เนื้อหายาวมาก แต่อาจเป็นประโยชน์กับบางท่าน
คำถามคุณเอ
2009/11/2 เอ
กำลังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ
คือ คิดว่าเราปฏิบัติตนเป็นคนดี รักษาศีล 5 มาโดยตลอด
แต่ทำไมชีวิตถึงพบแต่ปัญหาและอุปสรรคเสมอ
โดยเฉพาะเรื่องคู่ครองน่ะค่ะ
ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนลุงจิ้งเกินไปหรือเปล่า
สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลย อยู่ๆ ก็ส่งเมล์มาขอคำปรึกษาน่ะค่ะ
ขอให้ข้าพเจ้าหมดสิ้นกรรม และหมดสิ้นอายุขัยโดยเร็ววันด้วยเทอญ.
ตอบ
เรียน คุณเอ
การสนทนาธรรม การสอบถามแลกเปลี่ยนธรรมะ ไม่ถือเป็นการรบกวนครับ
แม้เราจะไม่รู้จักกันในชาตินี้ แต่ในอดีตเราอาจเป็นสหายหรือญาติกันก็ได้
การได้เกื้อกูลกันในทางธรรมเป็นเรื่องที่ผมเต็มใจครับ
ขอตอบกว้างๆ ตามหลักพระพุทธศาสนานะครับ
หลักของพระพุทธศาสนามีกฏสำคัญบางประการ
ซึ่งเป็นกฏธรรมชาติที่มีอยู่แล้วและองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้าทรงค้นพบ
(ย้ำว่าค้นพบนะครับไม่ใช่บัญญัติ) เช่น
๑ กฏแห่งการเวียนว่าย ตาย เกิด ตามภพภูมิต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
๒กฏแห่งกรรม ใครทำสิ่งใดไว้จะต้องรับผลของสิ่งนั้นเสมอ ไม่เว้นแม้พระพุทธองค์
แต่คนทั่วไปไม่อาจรู้ได้ว่า
ทำกรรมในปัจจุบัน แล้วผลที่จะได้รับในอนาคตคืออะไร จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เว้นแต่ผู้ที่ได้ทิพยจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ
ผลกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกิดจากการกระทำใดในอดีต
เว้นแต่ผู้ที่ได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
๓ กฏแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๔ วิธีในการหลุดพ้นจากกฎสามข้อข้างต้น
ข้อ๔ สำคัญที่สุด และเป็นโชคดีที่สุดที่เราได้เกิดมาในเขต และในช่วงเวลา
ที่มีการสอนวิธีในการหลุดพ้นทุกข์
เอาละเขียนถึงหลักการแล้วทีนี้ขอตอบคำถามทีละข้อครับ
ข้อ ๑ เราปฏิบัติตนเป็นคนดี รักษาศีล 5
มาโดยตลอดแต่ทำไมชีวิตถึงพบแต่ปัญหาและอุปสรรคเสมอ
อันนี้เป็นปัญหาเรื่องช่วงเวลาครับ
ทุกๆปัจจุบันขณะ เราจะเสวยผลกรรมเก่า(ทั้งกรรมดี หรือกรรมชั่ว)
และเราจะกระทำกรรมใหม่ (ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว
และกรรมที่เป็นกลางไม่ดีไม่ชั่ว) ไปพร้อมกัน
ปัจจุบันชีวิตถึงพบแต่ปัญหาและอุปสรรคเสมอ
เพราะอกุศลกรรมในอดีต(กรรมเก่า)ที่เราได้ทำไว้ส่งผลในช่วงเวลาปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันเราเป็นคนดี รักษาศีล ๕ มาตลอด(กรรมปัจจุบัน)
อันนี้จะเกิดผลบุญแน่นอนในปัจจุบัน
แต่จะให้ผลอนาคต(ซึ่งไม่รู้ว่าใกล้หรือไกล อาจจะ ๑ วัน ๑ เดือน ๑ ปี
ชาติถัดไป) แต่ผลบุญนี้ยังไม่เกิดผลในปัจจุบันครับ
ช่วงนี้เราจึงต้องรับอกุศลกรรมไปก่อน
เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครับ หลายคนเมื่อชีวิตมีความทุกข์
จึงจะเริ่มทำความดี แต่เมื่อความดีไม่ส่งผลรวดเร็วดังใจต้องการ
ก็จะรู้สึกผิดหวัง หลายคนถึงกลับคิดว่าเรื่องกฏแห่งกรรมเป็นรื่องเท็จก็มี
ข้อ ๒ โดยเฉพาะเรื่องคู่ครอง
อันนี้เป็นผลจากการผิดศีลข้อ ๓ ในอดีตครับ จากประสพการณ์ของผม
การละเมิดศีลข้อนี้มักจะส่งผลค่อนข้างแรง
เพราะการผู้ที่ถูกเรากระทำจะรู้สึกเจ็บปวดใจมาก(เหมือนที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้หรือยิ่งกว่า)
ดังนั้นผู้ที่ถูกกระทำมักจะผูกใจเจ็บ
และจองเวรเรา(เรียกคนที่ถูกกระทำและจองเวรผู้ที่กระทำว่า
เจ้ากรรมนายเวรครับ)
ดังนั้นผู้ที่ทำผิดศีลข้อสามจะได้รับผลกรรมของการละเมิดศีลตามกฏแห่งกรรม
และมักถูกกระทำเพิ่มจากการจองเวรด้วย
ยกตัวอย่างเช่นในอดีต นายเอ(นามสมมุติ) แย่งภรรยาของนายบี(นามสมมุติ)
นายบียอมรู้สึกโกรธแค้น อาฆาต พยาบาทนายเอ
(นายบีได้มีฐานะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของนายเอแล้ว)
ความรู้สึกอาฆาต พยาบาทนายเอ
ของนายบีนั้นคงอยู่ตลอดชีวิตของนายบีตั้งแต่หนุ่มจนถึงแก่สิ้นชีวิต
ชาติปัจจุบันกรรมจากการผิดศีลข้อ ๓ ทำให้นายเอ มาเกิดเป็นหญิงชื่อนางเอ(นามสมมุติ)
ด้วยความอาฆาต จองเวร และกฏแห่งกรรม(ของนายบีเอง) นายบีในมาเกิดเป็นชาย
เมื่อโตเต็มวัยได้มาพบกับนางเอ
ทั้งนายบีและนางเอจำเรื่องในชาติอดีตไม่ได้
แต่ความพยาบาทเดิมที่ฝังในจิต ทำให้นายบีหลงรักและจีบนางเอเป็นคู่ชีวิต
(แปลกใหมความอาฆาตทำให้หลงรัก)
ด้วยอกุศลกรรมเก่านางเอจึงหลงรักและยอมแต่งงานกับนายบี (หลงรัก = หลงผิด
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว)
หลังจากอยู่ร่วมกันไม่นานนายบีก็เริ่มล้างแค้นด้วยการทำตัวเจ้าชู้และทอดทิ้งนางเอให้มีความทุกข์เพียงลำพัง
นางเอซึ่งในอดีตเป็นคนดี เพียงทำผิดศีลข้อ ๓ ครั้งเดียว
(ซึ่งในชาติปัจจุบันจำเรื่องเก่าไม่ได้แล้ว) และในชาติปัจจุบันก็เป็นคนดี
รักษาศีล ๕ โดยตลอด จึงรู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
และไม่เข้าใจเลยว่าทั้งที่ตนก็เป็นคนดี รักษาศีล
แล้วทำไม่ความดีจึงไม่คุ้มครองตน
หากคุณสงสัยว่าการอาฆาต พยาบาท
จองเวรกันแล้วจะส่งผลให้มาเกิดเจอกันได้จริงหรือ
ขอให้ไปอ่านเรื่องประวัติพระเทวทัต ทศชาติชาดก และพระเจ้าห้าร้อยชาติชาดก
ดูครับ จะเห็นว่าการอาฆาต จองเวร
ทำให้พระเทวทัตได้พบพระพุทธองค์ในทุกชาติ
การลดผลที่ได้รับจากสองข้อแรกทำได้โดย การทำบุญ รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา
อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยจิตที่สำนึกผิดจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบำเพ็ญภาวนาด้วยกรรมฐาน ๔๐ หรือ สติปัฏฐาน ๔
กองใดก็ได้ อย่างสม่ำเสมอ จริงจัง
แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรจะได้ผลดี ในเวลาอันเร็วมาก
เพราะกรรมฐานเป็นกรรมหนักฝ่ายดีที่จะส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ
(คู่กับอนันตริยกรรมซึ่งเป็นกรรมหนักฝ่ายชั่ว)
ที่คุณบอกว่าในปัจจุบันคุณเป็นคนดีและรักษาศีล ๕ โยตลอดนั้นดีมากแล้วครับ
ขออนุโมทนา แต่ขอให้เพิ่มการบำเพ็ญภาวนา
และการอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยจิตที่สำนึกผิดจริงๆ
มีคัวอย่างการขออโหสิกรรมเรื่องหนึ่งเขียนโดยคุณ ท.เลียงพิบูลย์ ความโดยย่อมีดังนี้
มีสามี ภรรยาคู่หนึ่ง โชคร้ายได้เจ้ากรรมนายเวรมาเกิดเป็นบุตร
(คนที่จองเวรจนยอมมาเกิดเป็นบุตรเพื่อล้างแค้น ถ้าไม่ใจเด็ดมาก
ก็ต้องหลงผิดมาก
เพราะการล้างแค้นในฐานะบุตรย่อมเกิดอกุศลกรรมใหม่ก็ผู้นั้นอย่างหนักมาก
เพราะเป็นกรรมที่ทำกับพ่อ แม่ แต่ก็เป็นการล้างแค้นที่ได้ผลที่สุด
เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้ทุกข์
ได้เท่ากับทุกข์ที่เกิดจากการกระทำของบุตรอีกแล้ว)
ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนโต บุตรนั้นได้ล้างผลาญเงิน
และสร้างความทุกข์ให้กับบิดา มารดา เป็นอันมาก ทรัพย์สมบัติก็แทบหมดสิ้น
วันหนึ่งฝ่ายบิดา มาดารนั้นได้ไปปรึกษากับพระที่ทั้งสองนับถือ
หลวงพ่อท่านบอกว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะบุตรนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวร
ให้แก้ไขโดยให้ถืออุโบสถศีล ทำบุญถวายสังฆทาน
แล้วอธิษฐานหน้าพระประธานในอุโบสถ
อุทิศให้เจ้าเก่านายเวรผู้เป็นบุตร(อุทิศให้เฉพาะตัว
ไม่ใช้อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั่วไป)
แล้วให้กลับบ้านไปขออโหสิกรรมกับบุตรด้วยวาจาต่อหน้าตัวบุตรโดยตรง
เมื่อทั้งสองได้กล่าวขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรผู้เป็นบุตรแล้ว
ผู้เป็นบุตรแสดงอาการให้อโหสิต่อบิดา มารดา แล้วขึ้นไปนอนในห้องของตน
ถึงเช้าวันรุ่งขึ้นปรากฎว่าผู้เป็นบุตรได้สิ้นใจไปแล้ว
เพราะเมื่ออโหสิกรรมให้แล้วก็ไม่มีเหตุที่ต้องอยู่ในฐานะบุตรอีกต่อไป
หากสนใจศึกษาเรื่องกรรมฐานแก้กรรม ให้ศึกษาจากคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
วัดท่าซุง หรือหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
ข้อ ๓ ขอให้ข้าพเจ้าหมดสิ้นกรรม โดยเร็ววันด้วยเทอญ.
ข้อนี้เป็นความคิดที่ไม่ตรงความเป็นจริงครับ ไม่มีใครในโลกนี้ทั้ง ๓๑
ภพภูมิ (พรหมโลก ๒๐ สวรรค์ ๖ มนุษย์ ๑ สัตว์ ๑ เปตร ๑ อสุรกาย ๑ สัตว์นรก
๑) ที่จะหมดสิ้นกรรมได้ครับ
แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังต้องรับผลกรรมจนถึงวาระสุดท้ายของพระชนชีพ
เมื่อเราเกิดมานั้นทุกๆปัจจุบันขณะ เราจะเสวยผลกรรมเก่า(ทั้งกรรมดี
และกรรมชั่ว) และเราจะกระทำกรรมใหม่ (ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว
และกรรมที่เป็นกลางไม่ดีไม่ชั่ว)
ไปพร้อมกันดังนั้นการชดใช้กรรมจนหมดจึงเป็นไปไม่ได้
แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เราหนีโลก หนีกรรม ด้วยการละกิเลส
ตามแนวทางที่ได้ทรงสั่งสอนไว้ครับ
ข้อที่ ๔ ขอให้ข้าพเจ้าหมดหมดสิ้นอายุขัยโดยเร็ววันด้วยเทอญ.
ข้อนี้ก็เป็นความคิดที่ผิดครับ คุณหนีโลกปัจจุบันไปได้
แต่ไม่อาจหนีกรรมได้ครับ หมดสิ้นอายุไขแล้ว
ชาติถัดไปก็ต้องเกิดมาชดใช้กรรมต่อไปอีกอยู่ดี
(ยิ่งถ้าทำให้หมดสิ้นอายุไขด้วยการฆ่าตัวตายยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก)
ลองคิดดูครับในช่วงเวลาหลายร้อยล้านปีที่ผ่านมามีการสอนวิธีพ้นทุกข์ในช่วงเวลานี้เท่านั้น
และมีเวลาสอนเพียง ๕๐๐๐ ปีเท่านั้น (ลองเอาห้าพันหารด้วยร้อยล้านดูครับ)
และในช่วงเวลาปัจจุบันนี้มีมนุษย์โลก ๖๐๐๐ ล้านคน
แต่มีคนที่ได้เกิดมาในเขตที่มีการสอนวิธีพ้นทุกข์เพียงไม่ถึง ๕๐๐
ล้านคนเท่านั้น (นี่ไม่รวมพวกที่ต้องเกิดในอบายภูมิ ๔ นะครับ)
จะเห็นว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก
และการเกิดเป็นมนุษย์ในเขตพระพุทธศาสนายิ่งยากขึ้นไปอีก
การเกิดมาพบพระรัตนตรัยของพวกเราเป็นโอกาศทองของชีวิตที่จะปฏิบัติธรรมให้ได้มากที่สุด
ยาวนานที่สุด เพื่อเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตเบื้องหน้า
ใครจะรู้คุณอาจจะโชคดีถึงซึ่งพระนิพานในชาตินี้ก็ได้
ดังนั้นคุณควรขอให้มีชีวิตที่ยืนนานที่สุด
เพื่อใช้เวลาปฏิบัติธรรมให้ได้มากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความโชคร้ายของคุณที่ปัจจุบันชีวิตได้รับผลของอกุศลกรรม
แต่ก็เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้คุณได้เห็น ทุกข์
ผู้ที่เห็นทุกข์นั้นย่อมตั้งใจหาหนทางพ้นทุกข์มากกว่าผู้ที่ยังไม่เห็น
เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อเริ่มหนีมาออกบวชในครั้งแรก ก็เพราะเห็นทุกข์
จึงเสด็จออกบวชเพื่อหาทางพ้นทุกข์
ลุงจิ้ง
๓ พ.ย. ๕๒ ๑๐.๐๐ น.
หมายเหตุ ๑ คำถามของคุณเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป
ผมจึงใคร่ขออนุญาตนำคำถามคำตอบนี้ไปเผยแพร่เป็นการทั่วไป
โดยผมจะเปลี่ยนชื่อของคุณและใช้เมล์ใหม่ขอผมเอง หวังว่าคุณจะกรุณาอนุญาต
๒ หากคำตอบของผมสร้างความไม่พอใจ ไม่สบายใจต่อคุณ
ผมขอขมาและขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยเถิด
ตอบลุงจิ้ง
ข้อ 3 และข้อ 4 เป็นลายเซ็นท้ายเมล์น่ะค่ะ ไม่ใช่คำถาม
(มันเป็นความรู้สึกท้อแท้ในใจน่ะค่ะ ^_^ )
ยินดีค่ะ ถ้าคำถามนี้จะมีส่วนช่วยชี้นำทางผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้
สมาชิกกรุ๊ปธรรมะสวัสดี โชคดีมาก
ที่มีลุงจิ้งเป็นสมาชิกที่คอยช่วยเหลือและสรรหาสิ่งดีๆ มาเผยแพร่โดยเสมอ
โดยปกติ ก็จะไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส
ก็จะไปพร้อมกับคู่ครองเสมอน่ะค่ะ
ก็คิดว่า ทั้งตัวเรา และคู่ครอง ต่างก็มีกรรมผูกกันมา แต่รู้สึกว่า
แฟนจะมีกรรมผูกกับคนอื่นๆ อีกมากมาย
เพราะเราก็คุยกันในเรื่องนี้ ว่าทำไม
ในเมื่อเราต่างก็ปฏิบัติธรรมด้วยกันทั้งคู่ ต่างรู้ถึงสิ่งดี
และสิ่งไม่ดี แต่ทำไมคู่ครองถึงยังต้องทำ
คู่ครองก็พูดแต่ว่า เขายังมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์อีกเยอะ
ยิ่งเล่าก็จะยิ่งสับสนน่ะค่ะ
แต่ก็ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
คุณเอ
ตอบคุณเอ
ครับผมทราบว่าข้อ ๓ และ ๔ เป็นลายเซ็นท้ายเมล์
แต่ที่ตอบเพราะอยากให้เปลี่ยนความรู้สึกท้อแท้เป็นพลังในการปฏิบัติธรรมครับ
ปัญหาเรื่องการแก้กรรมข้อสุดท้ายที่ผมไม่ได้เขียนก่อนหน้านี้คือการวางครับ
เพราะชีวิตนั้นเกิดจาก กิเลส ตัณหา อุปทาน ความยึดมั่นถีอมั่น
เมื่อเกิดแล้ว ชีวิตเป็นทุกข์
ลองคิดดูครับหากเป็นผู้ชายคนอื่น ที่ไม่ใช่แฟนเรา
ทำตัวเป็นคู่ครองที่ไม่ดี(ต่อหญิงอื่น) เราก็ไม่ทุกข์ หรือทุกข์ก็ไม่มาก
วางได้ง่าย
หากเราวางได้ว่าแฟนเรา ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่ทุกข์
ความจริงแล้วการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารนี้
แฟนคุณเป็นของคนอื่นมานับไม่ถ้วน ตัวคุณก็เป็นของคนอื่นนับไม่ถ้วน
แม้ในอนาคตหากเรายังไม่หยุดเกิด แฟนคุณก็ต้องเป็นของคนอื่นมานับไม่ถ้วน
ตัวคุณก็ต้องเป็นของคนอื่นนับไม่ถ้วน
ความทุกข์ ความเสียใจที่เกิดจากคู่ครองของคุณ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
และถ้ายังคงเกิดอยู่ก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
แม้ความทุกข์ ความเสียใจที่เกิดจากตัวคุณกระทำต่อคู่ครองของคุณก็เคยเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน
การที่คุณและแฟนเป็นคู่กันในชาติปัจจุบัน
เป็นการสมมุติให้เป็นชั่วคราวเท่านั้น ด้วยเป็นผลของกรรม
อันกรรมนั้นเป็นผลของ กิเลส ตัณหา อุปทาน
หากคุณวาง กิเลส ตัณหา อุปทาน ในจิตได้โดยเด็ดขาด
การเกิดก็จะไม่เกิดขึ้น กรรมทั้งหลายก็กลายเป็นโมฆะกรรม
ชีวิตคุณถึงจะสิ้นทุกข์จริงๆ
แต่ในความทุกข์ของคุณ มีเรื่องหนึ่งที่น่ายินดี คือคุณได้ปฏิบัติธรรม
ตามแนวทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ดังนั้นวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดของคุณนั้นกำลังจะสิ้นสุดลงในอนาคต
(อย่างแน่นอนแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่)
ส่วนเรื่องที่แฟนคุณปฏิบัติตัวอย่างไรนั้น ไม่ใช่วิสัยที่คุณจะไปแก้ไขได้
คุณต้องแก้ไขที่ตัวคุณเท่านั้น
กรรม การรับผลของกรรม การปฏิบัติธรรม การบรรลุผลธรรม นิพพาน เป็นเรื่องเฉพาะตัว
เราบอกกล่าวแนะนำได้ แต่บังคับให้ใครเชื่อหรือปฏิบัติอย่างที่เราต้องการไม่ได้
สุดท้าย ผมขอขอบคุณที่คุณอนุญาตให้เผยแพร่เรื่องนี้ได้
และหวังว่าธรรมะของพระพุทธองค์จะทำให้คุณพ้นทุกข์ได้โดยเร็ว
ลุงจิ้ง
๓ พ.ย. ๕๒ ๑๐.๕๐ น.
เรียน คุณเอ
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีอีกวิธี ที่ใช้ช่วยให้ยอมรับผลของกรรม
และวางความยึดมั่นถือมั่นได้ง่ายขึ้น
โดยการฝึกกรรมฐานให้ได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ซึ่งต้องฝึกกสิน
หรือฝึกวิธีลัดคือฝึกมโนมยิทธิ (เมื่อได้มโนมยิทธิแล้ว
ฝึกให้ได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณได้โดยง่าย)
(มโนมยิทธิเป็นวิชชา ๑ ในวิชา ๘ (วิปัสสนาญาณ ๑ มโนมยิทธิ ๑ อิทธิวิชา ๑
ทิพยโสต ๑ เจโตปริยญาณ ๑ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ๑ . ทิพยจักขุญาณ ๑
อาสวักขยญาณ ๑)
เมื่อเราได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณแล้ว
เราจะทราบว่าผลกรรมที่เกิดกับเรานั้นเกิดจากการกระทำอย่างไร
เมื่อเห็นความชั่วที่ทำแล้วในอดีต
เราจะได้รู้ตัวว่าที่ได้รับผลกรรมนั้นเป็นการสมควรแล้ว
และทำใจยอมรับผลกรรมนั้นได้
ในหลายกรณีคุณจะพบว่าผลกรรมที่คุณได้รับนั้นน้อยไปด้วยซ้ำ
เช่นละเมิดศีลข้อ ๓ ดังที่ได้ยกตัวอย่างข้างต้น แต่ยังคงรอดพ้นฉิมพลีนรก
(นรกต้นงิ้ว) เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัชฉาน
เพียงแค่เกิดมาชาตินี้มีทุกข์เรื่องคู่ครองเท่านั้น ซึ่งน้อยมาก
ถ้าเทียบกับกฏแห่งกรรมที่ต้องรับ
ที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะแม้คุณจะผิดศีลบ้าง แต่ในอดีตคุณก็ได้ทำกุศลไว้มาก
จิตตอนตายจึงคิดถึงกุศลก่อน เลยรอดนรกมาได้
แต่ต้องจำไว้ว่าเป็นการรอดชั่วคราวเท่านั้น หากพลาดพลั้ง
ไม่เร่งปฏิบัติธรรม หากชาติใด จิตก่อนตายนึกถึงอกุศลกรรม
ก็จะเป็นปัจจัยให้เป็นสัตว์นรกได้
ทีนี้ผลกรรมเก่าทั้งหมดจะถูกเรียกชำระทุกกระทง อย่างนี้จึงจะเรียกว่า
ทุกข์หนัก ทุกข์นานจริง
หากสนใจการฝึกกรรมฐานให้ได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือฝึกมโนมยิทธิ
ก็ลองหาสถานที่สอนดูครับ หากเป็นมโนมยิทธิก็มีที่วัดท่าซุง
หรือที่บ้านซอยสายลม
(รายละเอียดบ้านซอยสายลมมีในเมล์ที่เคยส่งให้อ่านแล้ว)
ปุพเพนิวาสานุสติญาณนี้เป็นญาณสำคัญยิ่ง
เพราะเป็นญาณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้เป็นลำดับแรกในคืนสุดท้ายที่สรงตรัสรู้
และทรงใช้เป็นฐานสำหรับวิปัสสนาญาณ จนถึงอาสวักขยญาณ
ตัดกิเลสจนหมดสิ้นในที่สุด
ลุงจิ้ง
3 พ.ย. ๕๒ ๑๒.๐๐ น.
หมายเหตุ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ
ความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน , ระลึกชาติได้
(ข้อ ๑ ในวิชชา ๓, ข้อ๔ ใน อภิญญา ๖, ข้อ ๖ ในวิชชา ๘, ข้อ ๘ ในทศพลญาณ)
[๑๓๖]ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลสอ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง
สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้างสิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง
สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้างร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง
แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง
ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น
เรามีโคตรอย่างนั้น เรามีผิวพรรณอย่างนั้นเรามีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ
มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น
แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆมีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว
ได้มาเกิดในภพนี้เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ
พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงจาก{น.๗๖}บ้านตนไปบ้านอื่นแล้ว
จากบ้านนั้นไปยังบ้านอื่นอีก
จากบ้านนั้นกลับมาสู่บ้านของตนตามเดิมเขาจะพึงระลึกได้อย่างนี้ว่า
เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้นเราได้ยืนอย่างนั้น
ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น
ได้นิ่งอย่างนั้นเราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น แม้ในบ้านนั้น
เราก็ได้ยืนอย่างนั้นได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น
แล้วเรากลับจากบ้านนั้นมาสู่บ้านของตนตามเดิมดังนี้ ฉันใด
ภิกษุก็นฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง
สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้างสิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง
สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้างร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง
แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง
ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น
เรามีโคตรอย่างนั้น เรามีผิวพรรณอย่างนั้นเรามีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ
มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไป เกิดในภพโน้น
แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆมีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว
ได้มาเกิดในภพนี้เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ
พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้
ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่าทั้งประณีตกว่าสามั้ญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ
มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ, ฤทธิ์ทางใจ คือ
นิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้ ดุจชักไส้จากหญ้าปล้อง ชักดาบจากฝัก
หรือชักงูออกจากคราบ
จุตูปปาตญาณ มีตาทิพย์และรู้การเกิดและการตายของสัตว์โลกว่าเกิดจากเหตุอะไร
ทิพยจักขุญาณ คือ ตาทิพย์ เห็นในสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็น
วิธีใช้ประโยชน์เมื่อได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
คือกำหนดดูว่าการที่เรารับผลกรรมอยู่ในปัจจุบันนี้
เกิดจากการกระทำในอดีตชาติอย่างไร เรารับผลอะไรจากการกระทำนั้นมาแล้วบ้าง
(ตกนรกจากการกระทำนั้นหรือยัง หากตกนรกแล้วที่โดนตอนนี้ก็เป็นแค่เศษกรรม
หากยังไม่ตกก็ให้รีบปฏิบัติธรรมหนีนรก)
วิธีใช้ประโยชน์เมื่อได้ มโนมยิทธิ หรือ ทิพยจักขุญาณ
คือกำหนดถามครูบาอาจารย์ที่ไม่มีกายเนื้อแล้วถึงวิธีการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป
หรือ กรณีนี้ก็ถามท่านว่าผลกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเกิดจากเหตุใด
และจะแก้ไขอย่างไร
ความแตกต่างระหว่าง มโนมยิทธิกับทิพยจักขุญาณ คือ
มโนมยิทธิเหมือนกับเราไปด้วยตัวเอง ทิพยจักขุญาณเหมือนเราดูหนัง
สุดท้ายนี้ขออวยพรให้ผลจากการปฏิบัติธรรมของคุณ
จงเป็นปัจจัยให้คุณพ้นทุกข์ในที่สุดด้วยเถิด
ลุงจิ้ง
3 พ.ย. ๕๒ ๑๓.๓๐ น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น