++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรื่องเล่าจากตำนานกับ"พล.ต.อ.สล้าง(ต้อง) 6 ศพ"!

จารบุรุษ
      
       ลังจาก วันที่ 25 ต.ค. ที่พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ (รองอ.ตร.) ประกาศจะนำกองกำลังติดอาวุธ (ยังไม่ทราบสัญชาติ) เข้ามาปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปักหลักเป็นเวทีในการขับไล่รัฐบาลท รราชอยู่ โดยพล.ต.อ.สล้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดกำลังลำเลียง และเสบียงไม่ให้ส่งไปถึงผู้ชุมนุมภายในทำเนียบฯ เรียกยุทธวิธีดังกล่าวกันง่ายๆว่า ปิดล้อมให้อดข้าวอดน้ำตายกันไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากนั้น เขาจะทำอะไรต่อ ยังไม่เป็นที่ประกาศชัด
      
       เมื่อครั้ง"จารบุรุษ" เป็นนักข่าวได้ไม่นาน ได้รับมอบหมายจากบก. ให้เดินทางไปทำข่าวที่สำนักงานพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค รองอ.ตร. ซึ่งพล.ต.อ.สล้าง มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานด้านการจราจร ขณะนั้น พล.ต.อ.สล้าง พยายามผลักดันรถไฟฟ้าระบบใต้ดินจากประเทศเยอรมนี ในขณะที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้ว่าฯกทม.ในสมัยนั้น ยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการรถไฟลอยฟ้า และในที่สุด รถไฟฟ้าบีทีเอส ก็เกิดขึ้น ถือเป็นรถไฟฟ้าสายแรกในเมืองไทย ในขณะที่โครงการของพล.ต.อ.สล้าง ล้มพับไปในที่สุด
      
       สำหรับวีรกรรมของ พล.ต.อ.สล้าง ในอดีตนั้นนับว่า "ไม่ธรรมดา" หากยังพอจำกันได้กับเหตุการณ์ "วิสามัญฆาตกรรมบันลือโลก" โจ ด่านช้างกับพวกรวม 6 ศพ
      
       เหตุการณ์ครั้งนั้น เกิดราวปลายเดือน พ.ย. 2539 แก๊งชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วย นายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น หรือ โจ ด่านช้าง หัวหน้าแก๊ง นายสุบิน เรือนใจมั่น น้องชายของโจ ด่านช้าง นายประสิทธิ์ โพธิ์หอม นายยิ้ว ปริวัตรสกุลแก้ว นายหยัด และนายปราโมทย์ (ไม่ทราบนามสกุล) นำอาวุธสงครามเต็มอัตรา หวังไปถล่มสังหารเหยื่อที่หักหลังกันในธุรกิจค้ายาบ้า เหตุเกิดที่จ.สุพรรณบุรี ต่อมาไม่นาน ตำรวจทราบข่าว ไปสกัดจับแก๊งคนร้ายรายนี้ โดยทั้งหมด หลบหนีเข้าไปที่บ้านเลขที่ 107/1 หมู่ 5 ต.บางใหญ่ อ.บางปลาม้า ซึ่งเป็นบ้านยกสูง 2 ชั้น และกำลังถูกน้ำท่วมขังรอบบ้าน
      
       ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.สล้าง เป็นผู้นั่งเฮลิปคอปเตอร์ ของกองบินตำรวจ ไปบัญชาการเหตุการณ์ด้วยตนเอง พร้อมกับส่งมือปราบ พ.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ลุยน้ำเคียงอก ถือโทรโข่งเข้าเกลี้ยกล่อม และในที่สุด ก็ช่วยเหลือตัวประกัน 3 คนในบ้านออกมาได้ หนึ่งในตัวประกันนั้น เป็นอัมพาต ต้องลำเลียงลงเรือออกมาอย่างทุกลักทุเล หลังจากนั้น แก๊งคนร้ายทั้งหมด ขอมอบตัว ตำรวจพาทั้งหมดลุยน้ำออกมาจนเกือบจะถึงฝั่งที่พล.ต.อ.สล้าง บัญชาการอยู่แล้ว แต่จู่ๆ กลับพาคนร้ายทั้ง 6 คน เดินกลับเข้าไปในบ้านหลังเดิมอีก (ซึ่งภายหลังตำรวจให้สัมภาษณ์ว่า คนร้าย จะยอมบอกและมอบอาวุธปืนสงครามที่ซุกซ่อนอยู่ให้) หลังจากนั้น เสียงปืนก็ระงมไปทั่วคุ้งน้ำ ตำรวจเดินลุยน้ำกลับมาในสภาพที่ปลอดภัยทุกคน แต่คนร้ายทั้ง 6 กลายเป็นศพอยู่ในบ้านหลังนั้น!
      
       พี่บก.ข่าวอีกผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ และยืนอยู่เคียงข้างพล.ต.อ.สล้าง เล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่ตำรวจพาคนร้ายเดินลุยน้ำออกมาจากบ้านหลังนั้น ได้ยินเสียงสบถออกมาว่า "ไอ้.... มึงเอาพวกมันออกมาทำไมว่ะ" จากนั้น ได้ยินนายตำรวจอีกผู้หนึ่ง วิทยุสั่งการไปยังชุดที่เข้าไปจับกุมคนร้ายว่า "นายบอกให้เอาพวกมันกลับไป ไม่ต้องพาออกมา" ต่อมา มีการนำเสนอข่าวกรณีการสั่งการดังกล่าวขึ้น จนพี่บก.ข่าวผู้นี้ ต้องเก็บตัวอยู่ระยะหนึ่ง จนเรื่องราวข่าว"โจ ด่านช้าง"ซาลง
      
       หลังคดี"โจ ด่านช้าง" เราถามรุ่นพี่นักข่าวคนเดิมถึงพล.ต.อ.สล้างอีกครั้ง คราวนี้ รุ่นพี่นักข่าว ต่อสายโทรศัพท์ให้เราพูดคุยกับอีกคน ซึ่งเราไม่รู้จัก แต่รุ่นพี่นักข่าวบอกเราว่า เป็น"นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้ก" เมื่อแนะนำตัว ทำความรู้จักกันทางสายเรียบร้อย รุ่นพี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้ก เริ่มต้นว่า ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีคดีวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นบริเวณย่านสะพานซังฮี้ หรือสะพานกรุงธนบุรี ครั้งนั้น เจ้าของร้านตึกแถวร้านหนึ่ง ว่าจ้างลูกจ้างวัยรุ่นจากต่างจังหวัดที่มาแสวงหางานทำในเมืองหลวง แต่พอถึงสิ้นเดือน วันรุ่นจากบ้านนอกคนนี้ ยังไม่ได้รับเงินเดือน จึงทวงถามจากนายจ้าง เมื่อนายจ้างยังไม่ให้เงิน เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนี้ จึงข่มขู่ว่า พรุ่งนี้ จะพาเพื่อนๆ มาเอาเงินเดือน หากไม่ได้ ไม่รับรองว่าอะไรจะเกิดขึ้น จากนั้นก็จากไป รอวันรุ่งขึ้นเพื่อกลับมาทวงค่าแรงของเขา
      
       โชคชะตาคงลิขิตมาให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนี้ ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่เชิงสะพานซังฮี้เสียแล้ว เพราะเจ้าของร้านตึกแถว มีเพื่อนเป็นตำรวจยศ"พ.ต.ท."(ตำรวจแก่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน) เจ้าของร้านจึงนำเรื่องที่ถูกเด็กหนุ่มข่มขู่จะพาเพื่อนมาถล่ม ไปปรึกษา ซึ่งพ.ต.ท.คนนั้น ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง บอกกับเจ้าของร้านตึกแถวว่า "เรื่องนี้ เอ็งสบายใจได้ เดี๋ยวข้าจัดการให้ กลับไปนอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน"
      
       รุ่งขึ้นตอนเช้า เด็กหนุ่มวัยรุ่นจากบ้านนอก พาเพื่อนรวม 6 คน ไปทวงถามเงินเดือนของเขาจากเจ้าของร้านตามคำมั่นสัญญาที่ประกาศไว้ จากนั้นไม่นาน พี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้กก็ได้รับมอบหมายให้ไปทำข่าว 241 (รหัสวิทยุ หมายถึง เหตุฆ่ากันตาย) ที่เชิงสะพานซังฮี้ พี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้กเล่าว่า เมื่อไปถึง มันแปลกตรงที่ว่า ตำรวจไม่ให้เข้าไปตรงบริเวณตึกแถวที่เกิดเหตุ แต่ให้รออยู่ที่บริเวณสะพาน พวกนักข่าวจึงพากันนั่งรอที่ราวสะพานซังฮี้ ซึ่งก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะๆ พี่นักข่าวรุ่นเก๋าก้กบอกว่า เขาเห็นวันรุ่นคนหนึ่ง พยายามวิ่งหนีไปตามระเบียงตึกแถวแล้วหายเข้าไป ขณะที่อีกคนหนึ่ง วิ่งออกมาจากตึกแถวแล้วไปล้มฟุบจมกองเลือดอยู่ริมถนน
      
       ถัดมาอีกวัน หนังสือพิมพ์พากันพาดหัวข่าว "ตำรวจวิสามัญฯคนร้าย 6 ศพกลางกรุง" ขณะที่ฟังเรื่องจากจากปากของพี่นักข่าวรุ่นเก๋า เราได้แต่นิ่งเงียบ รู้สึกหดหู่ใจอย่างไรชอบกล สุดท้าย พี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้กบอกว่า "เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว แต่ผลของกรรมก็ตามหลอกหลอนผู้กระทำกับชีวิตของเด็กวัยรุ่นทั้ง 6 คน เพราะต่อมาไม่นาน ลูกของพ.ต.ท.ที่ว่า ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเช่นเดียวกัน !

ที่มา http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000126471 

1 ความคิดเห็น: