++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดูเสื้อแดงล้มรัฐบาลก่อนปีใหม่

โดย สิริอัญญา 8 พฤศจิกายน 2552 18:07 น.
วันนี้คือวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ
และเหลือเวลาอีกราว 50 วัน ก็จะถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว
ดังนั้นจึงต้องใส่ใจดูว่าคนเสื้อแดงเขาจะล้มรัฐบาลกันอย่างไร

เพราะแกนนำคนเสื้อแดงได้ประกาศหลายครั้งหลายหนว่าจะต้องปิดเกมล้ม
รัฐบาลให้ได้ก่อนสิ้นปี
ซึ่งแม้พูดไม่ชัดเจนแต่ก็เข้าใจได้ว่าน่าจะล้มโดยทางใดทางหนึ่ง

คือยุบสภา หรือลาออก ซึ่งรวมทั้งนายกรัฐมนตรีมีอันเป็นไป
จนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องล้มลง หรือถูกรัฐประหาร

ก่อนหน้านี้ก็มีการข่มขู่ในหลายลักษณะ
ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมาใหม่ๆ แล้วว่ารัฐบาลจะมีอายุอยู่ได้แค่ 3
เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง กระทั่งล่าสุดก็บอกว่าจะอยู่ได้แค่เดือนตุลาคม
ปีนี้ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางกลับประเทศในเดือนตุลาคม ศกนี้

เมื่อมาถึงวันนี้ความจริงก็ได้บอกอย่างชัดเจนว่าที่มีการพูดการขู่
กันมาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล
ไม่ตั้งอยู่กับความเป็นจริงของสถานการณ์
และรัฐบาลเด็กก็ยังคงอยู่ดีมีสุขมาจนถึงกระทั่งวันนี้

และไม่มีทีท่าว่าจะยุบสภาหรือลาออก
หรือว่าจะถูกรัฐประหารให้พ้นไปจากตำแหน่งได้เลย

เพราะเหลือเวลาประชุมรัฐสภาอยู่ไม่กี่วัน
ซึ่งจะมีการนัดประชุมได้ไม่กี่นัด และไม่เห็นมีวาระสำคัญใดๆ
ที่คอขาดบาดตาย อันจะเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องยุบสภาเลย

และฝีไม้ลายมือของฝ่ายค้านในสภาที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่านอกจากนับ
องค์ประชุม วอร์คเอ๊าท์ หรือชวนทะเลาะวิวาทแล้ว
ก็ไม่ปรากฏผลงานด้านการตรวจสอบหรือกำกับการทำงานของรัฐบาลให้เห็นเป็นที่
ประจักษ์เลย

ความ คิดตก ฝีมือต่ำเช่นนี้ ไม่ต้องมีใครพูดหรือประเมิน
แต่เป็นเรื่องที่ประเมินกันภายในฝ่ายค้านเอง
ดังที่เป็นข่าวว่าคนอยู่แดนไกลได้โฟนอินเข้ามาสั่งการให้ตัวแทนคณะกรรมการ
ต่างๆ รายงานผลการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา

เพราะเหตุนี้เมื่อเวลาเหลืออยู่ไม่กี่วัน มีการประชุมไม่กี่นัด
จึงไม่มีทางที่ฝ่ายค้านจะทำงานให้เป็นผล
ให้รัฐบาลต้องยุบสภาหรือลาออกได้เลย เรียกว่าประตูนี้ปิดตายไปได้

ปลายเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ก็จะปิดสมัยประชุมสภาแล้ว
เปิดมาอีกครั้งหนึ่งก็ต้นปี 2553
ซึ่งยามนั้นแม้จะเป็นการประชุมสมัยสามัญทั่วไป
ที่ฝ่ายค้านอาจยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ก็ตาม
แต่ก็เป็นห้วงเวลาที่งบประมาณหลายแสนล้านกำลังไหลไปตามท่ออย่างครึกโครม
มีวงเงินมหาศาลยิ่งกว่างบประมาณปีใดๆ ในประวัติศาสตร์

ใน ยามเช่นนี้จึงไม่มีใครต้องการเสี่ยงเป็นฝ่ายค้าน
หรือต้องการเสี่ยงต่อการเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่
เพราะย่อมมีผลกระทบต่อการไถ การหว่าน การปลูก ที่กระทำมาทั้งหมด
ซึ่งเหลืออยู่เพียงขั้นตอนเก็บเกี่ยวแล้ว
ดังนั้นพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคจึงอยู่ในวิสัยที่จะกอดคอร่วมหัวจมท้าย
ฝ่าฟันการอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านต่อไป

ดูไปแล้วการที่จะหวังว่าจะมีการแตกแยกกันภายในรัฐบาลแล้วเป็นเหตุให้
ชิงยุบสภา จนเป็นเหตุให้ฟันธงกันว่าจะมีการเลือกตั้งในต้นปี 2553
และให้พรรคฝ่ายค้านเตรียมการเลือกตั้งนั้น จะกลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ
ไปเสียแล้ว

หลังจากสมัยประชุมสามัญทั่วไปและมีการอภิปรายทั่วไปแล้วก็จะปิดสมัย
ประชุมไปอีก 2 เดือน และเปิดอีกครั้งหนึ่งในปลายปี
จึงเห็นทีว่ารัฐบาลจะตีกรรเชียงทอดหุ่ยอย่างสบายๆ ไปจนถึงปลายปีหน้า

ครั้นมาพิจารณาในแง่ของการลาออก
หรือการป่วยไข้เป็นตายอย่างอื่นของนายกรัฐมนตรีแล้ว
ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะเกิดขึ้นได้เลย

ใครว่าเด็กก็ว่าไป แต่แม้มิใช่เด็กอย่างกุมารทองหรือรักยม
ก็เป็นเด็กที่มีเทพยดารักษาคุ้มครองป้องกัน
มิฉะนั้นไหนเลยจะฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการมาจนถึงวันนี้ได้

ทั้งแรงกด แรงดันรอบด้านทั่วสารทิศ
และหนักหนาสาหัสปิ่มว่าจะเอาชีวิตไม่รอดก็หลายครั้ง
แต่นายกรัฐมนตรีก็ยังคงยืนมั่นอยู่ในตำแหน่งและไม่มีทีท่าว่าจะลาออก
แม้สุขภาพอนามัยก็ยังผ่องใสเป็นอันดี
ส่วนกรณีความปลอดภัยก็ไม่เห็นเป็นปัญหา เพราะดังที่ว่านั่นแหละ
มีเทพยดาคอยคุ้มครองป้องกันอยู่ ไฉนจะเป็นอันตรายด้วยน้ำมือคนใจชั่วได้

ยิ่งกว่านั้น
วันเวลายิ่งผ่านไปอุปสรรคกลับมีทีท่าว่าจะหล่อหลอมให้เด็กอ่อนกลายเป็นเด็ก
แกร่งขึ้นมา ดังเช่นการเรียกหาประชุมผู้เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงที่บ้านพิษณุโลก
หรือการยืนหยัดมั่นคงในการเลือกสรรผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
โดยไม่หวั่นไหวต่อกระแสข่าวลือ ข่าวลึก ข่าวลับ แต่ประการใด

ทำเอาใครต่อใครที่คิดและพยายามทำให้นายกรัฐมนตรีมีฐานะเป็นแค่เด็กอม
มือหรือเด็กสร้างที่จะสั่งซ้ายหัน ขวาหัน ได้ดังใจ
ต้องประหวั่นพรั่นใจไปตามๆ กัน

บางครั้งบางคราดูเหมือนว่ายอมโอนอ่อนผ่อนปรนจนเรื่องราวหลายเรื่อง
ต้องผ่านพ้นไป แต่ในที่สุดภาวะโอนอ่อนนั้นก็ไม่ต่างอันใดกับยอดสนต้องลม
โอนไปซ้ายเพียงใด ก็โยกโอนกลับมาขวาเพียงนั้น
และถึงวันนี้บรรดาคนที่คิดว่านายกรัฐมนตรีเป็นหุ่นหรือเจว็ดก็ย่อมไม่แน่แก่
ใจตนว่าที่คิดและเข้าใจนั้นถูกหรือผิดประการใด

ใครต่อใครเห็นภาพนายกรัฐมนตรียืนโดดเดี่ยวตัวคนเดียวอยู่ด้านหน้าวอ
ลเปเปอร์ และเห็นอย่างมากก็แค่วอลเปเปอร์
แต่ใครเล่าจักเห็นเงาร่างและกระบวนท่าฝ่ามือไร้เงามากหลายที่กรีดกรายอยู่
หลังวอลเปเปอร์เล่า?

ถึงแม้ใครจะคิดร้ายหมายเอาชีวิตก็ได้แค่คิดแต่ไม่มีทางทำได้สำเร็จ
เพราะคนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ไม่มีเหตุต้องตายเพราะการถูกลอบสังหาร
ถึงจะถูกทำการคิดร้ายหมายเอาชีวิตอย่างไรก็ไม่มีวันที่จะสำเร็จ

ดูไปแล้วหนทางที่นายกรัฐมนตรีจะลาออกหรือมีอันเป็นไปด้วยประการใดๆ
ก่อนสิ้นปีนี้ ย่อมไม่มีวิสัยที่จะเป็นไปได้

ดังนั้นจึงเหลืออยู่ก็แต่หนทางรัฐประหาร

ซึ่งแม้จะมีข่าวเล็ดลอดออกมาบ้างว่ามีการจัดทัพจัดแถวจัดกระบวนรบ
เพิ่มขึ้นเป็น 3 กระบวนรบ คือกระบวนรบในสภา กระบวนรบบนท้องถนนแล้ว
ยังมีเพิ่มขึ้นอีกกระบวนรบหนึ่งคือกระบวนรบด้วยอาวุธ
และมีการฝึกปรือขุมกำลังบางขุมข่ายอยู่ในหลายพื้นที่
แต่การทำการจริงก็คงไม่ง่ายนัก

แม้ว่าจะมีนายทหารเกษียณเข้าไปร่วมคิดอ่านทำการด้วยหลายคน
แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะจัดกระบวนทัพเป็นกระบวนรบเพื่อล้มล้างรัฐบาล

ยิ่งกว่านั้น
คนเหล่านั้นเมื่อครั้งครองอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ก็ยังไม่มีขีดความสามารถที่
จะรักษาอำนาจให้กับรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเอาไว้ได้
ยามนี้เมื่อไม่มีอำนาจวาสนาที่จะสามารถสั่งกำลังให้ทำการได้ดังใจแล้ว
จะทำฉันใดได้เล่า?

การที่ทหารเกษียณยกพลกันเข้าไปเป็นพวก
แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นผลร้ายใหญ่หลวง
เพราะนอกจากไม่ชำนิชำนาญในงานการเมืองที่พูดจาอะไรก็รุ่มร่าม
จนต้องถอยร่นถูกรุกอยู่เป็นประจำแล้ว
ยังเป็นที่หวาดระแวงให้กับฝ่ายความมั่นคงที่ต้องถูกติดตามอย่างใกล้ชิด
จนไม่เป็นอันเคลื่อนไหวใดๆ

การที่นายทหารเกษียณเหล่านี้จะเป็นแกนหลักในการรัฐประหาร
จึงไกลจากความเป็นจริงยิ่งนัก

แล้วถามว่าการที่คนเสื้อแดงประกาศระดมพล 1 ล้านคน เข้ากรุงเทพฯ
ไม่จบไม่เลิกนั้น จะเป็นประการใด?

มาถึงวันนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าการจัดชุมนุมในช่วงนี้แม้ถูกด้วยช่วง
เวลาเพราะเป็นฤดูหนาว อากาศเย็นสบาย ไร้เมฆฝนก็จริง แต่ไม่ถูกด้วยเทศกาล
เพราะเป็นเทศกาลมหามงคลของคนไทย
ที่จะจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในมหามงคลสมัยวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นเทศกาลรื่นเริงส่งท้ายปีเก่า
ต้อนรับปีใหม่ของคนไทยทั้งประเทศ

ทุกคนต้องการความสุขสนุกสนาน
ต้องการความสงบสันติและชิงชังรังเกียจความวุ่นวายและความรุนแรงทั้งปวง
ดังนั้นการจัดชุมนุมในช่วงนี้ จึงเป็นเรื่องผิดเวลา ผิดกาลเทศะ
ซึ่งเริ่มผลิดอกออกผลให้เห็นแล้วถึงความเรรวน
จนกระทั่งไม่แน่ใจว่าจะจัดชุมนุมได้หรือไม่ในวันใด

ถึงจัดชุมนุมได้ก็คงล้มรัฐบาลไม่ได้
คงได้แต่การชกลมเหมือนที่เคยเป็นมาหลายครั้งแล้วนั่นเอง.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000133727

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น