++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

"สนธิ"แฉ"แม้ว"รุกหนักแนวรบนอกประเทศ-ไม่หวั่นแผนลอบสังหารแกนนำฯ







โดย ผู้จัดการออนไลน์26 ตุลาคม 2551 23:25 น.

"สนธิ"แฉ"ทักษิณ" เปิดแนวรบขั้นแตกหักใน ตปท. เตรียมทำงานหนักตรวจสอบข้อมูล-ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสื่อต่างชาติ ยันไม่ท้อเพราะยึดพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" เป็นหลักในการทำงาน แม้จะเป็นการปิดทองบนหลังพระ ระบุแผนลอบสังหารแกนนำ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยทำหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับลิขิตของฟ้า
วันนี้ (26 ต.ค.) เมื่อเวลา 21.20 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยระบุว่า ในช่วง 1-2 วันนี้ ตนเองกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับประเทศไทยที่เผยแพร่โดยสื่อต่างประเทศ รวมทั้งชี้แจงข้อเท็จให้กับสื่อต่างประเทศให้เข้าใจสถานการณ์และข้อเท็จจริง ที่เกิดในประเทศไทย เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณได้เปิดแนวรบด้านข่าวสารในต่างประเทศที่หนักมาก

นายสนธิ กล่าวยอมรับว่า การทำงานดังกล่าวเป็นงานที่เหนื่อยมาก แต่ก็ไม่ท้อใจ เพราะยึดเอาพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นห ลักในการทำงาน นั่นคือ ต้องมีความเพียรในการทำงาน ต้องทำด้วยความเชื่อ ความศรัทธาและทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งการต่อสู้ของพันธมิตรฯ ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อมีความเพียร แม้จะเจอแดด เจอฝน ถูกกลั่นแกล้งรังแก ในที่สุดก็จะได้รับชัยชนะกลับคืนมาก

นายสนธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองได้อ่านพระมหาชนกอีกรอบ ก็เริ่มเข้าใจหลักธรรมขั้นสูงว่า คนเราทำงานก็ต้องมีความเพียร การปฎิบัติธรรมก็ต้องมีความเพียร ถ้าไม่บรรลุก็ไม่เลิก เวลานั่งแรกๆ ก็รู้สึกคัน รู้สึกชา พอต่อมาเริ่มนิ่งขึ้น คันก็คันไป ชาก็ชาไป มันก็หายคันหายชา เหมือนตอนที่เราสู้ลมสู้ฝน เราชนะมาเรื่อยๆ ชนะมากบ้างน้อยบ้าง แต่เราก็ชนะมาตลอด

นายสนธิ ยกตัวอย่างการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทายาทอสูรในช่วงแรกที่มีฝนตกหนัก แกนนำทั้ง 5 คน ก็ต้องยอมเปียกฝนด้วย เพราะเมื่อมีฝนตกก็ต้องเปียกร่วมกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้น เพราะพวกเรามาทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองพร้อมกัน โดยช่วงหลังมีผู้บริจาคเต็นท์ ที่ช่วยทำให้พวกเราไม่ต้องเปียกฝน

นอกจากพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกแล้ว พระราชนิพนธ์เรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระก็เป็นพระราชนิพนธ์อีกเล่มหนึ่ งที่ทำให้ได้เข้าใจถึงนัยสำคัญ นั่นคือ เป็นหน้าที่ของทุกๆ คน ที่ต้องทำ เมื่อทำแล้วต้องมีความเพียรแบบพระมหาชนก ไม่สนใจว่าใครจะชมหรือไม่ เห็นหรือไม่ โดยไม่สนใจว่าใครจะชม หรือมองไม่เห็น

นายสนธิ กล่าวเปรียบเทียบกรณีที่คนเราเห็นกระดาษตก หรือการเห็นเศษแก้วตก อาจไปบาดเท้าคน เราก็ต้องช่วยกันเก็บไปทิ้งโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอะไร หรือมีคนคอยจ้องมองอยู่หรือไม่ ไม่เหมือนกับนักการเมืองที่จะทำความดี ก็ต้องถามว่าโทรทัศน์มาหรือยัง หรือเมื่อมีคนแก่ข้ามถนน หากมีคนมอง ถึงจะจูงคนแก่ข้าม

นายสนธิ กล่าวว่า บางครั้งตนเองรู้สึกเหนื่อย ทำไมต้องมาทำแบบนี้ เพราะทักษิณเขาก็แค่จ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ทำงาน ทุกวันนี้ ตนเองมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการบริจาค เราเป็นหนี้ประชาชน เราจึงต้องมาทำงาน เมื่อทำแล้วก็ต้องไม่บ่น เมื่อเหนื่อยจะไม่มาก็ไม่ได้ ก็เลยเข้าใจคำว่าปิดทองหลังพระ อะไรที่เป็นคุณงามความดี เราก็ต้องทำ ไม่ต้องให้ใครจับตาดู ไม่ต้องถ่ายรูป

"พวกเราต้องรักในการทำความดี เมื่อทำดีแล้วก็อย่าท้อ อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เคยพูดเล่นว่า เราชนะปีหน้าดีไหม คงกำหนดไม่ได้ เพราะนานแค่ไหนเราก็จะอยู่ทำ ไม่ใช่เร่งทำให้จบแล้วกลับบ้าน จบเมื่อไรก็เมื่อนั้น เพราะการทำดีไม่ควรขีดเส้นเวลา"

นายสนธิ กล่าวเสริมว่า ที่เรารู้ว่าเราต้องชนะ เพราะพวกเสื้อแดงมันกำหนดวันดีเดย์ 1 พ.ย.แล้ว เพราะถ้าไม่กำหนด พวกเราก็เหนื่อย แต่สิ่งที่เราทำไม่ใช่เรื่องชนะหรือแพ้ เหมือนกับพวกเสื้อแดง แต่เป็นเรื่องของถูกกับผิด ดังนั้น การชนะบนฐานความผิดแล้วได้อะไร แม้ว่าจะแพ้แต่ถูกต้อง ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะพวกเราเอาธรรมนำหน้า ไม่มีอะไรที่อธิบายไม่ได้ด้วยธรรม การมีชีวิตที่มีคุณค่า เพราะเรายืนบนความถูกต้อง

นายสนธิ กล่าวถึงสังคมไทยทุกวันนี้ คงต้องใช้คำอธิบายอะไรอีกมาก แทนที่จะบอกว่าผิดอย่าไปทำ กลับไปบอกว่า ต้องชนะนะลูก แทนที่จะพูดว่า ต้องถูกถึงจะใช่ ผิดคือไม่ใช่ หลายคนคงบอกว่าคุณสนธิพูดให้กำลังใจอีกแล้ว แต่ความจริงคือ ที่พวกเรามาที่นี่ วันนี้ เพราะต้องการทำถูกให้เป็นถูก ส่วนอนาคตเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ เพราะวันพรุ่งนี้ พวกกลุ่ม นปช.ที่จะชุมนุม 6 หมื่นคน อาจจะถูกธรณีสูบไปทั้งหมด หรือโดนฟ้าผ่าตายทั้งหมดก็ได้ หรือนายสมชายอาจตกบันได้ถูกก้นเมียทับหน้าจนหายใจไม่ออกตายก็ได้

"สิ่งแรกที่เราต้องขอบคุณ คือ เมื่อเราตื่นขึ้นมา เรายังหายใจอยู่ เมื่อเราลุกขึ้นมา สิ่งแรกที่ต้องนึกถึง คือ คิดดีทำดี ถ้าทุกคนมีสิ่งนี้ ก็จะไม่มีพวกนรกป่วนกรุง สังคมไทยเริ่มคิดไม่ดีทำไม่ดีมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีนายทักษิณเป็นหัวหน้าแก๊ง สังคมมันถึงดิ่งหัวลงจนทุกวันนี้ เพราะทุกคนมองเงินเป็นตัวตั้ง ไม่ครั้งไหนที่สังคมจะฉิบหายเหมือนตอนที่ทักษิณเป็นนายกฯ"

นายสนธิ กล่าวยอมรับว่า แกนนำพันธมิตรทั้ง 5 คน เห็นพ่อแม่พี่น้องเข้ามานั่งกันนานถึง 5 เดือน บางคนก็ไปๆ มาๆ น้ำใจตรงนี้ ทำให้ต้องยิ่งไม่ท้อ ยิ่งต้องทำงานปิดทองหลังพระต่อไป เหนื่อยก็ต้องมา แต่คงไม่ต้องมีหน้าที่อธิบาย ชีวิตที่อยู่ทุกวัน ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีข่าวการสั่งเก็บแกนนำมาตลอด สำเร็จหรือไม่ก็แล้วแต่ลิขิตฟ้า ขู่ไม่กลัว แต่กลัวคุณงามความดีของพ่อแม่พีน้อง และต้องสู้กันต่อไป ถ้าพ่อแม่พีน้องเหมือนพวก นปก. ตนคงเผ่นไปนานแล้ว

นายสนธิ กล่าวย้ำถึงเรื่องความเพียรของพระมหาชนก ที่กล่าวถึงการว่ายน้ำที่ต้องไม่ท้อเพราะใกล้จะถึงฝั่งแล้ว ฝนตกก็หยุดได้ เสื้อผ้าเปียกก็แห้งได้ แต่ชาติฉิบหายเอาคืนไม่ได้ เส้นทางเหลือแค่ 100 เมตรสุดท้ายแล้ว อย่าท้อ อย่าล้ม แล้วต้องเรียกพรรคพวกมาร่วมวิ่งด้วย ต้องเตรียมร่วงกาย จิตใจให้มั่นคงแน่วแน่ ชีวิตต้องทำเพื่อชาติ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น