++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

'พินัยกรรม'สนธิ ลิ้มทองกุล

โดย คำนูณ สิทธิสมาน 6 พฤศจิกายน 2552 17:46 น.
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2552 เป็นวันครบรอบวันเกิด 62
ปีของผู้ชายคนหนึ่งที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นในวงการการเมืองไทยมา 4
ปีเต็ม

"สนธิ ลิ้มทองกุล"

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เขาเรียก "ปั๊บ" จิตตนาถ ลิ้มทองกุล
ลูกชายคนเดียววัย 30 เศษไม่มากเข้าไปคุยกันสองต่อสองเพื่อตกลงอนาคต

เป็นอนาคตของลูกชาย
เพราะอนาคตของตัวเขานั้นอยู่ในกำมือพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
มานานแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่ต้นปี 2549
เมื่อเขาตัดสินใจเพิ่มสถานภาพความเป็นผู้นำมวลชนให้กับตนเองอีกสถานะหนึ่ง
นอกเหนือจากสื่อมวลชนที่ไม่เป็นกลางที่ดำเนินมากว่า 30 ปี
วันนี้เมื่อตัดสินใจรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่
เขาก็จำเป็นต้องวางมือจากวิชาชีพสื่อมวลชน
และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งปวง ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ
หรือโทรทัศน์

ปั๊บคือเด็กหนุ่มที่ต้องรับภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า

หนักอึ้งกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ เพราะสื่อในเครือ ASTV
ผู้จัดการ นอกจากจะเป็นสื่อที่ไม่เป็นกลางแล้ว
ในบางขณะยังเป็นสื่อที่สู้รบอีกต่างหาก สำคัญกว่านั้นคือในรอบ 3 ปีมานี้
ไม่ว่าใครบริษัทใดจะเป็นเจ้าของสื่อนี้ก็ตาม
แต่เจ้าของตัวจริงคือพี่น้องประชาชนชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ชาว ASTV ผู้จัดการ อยู่ได้ด้วยเงินบริจาครูปแบบต่าง ๆ
จากพี่น้องประชาชนชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ไม่ว่าจะเงินบริจาคโดยตรง เงินที่ซื้อเสื้อยืด
เงินที่ซื้อบริการข่าวออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือในราคาที่แพงกว่าค่ายอื่น
5 เท่า

การรับภาระต่อจากป๋าของปั๊บจึงแตกต่างจากทายาทเจ้าสัวอภิมหาเศรษฐีคนอื่นที่เป็นเพื่อนเขา

ว่าที่หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ต้องการจะถามลูกชายเขาตรง ๆ
อย่างลูกผู้ชายด้วยกันว่าพร้อมที่จะรับภาระนี้แน่นะ เพราะแม้ว่าในช่วง
193 วันแห่งการต่อสู้ที่ผ่านมา
ปั๊บจะเป็นขุนพลคนหนึ่งที่ร่วมต่อสู้ด้วยใจเคียงบ่าเคียงไหล่กับป๋าของเขา
แต่ของพรรค์นี้มันต้องพูดกันตรง ๆ เมื่อถึงเวลา
เพื่อความเป็นธรรมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีสิทธิจะเลือกชีวิตตามวิถีของตนเอง

แน่นอนว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เสือย่อมมีลูกเป็นเสือ
นายปั๊บเลือกจะเดินตามธงแห่งธรรมที่ป๋าถือนำ

อนาคตของ ASTV ผู้จัดการ กำลังดีวันดีคืน จากคำปราศรัยของสนธิ
ลิ้มทองกุลครั้งหนึ่งในช่วงครึ่งแรกของ 193
วันที่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ว่าอีกหน่อย ASTV
เห็นทีจะต้องขายข้าวเพื่อความอยู่รอด
พัฒนามาเป็นการข่ายข่าวออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือในราคาแพง
และที่สุดก็ได้ขายข้าวจริง ๆ วันนี้จากความร่วมมือร่วมใจของหลายฝ่าย ASTV
มีสินค้าหลากหลายไม่เพียงแต่ข้าวสารสารพัดชนิด ข่าวออนไลน์
แต่ยังมีสบู่สมุนไพร เจลอาบน้ำ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ยาสีฟันสมุนไพร
หน้ากากอนามัย ปุ๋ยชีวภาพสูตรพล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ ฯลฯ
รวมทั้งผ้าอนามัย และการเป็นตัวแทนขายประกัน สินค้าทุกชนิดขายดี
มีอัตลักษณ์ และเริ่มก่อรูปก่อร่างขยายเครือข่ายไปทั่ว
สร้างกำไรมาจุนเจือ ASTV ในอัตราที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่พอ
แต่แนวโน้มมีโอกาสที่จะเลี้ยงตัวได้ในไม่ช้าไม่นาน
สินค้าเหล่านี้ขายโดยบริษัท ASTV โปรดักส์
ที่แยกออกมาต่างหากจากตัวโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ โดยมีจิตตนาถ
ลิ้มทองกุลเป็นผู้บริหารควบคู่กันไป

สนธิ ลิ้มทองกุล กำลังเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการสื่อมวลชนเมืองไทย

จากสื่อมวลชนที่ไม่เป็นกลาง
สู่สื่อมวลชนที่ยืนอยู่ได้ด้วยเงินบริจาคจากพี่น้องประชาชน
มาเป็นสื่อมวลชนที่กำลังจะยืนอยู่ได้ด้วยกำไรจากการขายสินค้าทางเลือกสารพัด
สารพัน ASTV ผู้จัดการ ไม่จำเป็นต้องง้อกลุ่มทุน เอเยนซี่โฆษณา
ความหมายที่เกิดขึ้นมีมากมหาศาล

เมื่อจะเข้ามาแบกรับกิจการในลักษณาการเช่นนี้ สนธิ
ลิ้มทองกุลจึงขอสัญญาจากลูกชายคนเดียวของเขาถึงทิศทางการทำงาน

1. กิจการโทรทัศน์วิทยุและหนังสือพิมพ์ในเครือขาดเงินดำเนินการในแต่ละเดือน
เท่าไร ให้บริษัท ASTV โปรดักส์ลงโฆษณาสินค้าของตนเท่ายอดที่ขาดนั้น

2. กิจการโทรทัศน์วิทยุและหนังสือพิมพ์ต้องการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อซื้ออุปกรณ์ใด
ให้บริษัท ASTV โปรดักส์ซื้อบริจาคให้

3. หากบริษัท ASTV
โปรดักส์ยังมีเงินเหลือให้ซื้อจานดาวเทียมรับสัญญาณ ASTV
บริจาคให้ชุมชนต่าง ๆ
และบริจาคเงินให้ชุมชนที่ประสงค์จะจัดตั้งวิทยุชุมชนเพื่อถ่ายทอดสาระต่อจาก
ASTV และวิทยุ FM 97.75 Megahertz

4. หากบริษัท ASTV โปรดักส์ยังมีเงินเหลืออีก
ให้ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง ที่จะต้องยึดแนวไม่ทำลายสภาพแวดล้อม
หลีกเลี่ยงสารเคมี ใช้สมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ

5. ห้ามบริษัท ASTV โปรดักส์มีเงินเหลือสะสมในแต่ละเดือน

นี่เป็นทิศทางการบริหารบริษัท ASTV โปรดักส์ และสื่อในเครือ ASTV
ผู้จัดการ ที่นอกเหนือตำราวิชาสื่อสารมวลชนและวิชาบริหารธุรกิจทั้งปวง

เพราะหัวใจที่ทำให้กิจการเดินไปได้คือ 1 คำ 2 พยางค์

"ศรัทธา"

และเมื่อเป็นเช่นนั้น
ผู้บริหารจึงต้องมีวัตรปฏิบัติที่ควรคู่กับการได้รับ "ศรัทธา"
จากพี่น้องประชาชนชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

"ปั๊บ" จิตตนาถ ลิ้มทองกุล จึงต้องทำสัญญาลูกผู้ชายกับป๋าของเขา
ไม่มากไม่น้อย แค่ 4 ข้อ เป็นสัญญาลูกผู้ชาย 4
ข้อที่เจ้าของวันเกิดครบรอบ 62 ปีในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2552 เรียกว่า...

"พินัยกรรม"

1. จะต้องใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มีจิตสาธารณะ
ตัวอย่างรูปธรรมคือจะใช้รถยนต์ส่วนตัวได้ไม่เกินเกรดโตโยต้า คัมรี่

2. บริจาคเงิน 25 % ของเงินเดือนตนเอง จัดตั้งเป็นกองทุน
สำหรับจ่ายโบนัสให้พนักงานบริษัท ASTV โปรดักส์
เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาจากส่วนรายได้จากการขายสินค้ามาจ่าย

3. หากมีภรรยา จะต้องไม่เอาภรรยามาทำงานในบริษัทในเครือ

4. หากมีภรรยา จะต้องไม่เอาญาติของภรรยาเข้ามาทำงานบริษัทในเครือ

เหตุผลของข้อ 3 และ 4 คือไม่แน่ใจว่าภรรยาในอนาคตจะเป็นคนอย่างไร
อาจจะไม่ใช่คนที่เคยร่วมต่อสู้กันมา
ความรักสามีรักครอบครัวอาจทำให้ภารกิจเบี่ยงเบนได้

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยที่เป็นส่วนสำคัญในการร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วง
การสื่อมวลชนบ้านเราได้มีความมั่นใจ สบายใจ ได้ว่า "ศรัทธา"
ที่ร่วมด้วยช่วยซ้อสินค้าและบริการหลากหลายนั้นจะไม่สูญเปล่า

เงินทุกบาททุกสตางค์ถูกนำไปใช้เพื่อสร้างปัญญาให้แก่สังคมอย่างแท้จริง

และนี่คือ "พินัยกรรม" ของผู้ชายแห่งยุคสมัยวัย 62
ที่สร้างความสั่นสะเทือนแก่สังคมไทยมาตลอด 4 ปี

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000133711

ด้วยเคารพและศรัทธาคุณสนธิ ครอบครัวและทีมงาน
เทวดาแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องรับทราบในความมุ่งมั่นการทำดี
เพื่อชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์
ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย บารมีองค์หลวงตามหาบัว
โปรดปกป้องให้พวกท่านประสบแต่สิ่งที่ดีตลอดไป
พันธมิตรขอนแก่น


อ่านแล้วอึ้งครับ
เป็นพินัยกรรมที่โหดมากจริงๆครับ
คุณสนธิก็รับพินัยกรรมโหดจากพี่น้องพธมให้นำพรรคการเมืองใหม่
คุณจิตนาถคนหนุ่มวัยสามสิบที่ยังไม่มีเมียก็รับพินัยกรรมโหดจากพ่อ
ผม เองอายุห้าสิบห้าทราบข่าวนี้ก็สะท้านใจที่เห็นทั้งพ่อทั้งลูกตระกูลลิ้มทอง
กุลต้องมารับภาระทางประวัติศาสตร์ที่หนักอึ้งเช่นนี้ ขอเอาใจช่วยเต็มที่
และขอสนับสนุนทั้ง astv พธม และพรรคการเมืองใหม่เต็มหัวใจครับ
แตรชัย

ผมบริจากให้astvไปไม่รู้เท่าไหร่ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา
ไม่เคยเสียดายเงินเลยกลับภูมิใจและสบายใจเสียด้วยซ้ำ
ต่างจากคะแนนที่อุตส่าห์ไปลงให้ปชป.
รู้สึกเสียดายเวลาสี่วินาทีที่สละให้ปชป.มากๆๆๆๆๆๆๆๆ
และผมถือว่านั่นคือความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยก็ว่าได้
ในอนาคตอันใกล้ผมไม่ลังเลที่จะกาเลือกพรรคกมม.
ไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือกแต่เป็นเพราะมั่นใจ
...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น