++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การเมืองไทยในปี 2553

โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช 8 พฤศจิกายน 2552 18:08 น.
การเมืองไทยเวลานี้กำลังเผชิญกับปัญหาหลายๆ ด้านพร้อมๆ กันไป
เรื่องแรกก็คือ การดิ้นรนต่อสู้ของ
พ.ต.ท.ทักษิณที่จะกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง เรื่องที่สองก็คือ
การดิ้นรนของนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่ถูกลงโทษเพราะกระทำผิดรัฐธรรมนูญ
เรื่องที่สามได้แก่
การนำเอาเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมาเป็นปัจจัยการเมืองภายใน
ประเทศ เรื่องที่สี่คือ การขยายความขัดแย้งในสามจังหวัดภาคใต้
เรื่องที่ห้าได้แก่ การรวมตัวของนายทหารที่เกษียณอายุแล้ว
และการก่อตัวของพรรคการเมืองใหม่

ปรากฏการณ์เหล่านี้มีผลทำให้การเมืองในปีหน้าคุกรุ่นยิ่งขึ้น
เพราะแต่ละปัจจัยล้วนมีส่วนขับดันการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งทั้ง
สิ้น ที่สำคัญก็คือ
ความขัดแย้งในปัจจุบันเป็นความขัดแย้งสองขั้วที่ชัดเจน และลึกๆ
แล้วก็มีมิติทางอุดมการณ์ด้วย

ในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญนั้น
ประเด็นเรื่องการยุบพรรคน่าจะไม่เป็นปัญหา เพราะคงจะมีการผ่อนปรนกันได้
แต่เรื่องสำคัญก็คือ วิธีการเลือกตั้งว่าจะเป็นการแบ่งเขต ส.ส.เขตละคน
หรือจะเป็นเขตใหญ่มี ส.ส. 2-3 คน
เพราะวิธีการแต่ละวิธีจะมีผลต่อพรรคการเมืองแต่ละพรรค

แต่เดิมพรรคเพื่อไทยก็แสดงทีท่าว่าจะร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญกับรัฐบาล
แต่ต่อมากลับลังเล และถอนตัว
ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะไม่อยากจะมีการเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียว
นัยว่ากลัวพรรคการเมืองใหม่จะได้ที่นั่งมาก
เพราะพรรคการเมืองใหม่มีผู้สนับสนุนในเขตหนึ่งในตัวเมืองของจังหวัดต่างๆ
มาก มีผู้คาดว่าคะแนนที่พรรคจะได้รับทั่วประเทศอาจมีถึง 12 ล้านเสียง
และหากมีการเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียวแล้ว พรรคการเมืองใหม่ก็น่าจะได้
ส.ส.เข้ามาถึง 70-80 คน

การเลือกตั้งครั้งต่อไป น่าจะลงเอยด้วยการมีพรรคการเมือง 5-6
พรรคเช่นเคย คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย
พรรคชาติไทย และพรรคการเมืองใหม่ การรวมตัวกันภายหลังการเลือกตั้ง
ก็จะเป็นสองขั้วเหมือนเดิม
แต่พรรคการเมืองใหม่อาจวางยุทธวิธีไม่เข้าร่วมรัฐบาลในระยะแรก

ประเด็นการต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
นอกจากเรื่องการสนับสนุนตัวบุคคล เช่น ทักษิณแล้ว
เรื่องนโยบายก็จะมีความสำคัญยิ่งขึ้น
จะมีการเน้นเรื่องรัฐสวัสดิการมากขึ้น นอกจากนั้นการกระจายอำนาจ
และการมีส่วนร่วมของประชาชนก็ยังคงมีความสำคัญ
โดยเฉพาะหลังการที่มีข้อเสนอเรื่อง "นครปัตตานี"

ที่จริงแนวคิด "นครปัตตานี" นี้ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากนัก
เพราะเป็นแนวทางการกระจายอำนาจแนวทางหนึ่ง
แต่ข้อกังขาอาจเป็นสาเหตุของการจัดตั้งมากกว่า
เพราะไม่ได้มาจากเหตุผลทางความเจริญด้านเศรษฐกิจหรือขนาดของเมือง
หากเป็นเหตุผลทางศาสนาและวัฒนธรรม นอกจากนั้น
ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นอิสระจากรัฐไทยอีกด้วย "นครปัตตานี"
ในฐานะจังหวัดๆ หนึ่งที่มีนายกเทศมนตรีแบบนครเชียงใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
และมีอิสระในการบริหารไม่น่าจะมีปัญหา สิ่งสำคัญก็คือ
ขอบเขตของอำนาจการปกครอง และการจัดองค์กรการบริหารว่าจะมีลักษณะใด
ถึงอย่างไรรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็คงจะไม่ยอมให้เกิด "นครปัตตานี"
เพราะเท่าที่ผ่านมา กลุ่มแบ่งแยกดินแดนก็เรียกร้องเช่นนี้

เมื่อมองตัวละครทางการเมืองแล้ว จะเห็นว่านอกจากตัวละครเก่าๆ
แล้ว ผู้ที่เข้ามาใหม่ซึ่งโดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล
มีอดีตปลัดกระทรวงผู้หนึ่งบอกว่า เมื่อเทียบตัวนักการเมืองในขณะนี้แล้ว
สนธิ จัดว่าน่าสนใจมากที่สุด
เพราะนอกจากคุณสมบัติส่วนตัวที่มีความสามารถในการสื่อสารแล้ว
ก็ยังมีความกล้าหาญ และความเชี่ยวชาญในการเจรจากับต่างประเทศด้วย
ดังนั้นบทบาทของสนธิ และพรรคการเมืองใหม่จึงมีมากกว่าการเป็นฝ่ายต่อต้าน
พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จะเป็นฝ่ายขับเคลื่อนการเมืองไทยให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีได้

บทบาทของ พล.อ.ชวลิต คงจะหมดความสำคัญลง พล.อ.ชวลิต
มีความสำคัญระหว่างที่เป็น ผบ.ทบ.
และไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใด
แต่เป็นผู้ประสานระหว่างฝ่ายทหารและพรรคการเมือง เวลานี้ พล.อ.ชวลิต
ขาดฐานอำนาจทางทหารแล้ว พรรคการเมืองจึงไม่มีความเกรงใจอะไร
อาจกล่าวได้ว่า เวลานี้นักการเมืองเป็นฝ่ายคุมอำนาจทางการเมืองอย่างเต็มที่
เพราะฝ่ายทหารก็ไม่มีใครที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเหมือนแต่ก่อน
พล.อ.ชวลิต จึงอาศัยสิ่งที่เคยมีอยู่เดิม คือ ความสัมพันธ์เก่าๆ
กับผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน เอามาเป็นข้อเด่น
แต่เวลานี้ชาวไทยไม่ค่อยชอบเขมร
ดังนั้นการไปเกี่ยวข้องกับผู้นำเขมรที่ออกมาแสดงตัวสนับสนุนทักษิณอย่างเปิด
เผย จึงเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี

พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ต้องการยุบสภา
หากลากไปได้ยาวเท่าไรก็ยิ่งดี ระยะเวลา 2 ปี
น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะกับการยุบสภา ถ้ามีวิกฤตทางการเมือง
แต่ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไร การอยู่ครบเทอม 4 ปี ก็เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา
แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะทักษิณเองก็ไม่สามารถจะปล่อยให้คดีสิ้นสุดลงใน
3-4 ปีนี้ ความพยายามที่จะก่อกวนให้มีการแตกแยกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
ก็น่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้

มีข้าราชการที่เพิ่งเกษียณอายุไปเริ่มรวมกลุ่มกัน
เพราะเป็นห่วงอนาคตของบ้านเมือง
พวกเขามีความรู้สึกว่าเวลานี้นักการเมืองเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์มากเกินไป
คาดว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า
จะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้ามาสมัครรับเลือกตั้งมากขึ้น
โดยสังกัดพรรคต่างๆ

หาก มีคนเข้ามาสู่วงการเมืองมากขึ้น และนักการเมืองเก่าๆ
เริ่มหายไป การเมืองไทยก็คงดีขึ้น
เพราะปัญหาของการเมืองไทยอยู่ที่ตัวบุคคลและพฤติกรรมมากกว่าอยู่ที่กติกา
หรือโครงสร้างทางการเมือง

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000133736

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น