++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ถึงเวลาล้างบาปของความดูดายด้วยวิธีขายตรง

โดย ไสว บุญมา 1 พฤศจิกายน 2552 13:31 น.
โดย...ไสว บุญมา

ผมไม่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศาสนา
แต่ผมมองว่าปัญหาของสังคมไทยในขณะนี้มีที่มาหลังจากบาปสั่งสมที่สมาชิกของ
สังคมร่วมกันก่อ บ่อเกิดของบาปได้แก่การกระทำผิดกฎเกณฑ์ของสังคม
จรรยาบรรณและศีลธรรม บวกกับความดูดาย
บาปจากการกระทำผิดดังกล่าวนั้นคงเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว
ส่วนบาปจากความดูดายอาจยังไม่มีผู้เคยได้ยินมาก่อน
บาปจะล้างได้หรือไม่ยังถกเถียงกันไม่จบ

บางคนบอกว่าล้างไม่ได้ บางคนบอกว่าล้างได้
ส่วนจะล้างอย่างไรเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
วันนี้ผมจะเสนอการล้างบาปของสังคมไทยโดยใช้วิธีขายตรงซึ่งกำลังนิยมทำกัน
อย่างแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน
ก่อนพูดถึงเรื่องนั้นขอปูฐานการมองการกระทำผิดและบาปของผมสักเล็กน้อย

ผมมองว่าการกระทำผิดมีหลากหลาย บางอย่างมองเห็นได้ง่าย
บางอย่างมองไม่ค่อยเห็น
บางครั้งการกระทำผิดก็ก่อให้เกิดบาปที่มีผลออกมาทันตาเห็นจนเป็นที่ประจักษ์
แต่บางครั้งก็มองเห็นยากว่าผลของมันคืออะไรจนมีผู้สงสัยว่ามันเป็นการกระทำ
ผิดจริงหรือ สิ่งที่มองเห็นง่ายคงไม่มีใครโต้แย้ง เช่น
การทำร้ายคนยังผลให้ผู้ถูกทำร้ายตายและผู้ทำร้ายติดคุก
ส่วนสิ่งที่มองไม่ค่อยเห็นอาจเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันแบบไม่รู้จบ อาทิ
การขับรถยนต์เร็วเกินระดับที่กฎหมายกำหนดไว้ซึ่งใครๆ ก็ดูจะทำกัน แต่นานๆ
ผู้ขับเร็วจึงจะประสบอุบัติเหตุสักคน
ยังผลให้ผู้ขับรถยนต์โดยทั่วไปมองว่าการฝ่าฝืนกฎหมายนั้นไม่เป็นบาป

การกระทำผิดอีกอย่างหนึ่งซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่คิดว่าผิดได้แก่ความ
ฉ้อฉลของนักการเมือง
เรื่องนี้มีการยืนยันจากการสำรวจความเห็นของประชาชนที่มีผลออกมาเสมอว่า
คนไทยกว่าครึ่งรับนักการเมืองฉ้อฉลได้หากพวกเขาให้ประโยชน์แก่ตน
และการสำรวจล่าสุดของสำนักเอแบคโพลล์สรุปว่า 77.5%
ของคนไทยรับความฉ้อฉลได้
ปัจจัยที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่คิดเช่นนั้นอาจเป็นเพราะมีความโกงฝังอยู่ในกมล
สันดาน หรือไม่ก็มองไม่เห็นว่าความฉ้อฉลที่ตนมีส่วนได้รับประโยชน์นั้นเป็นบาป
ร้ายยิ่งกว่านั้น
การกระทำผิดบางอย่างมีกฎหมายรองรับยังผลให้ผู้ทำคิดว่าไม่บาป เช่น
การสูบบุหรี่และการเล่นพนันผ่านการซื้อลอตเตอรี่ เป็นต้น

โดยตัวของมันเอง
การกระทำผิดแต่ละอย่างในบรรดาการกระทำผิดทั้งหลายอาจไม่มีผลร้ายให้เป็นที่
ประจักษ์ แต่ผมมองว่ามันร่วมกันสั่งสมขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งถึงจุดหนึ่งปัญหาจึงจะปรากฏออกมาให้เห็น

สำหรับเรื่องบาปที่เกิดจากความดูดายนั้น ขอเล่าความเป็นมาคร่าวๆ
ว่าเกิดจากการศึกษาเรื่องราวของนายแพทย์อเมริกันชื่อ พอล ฟาร์เมอร์
หมอฟาร์เมอร์เกิดในครอบครัวยากจนมาก
เนื่องจากเขามีความปราดเปรื่องและความมานะเป็นเลิศ
เขาจึงได้ทุนไปเรียนมหาวิทยาลัย
หลังเรียนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนดีเยี่ยมก็ได้ทุนไปเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยฮา
ร์วาร์ด เขาไม่ได้เรียนแพทย์เพียงอย่างเดียว
หากยังเรียนปริญญาเอกทางด้านมานุษยวิทยาควบคู่กันไปอีกด้วย
ทั้งที่มีภาระอันหนักอึ้งในด้านการเรียน
แต่เขาใช้เวลาส่วนหนึ่งไปทำงานในย่านทุรกันดารของเฮติอันเป็นประเทศที่ยากจน
ที่สุดของโลกตะวันตก

หลังจากเรียนจบ
หมอฟาร์เมอร์ได้งานเป็นอาจารย์แพทย์ในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดพร้อมกับงานในโรง
พยาบาลใกล้ๆ อีกแห่งหนึ่ง
แต่เขาก็ยังใช้เวลาไปรักษาคนไข้ในถิ่นทุรกันดารของเฮติ
บางครั้งเขาต้องเดินขึ้นเขาลงห้วยด้วยเท้าเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อไปเยี่ยม
คนไข้ในหมู่บ้านห่างไกลที่ถนนไปไม่ถึง
ต่อมาเรื่องราวของเขาได้รับความสนใจจากนักเขียนคนหนึ่งซึ่งนำไปเล่าไว้ใน
หนังสือชื่อ Mountains Beyond Mountains หรือ
"หลังภูเขาลูกนี้ยังมีภูเขา" ซึ่งมีที่มาจากคำพังเพยของชาวเฮติ
หนังสือเล่มนี้มีผลให้ผู้เขียนได้รับรางวัลพูลิตเซอร์
(ผมมีบทคัดย่อซึ่งคุณหมอนภาพร ลิมป์ปิยากร ทำไว้
หากมีผู้สนใจผมจะขอมาใส่ในเว็บไซต์ www.sawaiboonma.com เพื่อปันกันอ่าน)

นอกจากงานเหล่านั้นแล้ว
หมอฟาร์เมอร์ยังทำวิจัยเกี่ยวกับโรคร้ายในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะเกี่ยวกับวัณโรค เอดส์และมาลาเรียดื้อยาในแอฟริกาและละตินอเมริกา
ตอนนี้เขาอายุ 50 ปีและอาศัยอยู่ในประเทศรวันดาในแถบแอฟริกาตะวันออก
เขายังทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำพร้อมกับพยายามชักชวนผู้อื่นให้เข้าร่วมความ
เคลื่อนไหวในด้านการช่วยเหลือคนยากจน
ทั้งที่เขามีโอกาสทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีความสะดวกสบาย
แต่เขาไม่ทำ

หลังจากศึกษาชีวิตและความคิดของเขา
ผมจึงเข้าใจว่าที่หมอฟาร์เมอร์ทำเช่นนั้นเพราะเขามองว่าเขาได้รับพรสวรรค์ใน
รูปของมันสมองชั้นเลิศจากเบื้องบน
พระผู้เป็นเจ้าให้มันสมองเขามาเพราะท่านหวังว่าเขาจะไปรักษาและเยียวยาผู้
อื่น ฉะนั้น ถ้าเขาดูดายในสิ่งที่เขาเห็นว่าน่าจะทำ
เขาย่อมขัดความคาดหวังของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งมีค่าเท่ากับการทำบาป
จากวิถีชีวิตและความคิดของเขาที่ผมเล่ามานั้น ผมสรุปเอาสั้นๆ ว่า
"ความดูดายเป็นบาป"

ผมมองว่าเท่าที่ผ่านมา
คนไทยส่วนใหญ่ยึดความดูดายเป็นฐานของการดำเนินชีวิต ถ้อยคำจำพวก
"อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน" "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" และ "ธุระไม่ใช่"
จึงเป็นแนวคิดที่นำมาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง เฉกเช่นการกระทำผิดต่างๆ
ดังที่กล่าวถึง ความดูดายก็มีผลในหลายรูปแบบ บางอย่างอาจมีผลทันตาเห็น
เช่น มีตะปูตกอยู่กลางทางเท้าและผู้ที่เดินผ่านมาผ่านไปก็ไม่สนใจที่จะเก็บไปทิ้ง
ถังขยะ วันดีคืนดีมีขี้เหล้าเดินเท้าเปล่าผ่านมาแล้วถูกตะปูตำเท้า
เป็นต้น ความดูดายส่วนใหญ่จะไม่มีผลให้เห็นทันตา ฉะนั้น
ผมยอมรับว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่ ความดูดายจึงไม่เป็นบาปดังที่ผมคิด
อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่านักเคลื่อนไหวในแนวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
(พธม.) ส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับผม

ดังที่ผมเสนอไว้ในบทความที่พิมพ์เมื่อกลางเดือนตุลาคม
ผมมองว่าความเคลื่อนไหวของคนไทยในรูปต่างๆ
ซึ่งส่วนหนึ่งเพื่อต่อต้านการกระทำความชั่วร้ายของคนไทยด้วยกันเองคือความ
หวังครั้งสุดท้ายของสังคมไทย
ผมเชื่อว่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้จะมีส่วนล้างบาปสั่งสมที่สังคมของเราก่อขึ้น
มาเป็นเวลาช้านาน
รวมทั้งการทำผิดกฎเกณฑ์ของระบบเศรษฐกิจแนวตลาดเสรีและการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตย

การละเมิดจรรยาบรรณของผู้ทำงานหลายสาขายอาชีพ
การฝ่าฝืนศีลธรรมและความดูดาย ดังที่ผมเสนอไว้ในบทความดังกล่าว
ความเคลื่อนไหวในลำดับต่อไปจะต้องขยายทั้งเครือข่ายและเนื้องาน
การเคลื่อนไหวไม่จำกัดอยู่ที่กลุ่ม พธม. เท่านั้น
หากจะต้องครอบคลุมถึงกลุ่มอื่นด้วย
เท่าที่ผ่านมาผมมีความประทับใจว่าสมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่ม พธม.
เข้าใจแนวทางขยายเครือข่ายและเนื้องานค่อนข้างดีและมีการใช้วิธีขายตรงเพื่อ
สร้างเครือข่ายไปบ้างแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมยังมองว่าสมาชิกของกลุ่ม พธม.
ทุกคนจะต้องเพิ่มความเข้มข้นของการขยายเครือข่ายแบบขายตรงยิ่งขึ้น
ส่วนการเคลื่อนไหวอื่นๆ
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปองค์กรเอกชนและองค์กรเพื่อการกุศลต่างๆ
ผมยังไม่เห็นการใช้วิธีขายตรงยกเว้นของกลุ่มศาสนาบางกลุ่มเท่านั้น

ผมคงไม่ต้องอธิบายว่าการขายตรงทำอย่างไร
เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่เคยถูกชักชวนให้ร่วมเครือข่ายเพื่อขายนั่นซื้อนี่กัน
เป็นประจำ จากยาสีฟันไปจนถึงน้ำมันเครื่อง อย่างไรก็ตาม
ในขณะนี้กลุ่มที่กระทำความชั่วร้ายก็ใช้วิธีขายตรงเพื่อขยายเครือข่ายของ
ความชั่วร้ายเช่นกัน ฉะนั้น
นักเคลื่อนไหวในด้านต่อต้านความชั่วร้ายจะต้องเร่งขยายเครือข่ายอย่างเข้ม
ข้นยิ่งขึ้น

ตอน นี้สังคมไทยกำลังตกอยู่ในสภาพผู้ทำบาปต่อสู้กับผู้พยายามล้างบาป
ฝ่ายไหนสามารถชักชวนผู้ที่ดูดายให้เข้าเครือข่ายได้มากกว่าย่อมเป็นฝ่ายชนะ
ผู้อ่านจะเลือกฝ่ายไหนและจะเข้าร่วมขบวนการขายตรงอย่างไรย่อมมีผลต่ออนาคต
ของเมืองไทยโดยตรง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น