++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรา...คนไทยเครียดว๊อย!

โดย แสงแดด 21 ตุลาคม 2551 16:26 น.
       ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าๆ เกือบ 3 ปีที่ผ่านมานั้น คนไทย “เครียด!” กันมากกว่าเดิม เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมืองนับวันยิ่งเข้มข้น เขม็งเกลียว ความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น จนล่าสุดได้เกิด “ไทยฆ่าไทย” ปะทะกันอุตลุดระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ที่หน้าอาคารรัฐสภาและกองบัญชาการตำรวจนครบาล
      
        การปะทะกันเมื่อวันที่ “7 ตุลาคม” นั้น ถือว่า “รุนแรงมาก!” จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 400 กว่าราย สาเหตุสำคัญเกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ระเบิดแก๊สน้ำตายิงเข้าใส่ฝูงชนกลุ่ม ผู้ชุมนุม จากการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรง ที่มี คุณหญิง แพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ได้ผลสรุปว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสลายม็อบเกินกว่าเหตุ ด้วยการยิงระเบิดแก๊สน้ำตาจำนวนหลายสิบลูก อาจจะมากถึงร้อยกว่าลูก ซึ่งเป็นระเบิดแก๊สน้ำตาทำจากประเทศจีน ที่ค้างสต๊อกมาหลายปีแล้ว และถูกนำมาใช้จนหมดสต๊อก
      
        จากผลการพิสูจน์หลักฐานแล้ว การเสียชีวิตจนถึงขั้นแขนขาด ขาขาด ของกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นเกิดจากระเบิดของแก๊สน้ำตาด้วย เนื่องด้วยมีเขม่าเกาะติดผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ซึ่งแน่ชัดว่าเกิดจากระเบิดแก๊สน้ำตาแน่นอน!
      
        “ความตึงเครียด” ที่นับวันจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น จนปัจจุบันนี้ได้มีการจัดกลุ่มแบ่งออกเป็นฝักฝ่ายระหว่าง “กลุ่มพันธมิตรฯ” และ “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการฯ (นปช.)” อย่างชัดเจน โดยล่าสุด กลุ่มนปช.ได้ระดมผู้คนจากทั่วทุกสารทิศใส่เสื้อแดงชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง กับเมืองทองธานี และที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ ในที่สุด พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “เตรียมพร้อม” ในการระดมกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อมาปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ ถ้ามีการเป่านกหวีด!
      
        ใครๆ ก็คงคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องว่า “การปะทะรอบสอง” ย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ตราบใดที่มี “ไอ้โม่ง!” คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้กระบวนการทั้งหมดได้มีการกำหนดทั้ง “ยุทธศาสตร์” และ “กลยุทธ์” ไว้อย่างเรียบร้อย จนมีการกล่าวกันอย่างมากว่า “10 วัน ห้ามกะพริบตา!” ซึ่งก็หมายความว่า ตั้งแต่ 7 ตุลาคม ไปจนถึง 20 ตุลาคม ทุกคนต้องเฝ้าจับตาอย่ากะพริบเด็ดขาด เนื่องด้วยจะมี “เหตุการณ์” ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก่อน “ดี-เดย์ : 21 ตุลาคม 2551” ซึ่งเป็นวันวินิจฉัยที่เลื่อนมาหลายครั้งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภริยา กรณีที่ดินรัชดาฯ
      
        “ม็อบดาวกระจาย” ของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ได้กระจายไปแถวถนนสีลมเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะเดียวกัน กลุ่ม นปช.ได้มีการระดมกลุ่มต่างๆ จากทั้งภาคเหนือชุมนุมกันที่กรุงเทพฯ ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายต่าง “ตั้งป้อม-ตั้งค่าย” กันเรียบร้อย และแน่นอนที่ต้องพร้อมปะทะกันตลอดเวลา
      
        จากข้อมูลที่ได้มานั้น “การปะทะ” กันในครั้งนี้ ระหว่าง “เหลือง-แดง” นั้น ทราบมาว่า “แตกหัก!” ชนิดไม่มีใครยอมใคร และที่น่ากลัวที่สุดคือ “อาวุธครบเครื่อง!” ของทั้งสองฝ่ายที่อาจจะเลวร้ายมากกว่าเมื่อวันอังคารที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา
      
        และพอวันดีคืนดี ก็เกิดสถานการณ์ปะทะกันระหว่างกองทหารกัมพูชาและไทย ที่แนวตะเข็บชายแดนช่วงรอยต่อเขตปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่ยังอยู่ในกระบวนการของการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศกันอยู่
      
        คุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีฯ ต่างประเทศไทย เพิ่งจะเดินทางกลับจากการเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี สมเด็จฮุนเซน พร้อมทั้งเจรจากรณีพิพาทพื้นที่ทับซ้อนเพียงวันเดียว พอวันรุ่งขึ้น ฝ่ายทหารไทยในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 ได้เจรจาสนทนาพูดคุยกับกองกำลังทหารกัมพูชาและแยกย้ายกันได้เพียงไม่ถึง 1-2 ชั่วโมง กองกำลังทหารกัมพูชา ได้เปิดฉากยิงมาทางฝั่งไทย ระยะทางตามแนวรอยต่อประมาณ 1 กิโลเมตร ปะทะกันหลายชั่วโมง จนในที่สุดทหารไทยบาดเจ็บ 7 ราย ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 2 ราย
      
        เหตุการณ์ปะทะกันเมื่อวันอังคารที่ 15 ตุลาคมนั้น ต้องสารภาพว่า “เซอร์ไพรซ์-ประหลาดใจ” อย่างมากแก่ทุกฝ่ายฝั่งบ้านเรา ตั้งแต่รัฐบาลยันกองทัพ แต่กองทหารตระเวนชายแดนของทั้งสองประเทศได้เดินบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมาตลอด 30 กว่าปี แต่วันดีคืนดี ไม่รู้ว่าสมเด็จฮุนเซนเกิด “ของขึ้น!” อะไรขึ้นมา สั่งการให้ทหารฝั่งกัมพูชายิ่งถล่มกองทหารไทย
      
        “ความแปลกใจ” กับเหตุการณ์ยิงถล่มใส่กันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของฝั่งทหารกัมพูชานั้น ส่อนัยชัดเจนว่าต้องมี “ประเด็น-วาระ” อะไรที่ “ซ่อนเร้น” อย่างแน่นอน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากทั้งสองฝ่ายที่มีการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ “ความแปลกใจ” กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็น “ข้อสงสัย” และนำไปสู่การตั้ง “ข้อสมมติฐาน” ว่าต้องมี “แผนการ” อย่างแน่นอน
      
        เป็นกรณีปกติธรรมดาที่เหตุการณ์ปะทะกันครั้งนี้ ต้องมีการ “ชี้นิ้ว” ไปสู่อดีตนักการเมืองมหาเศรษฐีจากเมืองไทยที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับสมเด็จ ฮุนเซน ที่อาจจะต้องการจุดประกายปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อหวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้น โดยอาจจะพัฒนาสู่ “ข้อพิพาท” ระหว่างไทย-กัมพูชา ให้เลวร้ายมากขึ้น จนในที่สุดก็จะพัฒนาไปสู่เวทีโลก
      
        อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดเป็นการกำหนดกลยุทธ์เช่นนั้นจริง ก็ต้องขอประณามว่า “เป็นความคิดชั่วร้าย ที่ต้องการตอบสนองตัณหาส่วนตัวเท่านั้น ประเทศชาติจะเสียหายอย่างไรไม่สน! ขอเพียงแค่ความสะใจในการดิสเครดิตประเทศชาติ!”
      
        หรือต้องการยั่วยุให้ฝ่ายความมั่นคงของไทยต้องดำเนินการตอบโต้ และในที่สุดนำพาเหตุการณ์ชาติบ้านเมืองสู่ปัญหาของการประกาศสภาวการณ์ฉุกเฉิ นก็เป็นไปได้ เพื่อ “การล้มคดี” ต่างๆ ที่เริ่มใกล้จุดจบ!
      
        ปัญหาของชาติบ้านเมืองที่ถึงขั้น “ร้อน” จน “ร้อนระอุ” ขณะนี้ เกิดจาก “ศึก 3 ศึก” กล่าวคือ “ศึกการเมือง” ภายในประเทศที่จนถึงขั้น “สังคมแตกแยก-แตกหัก” กันไปเรียบร้อย ตีกันจนตาย ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาบาดเจ็บนับร้อยๆ ราย “ศึกชายแดน” ก็วันดีคืนดีเปิดศึกกันแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว สำนักข่าวต่างประเทศต่างประโคมข่าวไปทั่วโลกว่า “ไทย-กัมพูชา” รบกันเรียบร้อย ประเด็นปัญหา “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” ของประเทศชาติขณะนี้ “ติดลบ” กันไปบานตะไท!
      
        เท่านั้นยังไม่พอ “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ที่ตั้งเค้ามานานแล้ว แต่ก่อตัวเป็น “พายุเศรษฐกิจ” ที่กำลังถาโถมกันไปทั่วโลก ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ หนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก จนกลุ่มประเทศมหาอำนาจทั่วโลก ทั้ง “กลุ่มจี 7 (G-7)” และ “กลุ่มจี 20 (G-20)” ตลอดจนกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป 15 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร แม้กระทั่งอังกฤษยังต้องร่วมปรึกษาหารือหาทางออกแก้ไขปัญหาร่วมกัน!
      
        “ปัญหา 3 ศึก” ที่เกิดขึ้นขณะนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่า “ประเทศไทยอ่อนแอ” มาจาก “การรบราฆ่าฟัน” กันเองระหว่างคนไทยด้วยกัน แถมเกิดศึกระหว่างชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เสมือนว่า “ไทยอ่อนแอ-ข้าศึกโจมตี” แถม “พายุเศรษฐกิจ” กำลังจ่อคอหอย เหมือนกับ “เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด!” ประเทศชาติ ถ้าไม่ผนึกกำลังกันตอนนี้ “แตกแยก-แตกหัก” กันจนถึงขั้นนี้ เราคงไม่รู้ว่าจะไปบอกลูกหลานกันอย่างไร!
      
        จากสารพัดสารพันปัญหาที่ตึงเครียดขนาดนี้ ถามว่าใครที่ “อึดอัด-กดดัน-เครียดที่สุด!” คำตอบก็คือ “ประชาชนไง!?!” ที่ทั้งเอือมระอาเบื่อหน่ายที่สุด
      
        มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ได้ทำการสำรวจเอแบคโพล สำรวจ “ความสุขมวลรวมประชาชน” ที่ผ่านมาเดือนกันยายน ปรากฏว่า ทางเอแบคโพลได้สำรวจคนไทยจาก 18 จังหวัด อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี เชียงใหม่ นครสวรรค์ ลำปาง แพร่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช เป็นต้น เรียกว่าทั่วทุกภูมิภาคจำนวน 3,239 ราย พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง และไม่สำคัญเท่ากับว่า “ไม่มีสัญญาณบวก!” เลย มีแต่ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดความสุขคนไทยเดือนกันยายนลดลงเหลือ 1.98 จากคะแนนเดิม 10
      
        คำตอบคือ “สถานการณ์ชาติบ้านเมืองในการชุมนุมของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง” รวมถึง “การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ” ที่ทำเอาคนไทย “เครียด” และ “สุขน้อยลง!”
      
        “คนไทยใกล้จะบ้ากันแล้วครับ ถ้ายังมัวแต่มีการยั่วยุให้คนไทยทะเลาะตีกันจนชาติบ้านเมืองพังเละเทะไปหมดแล้ว!” 


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000125130 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น