญาณเหล่านี้จึงทราบว่า
ในอดีตเคยเกิดโรคระบาดที่นี่ ตายกันหมดทั้งหมู่บ้าน
คนจะเข้ามาช่วยก็กลัวจะติดโรค จึงเอายามาแขวนไว้ ให้คนเจ็บมาหยิบใช้เอง
โดยผูกยาเป็นห่อๆไว้เป็นทานที่ศาลา แต่ก็ช่วยไม่ทัน
ตายกันหมดทั้งหมู่บ้าน

นอกจากนั้นก็ยังมีผีหน้าใหม่ซึ่งก็คือบรรดาศพที่ดองไว้ศึกษาของคณะ
วิทยาศาสตร์ และที่วิญญาณมาปรากฏให้เห็นก็หวังจะให้ช่วยแผ่ส่วนกุศลไปให้นั่นเอง
หากต้องการแก้ไขก็ต้องตั้งศาลให้แก่เจ้าที่
รวมถึงสร้างศาลาหรือโบสถ์เล็กๆ เพื่อตั้งพระพุทธรูปและพระบรมรูป ร.5
พร้อมทั้งบูชาเจ้าที่ด้วยเครื่องเซ่นที่กำหนดมา หากต่อไปจะสร้างอาคารใด
ให้บอกเจ้าที่ก่อนทุกครั้ง


สำหรับเจ้าที่ผู้เป็นใหญ่ ณ ศาลายา นามว่า "เจ้าขุนทุ่ง" หรือ
"เจ้าจันทร์ทุ่ง" ลักษณะเป็นคนโบราณร่างสูงใหญ่ หวีผมเสกกลาง
นุ่งโสร่งตาหมากรุก ไว้หนวดใส่เสื้อคอกลมหลังจากตั้งศาลแล้ว

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ซึ่งทรงทราบเรื่องมาแต่ต้นทั้งหมดก็ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระพุทธรูปส่วน
พระองค์ สมัยทวารวดีให้มาประดิษฐานในโบสถ์เล็กที่สร้างขึ้น และทาง
ม.มหิดลยังได้อัญเชิญพระบรมรูป ร.4 ร.5 และสมเด็จพระบรมราชชนก
มาตั้งในโบสถ์นี้ด้วย
เพราะทั้งสามพระองค์มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ศาลายาแห่งนี้มาก่อน
เมื่อดำเนินการสร้างเสร็จเรียบร้อยก็ไม่มีใครพบเห็นหญิงสาวมาปรากฏตัวให้
เห็นอีกเลย และที่น่าแปลกก็คือ
ต่อมาได้มีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิอีกท่านหนึ่ง มาประชุมที่เรือนไทยแห่งนี้
โดยเพิ่งมาเป็นครั้งแรก อาจารย์ท่านนี้สามารถรับกระแสจิตได้
และท่านคงมองเห็นอะไรบางอย่าง อยู่ๆท่านก็พูดขึ้นว่า

"เรือนนี้มีจิตสถิตอยู่ แต่เขาอยู่สบาย ไม่กวนใคร"

และท่านยังว่าท่านเห็นชายสูงอายุคนหนึ่งยืนอยู่เฉยๆ
ท่าทางสบายอารมณ์ นุ่งผ้าตาหมากรุก ไว้หนวด ผิวคล้ำ ซึ่งเป็นรูปร่างของ
"เจ้าขุนทุ่ง" ผู้เป็นใหญ่แห่ง "ภูมิวิญญาณ"
ในพื้นที่ศาลายาจึงเป็นเรื่องแปลก
ทำไมบางคนที่ไม่เคยรู้เรื่องในศาลายาเลย
อย่างอาจารย์ท่านนี้จึงสามารถบอกเรื่องราวได้ถูกต้อง"

เพื่อความชัดเจน Life On
Campusได้สอบถามไปยังผู้รู้ถึงต้นตอของความเชื่อที่สืบทอดกันมา
กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่คู่กับวิทยาเขตมาเนิ่นนานเช่นกัน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าก็คือ "ศาลพ่อปู่จันทร์ทุ่ง"
ซึ่งเป็นศาลเก่าแก่ประจำวิทยาเขตศาลายาโดยผู้ที่สามารถให้คำตอบได้มากที่สุดเกี่ยวกับที่มาของการแก้บนในลักษณะดังกล่าวที่ว่านี้
คือ "ดร.สุกรี เจริญสุข" ผู้อำนวยการ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์
มหาวิทยาลัยมหิดล

ดร.สุกรีเล่าว่า ศาลนี้ก่อตั้งเมื่อ ปี 2538 แต่ก่อนหน้านั้น
มหาวิทยาลัยเรามาตั้งที่ศาลายา ในปี 2500 ในด้านทิศตะวันตก
ทางทิศเหนือก็มีอาคารอยู่ 1 หลัง ชื่ออาคารอาจารย์ใหญ่
ในเวลาที่โรงพยาบาลมีคนบริจาคศพ
ทางโรงพยาบาลก็จะนำมาให้แพทย์ไว้เรียนรู้ที่ อาคารอาจารย์ใหญ่ในส่วนของ
ม. มหิดล ฉะนั้นตั้งแต่ ร.1 - ร.4 จนถึงปัจจุบันที่มีตึกมากมาย
แต่พื้นที่สมันก่อนมีคนตายทับถมกันเนี่ย ในความเชื่อ
หากจะถามว่าศพและวิญญาณเหล่านี้มีที่มาที่ไปไหม ตอบมีแต่ที่มา ไม่มีที่ไป
ผมเองก็ไม่มีที่มาเรื่องผีสางนางไม้ พิธีกรรมประเพณีต่างๆ ก็ไม่รู้

ความ เชื่อใดๆ ก็ตามอาจจะเป็นความเชื่อที่งมงาย แต่ ร. 5
พระองค์ทรงตรัสไว้ว่าเรื่องงมงาย ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ แต่ทำดีกว่าไม่ทำ
เชื่อดีกว่าไม่เชื่อ ผมเป็นนักเรียนนอกเรื่องพรรค์นี้จึงไม่มีในหัว
แต่คิดว่าเชื่อดีกว่าไม่เชื่อ

อย่างตอนที่กำลังเริ่มจะสร้างตึก จู่ๆ นศ.ปริญญาโทก็ถูกผีเข้า
มีเพียงผมที่รู้ว่านศ.ถูกผีเข้า เราไม่สามารถบอกใครได้กลัวหาว่าเราบ้า

...นศ. ที่ถูกผีเข้าเอะอะโวยวาย บอกผมว่าสร้างตึกไม่ได้หรอก
เขามายืนชี้ให้ผมดูว่าตรงนี้มีคนตายเยอะ
ผมจึงถามว่าทำอย่างไรจึงจะสร้างได้ แต่เขายังไม่ทันพูดอะไรต่อ
จู่ๆก็ออกไป"

ดร.สุกรีเล่าต่อว่าหลังจากนั้นอีกอีกสองเดือน
สิ่งที่อาจารย์เรียกว่าผีก็เข้านศ.หญิงปริญญาโทคนเดิมอีก
แต่คราวนี้มีคนอยู่กันหลายคน

"ครั้ง นี้ผมมีโอกาสถามว่า ทำอย่างไรจึงจะสร้างตึกได้ ขอให้บอกมา
จากนั้นจึงมีผู้รู้ซึ่งเป็นร่างทรงมาก็คุยกันว่าจะตั้งศาล และร่างทรง
ก็ชี้ไปยังจุดใต้ต้นไทรว่าให้ตั้งศาลตรงนี้
นั่นก็คือที่ตั้งศาลพ่อปู่จันทร์ทุ่ง ณ ปัจจุบัน และร่างทรงบอกว่าเจ้าที่
ณ ศาลตรงนี้ จะรับแต่ ผลไม้ ปากริมไข่เต่า ชอบเล่นว่าว ชอบเลี้ยงควาย
หลังจากนั้นก็ทำพิธีให้ทุกปี แต่บางทีผมก็ได้ยินว่า
นศ.บางรุ่นเขาจะเห็นผู้ชายใส่โจงกระเบนสีม่วงบริเวณนั้น
ซึ่งก็เป็นเรื่องเล่าต่อกันมา"

อาจารย์ ทิ้งท้ายถึงความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้
ของศาลพ่อปู่จันทร์ทุ่งว่า ศรัทธาอะไรก็ศรัทธาไปเถอะ หากทำให้จิตใจดี
และสามารถทำให้เราดำรงอยู่ในความดีได้ มันก็มีประโยชน์ดีจริงทั้งนั้น
"ศาล พ่อปู่จันทร์ทุ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชนมหาวิทยาลัยนี้
มันเป็นเรื่องที่ดี ทำให้จิตใจมีอะไรที่ผูกพันกับสถานที่ที่เขาศรัทธา
ผมคิดว่านับเป็นสิ่งดีที่ทำให้เขามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต"...

มาต่อกันด้วย เรื่องเ ฮี้ ย นๆ....ที่เกิดขึ้น ณ ม.มหิดล
ศาลายาที่ต่างเล่าขานกันว่า น่ากลัวจริงๆ

** เพลงรักน้อง "เจ้านกน้อย ล่องลอยโผบิน
จากแผ่นดินทะเลสีคราม..." นั่นคือเนื้อเพลงรักน้อง
หรือเจ้านกน้อยอย่างที่ใครหลายๆคนพูดจนชินปาก
เพลงอาถรรพ์ของชาวศาลายามีเรื่องเล่ากันว่า
มี นักศึกษาพยาบาลคนหนึ่ง
ถูกพ่อแม่บังคับให้เรียนในสายที่ไม่เต็มใจ ด้วยความเสียใจ
คิดว่าไม่มีใครเข้าใจอีกแล้ว
นักศึกษาพยาบาลคนนั้นจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าของหอพัก
และเขียนข้อความสั้นๆนี้ไว้
จึงทิ้งร่างลงมาสู่พื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

เพลงรักน้อง
จึงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกความระลึกถึงนักศึกษาพยาบาลคนนั้น
ชาวศาลายาจะถือกันว่า เพลงนี้ห้ามร้องในเวลากลางคืน
และถ้าใครคนใดคนหนึ่งร้องขึ้นมาแล้ว ต้องร้องต่อจนจบเพลง
มิฉะนั้นจะเท่ากับเป็นการเรียกนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจากพื้นดินมาสู่เจ้าของ
เสียง ในบางครั้งก็ปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นน้องที่เข้าใหม่เห็นในลักษณะกระโดดลง
จากดาดฟ้าหอพัก เมื่อนักศึกษาคนนั้นตั้งสติได้และเรียกให้คนมาช่วย
พอไปถึงจุดเกิดเหตุกลับปรากฏว่า ไม่มีร่องรอยใดๆอยู่เลย

** 3.SI วันมหิดล เตียงC อีก
หนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดล
ซึ่งกล่าวถึงนักศึกษาคณะแพทย์ศิริราช เรียกสั้นๆว่าSIที่จะกลับมา
เยี่ยมเยียนหอพักในวันนี้ของทุกๆปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา
เสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด และร่างเต็มไปด้วยบาดแผล

"เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆของความเ ฮี้
ยนสุดยอดในวิทยาเขตศาลายาเลยก็ว่าได้...

มี นักศึกษาแพทย์คนนี้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัย
อาจเป็นเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขาจึงไม่รู้ตัวว่าได้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว
ห้องพักดังกล่าวที่นักศึกษาแพทย์คนนี้อาศัยอยู่กลายเป็นเรื่องถูกปิดตาย
ทราบแต่เพียงว่า
เตียงCของนักศึกษาSIในคืนวันมหิดลเท่านั้นที่จะพบเห็นเค้าได้

** เชือกในห้องน้ำ เรื่อง นี้เกิดขึ้นได้ไม่นานประมาณปีกว่าๆ
มีข่าวแพร่สะพัดตามหอพักว่า
ช่วงปิดเทอมเดือนตุลาแม่บ้านคนหนึ่งได้ผูกคอตายในห้องน้ำชาย
ห้องดังกล่าวได้ถูกปิดตายไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่หอพักแก้ต่างเป็นพัลวันว่า

"ห้อง น้ำเสีย"

นักศึกษาชายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำนั้น
มักได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจากประตูเจ้ากรรมเสมอๆ
เมื่อมองผ่านจากหอตรงข้าม มีคนสังเกตว่าบริเวณขื่อมีเชือกผูกอยู่จริง
แม่บ้านที่ทำความสะอาดประจำชั้นนั้นก็หายหน้าหายตาไป
เจ้าหน้าที่หอก็ชี้แจงต่อข่าวลือน้ำขุ่นๆว่า

"เค้ากลับต่างจังหวัด"

ในปัจจุบันห้องน้ำดังกล่าวได้เปิดใช้งานตามปกติแล้ว
....ถ้าเข้าไปแล้วเห็นแม่บ้านผิวดำผมหยักศกยิ้มให้ ก็อย่าลืมยิ้มตอบด้วย
เพราะคุณคือผู้โชคดีแล้ว

** หอชาย ใน สมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
เป็นหอหญิงมาก่อน บางคนอยู่มาเป็นปีๆไม่เคยจะรู้
ไม่เคยจะใส่ใจกับความเป็นมาตรงนี้
หอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง (ยกเว้นแต่หอ10)
ก็มีเรื่องเล่ากันว่า

มี นักศึกษาหญิงคน หนึ่งได้ฆ่าตัวตายภายในหอพัก
วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน คอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้พบเจอ
และในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวนมากที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่อง
ผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอพัก

ส่วนสถานที่หลักๆที่จะพบได้ก็คือบันไดหนีไฟ
ที่หลายคนชอบเดินทางนี้บ่อยๆ หรือไม่ก็เป็นทางเชื่อมระหว่างหอ
เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่างของหอ
นี่คือสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน

ปิดท้ายด้วยเรื่องเล่าที่หลายคนรู้เป็นอย่างดี กับ ** คอนโดC
ห้องxxxx เมื่อคอน โดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษา
แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโดC ซึ่งปิดขอบประตู โดยรอบด้วยยันต์
และประไว้ที่หน้าประตูอีกหนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆ
เหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอด
ใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี

ประวัติของห้องนี้ก็มีอยู่ว่า ช่วง
ปิดเทอมเมื่อ4-5ปีก่อนมีเด็กอินเตอร์คนหนึ่งกรอกยาฆ่าตัวตาย
กว่าเพื่อนจะไปพบ ศพมันก็อืด เน่าเฟะ เละจนแทบจำไม่ได้
เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงอยู่ปี 2 น้อยใจแฟนก็เลยประชดด้วยการลาโลก
พองานศพเสร็จ เพื่อนๆทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่น
คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆไม่รู้เรื่องรู้ราว
ตกกลางคืนมักได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำ
บางครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆที่ไม่มีใคร

แต่นั่น...ไม่ร้ายแรงเท่านักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับ
เหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง.....

** ขอบคุณภาพบางส่วนจากอินเทอร์เน็ต


http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000130587

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น