++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ด้านได้ ด้านไป

โดย ราวี เวียงพยัคฆ์ 17 พฤศจิกายน 2551 18:50 น.

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบแห่งชาติ มีมติที่สร้างความระทึกให้แก่ประชาชนที่สำคัญ 2 มติ
      
       1. ชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อรถและเรือดับเพลิงที่ คตส.ตรวจสอบยังไม่เสร็จ ส่งให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบต่อ จนกระทั่งมีมติออกมาแล้ว นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเพิ่งจะได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมนี้ เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วย เพราะนายอภิรักษ์โกษะโยธิน ไปเปิดแอลซีให้การซื้อขายสมบูรณ์ ภายหลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช เซ็นสัญญาซื้อทิ้งท้ายเอาไว้ 2 วันก่อนที่จะพ้นตำแหน่ง (เซ็นสัญญาวันศุกร์ วันอาทิตย์ก็มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าฯ สมัยแรก) เป็นการเซ็นทิ้งทวนจริงๆ
      
       2. ชี้มูลความผิดคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีมติให้นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 (2) ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว ถือเป็นการละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
      
        มีคณะรัฐมนตรีที่ร่วมรับผิดชอบในเรื่องนี้ 28 คน (มี 4-5 คน ไม่ได้ร่วมประชุม)
      
        นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนี้เป็น 1 ใน 28 คนที่จะต้องร่วมรับผิดชอบ ขณะนั้นเขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
      
        ทั้งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต่างรับทราบมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.และต่างก็มีปฏิกิริยาต่อมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.แตกต่างกันไปตามสำนึกทางการเมือง ความรับผิดชอบ จริยธรรม หรือพูดกันง่ายๆ ว่า หน้าบาง หน้าหนา ต่างกัน
      
        นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นักการเมืองระดับท้องถิ่นประกาศลาออกทันทีที่ทราบมติ แม้จะมีหลายคนในพรรคประชาธิปัตย์ทัดทานไว้ก็ตาม
       
       ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรียิ้มแหยๆ ท่าทางเหมือนกับตอนที่นักข่าวพยายามถามเขาถึงชายที่หน้าเหมือนเขา พาผู้หญิงไปรับประทานอาหาร เลือกซื้อตู้เย็น เข้าโรงแรมม่านรูด
      
        และในที่สุดก็สารภาพว่า บางตอนของคลิปวิดีโอคนหน้าเหมือนนั้น เป็นเขาเอง
      
        นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้แตกต่างจากนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้แตกต่างจากนายไชยา สะสมทรัพย์ หรือนักการเมืองคนอื่นๆ ในซีกเดียวกัน นั่นก็คือ อายไม่เป็น ไม่รู้ว่าจริยธรรมคืออย่างไร สำนึกความรับผิดชอบคืออย่างไร ต้องทำอย่างไร
      
        นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดออกมาว่า การทำอาหาร การทำกับข้าว โดยที่นายสมัคร บอกว่าไม่ได้รับเงินเลยนั้น ศาลไม่เชื่อ ศาลตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
      
        วันรุ่งขึ้น เขาก็ยังหวังว่าพรรคพลังประชาชนจะโหวตให้เขากลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ไม่สะทกสะท้าน ไม่มีความละอายอยู่ในกมลสันดาน
      
        เช่นเดียวกับนายไชยา สะสมทรัพย์ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ภริยาของเขาถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
      
        เขาพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรี เขาก็กลับมาใหม่ คราวนี้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นกระทรวงที่ใหญ่กว่าเดิม
      
        ถ้าหากการพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองเพียงชั่วข้ามวันข้ามคืน ข้ามสัปดาห์แล้วกลับมาสู่ตำแหน่งเดิม หรือใหญ่กว่าเดิมได้ เราจะต้องออกกฎหมายกำหนดให้ตำแหน่งทางการเมือง ต้องมีคุณสมบัติอย่างนั้น อย่างนี้ทำไม จะต้องให้มีการร้องเรียน จะต้องให้มีองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญมานั่งพิจารณาตีความกันให้เสียเวล า เสียงบประมาณกันทำไม
      
        เพราะในที่สุดแล้ว ต่างก็พากันหาทางออก หาทางเสี่ยง และหน้าด้านกันต่อไป
      
        มีหลายกรณีที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ควรหน้าด้านอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นต้นว่า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดสมัยที่เขาเป็นปลัดกระทรวง ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ครม.นายสมัคร สุนทรเวช ที่เขาร่วมเป็นรัฐมนตรีอยู่ด้วย คลิปวิดีโอฉาวโฉ่ที่แพร่หลายกันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งถ้าหากเป็นนักการเมืองบ้านอื่นเมืองอื่นเขาลาออกไปตั้งแต่วันแรกแล้ว หรือกรณีที่ภริยาของเขาวิ่งเต้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรณีซุกหุ้น ในฐานะตุลาการเก่าอย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็แทบจะแทรกแผ่นดินหนีความอัปยศ
      
        แต่สำหรับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนนี้ยังเฉย
      
        แถมบอกว่ามีภารกิจสำคัญที่เขาจะต้องแบกรับ คือ งานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ งานเฉลิมพระชนมพรรษาพระเจ้าอยู่หัว
      
        จากนั้นก็คงจะอ้างงานคริสต์มาส งานปีใหม่ งานตรุษจีน งานวันสงกรานต์ เรื่อยไป
      
        นอกจากอ้างงานสำคัญแล้วนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีไร้ทำเนียบฯ ยังคิดที่จะสร้างทำเนียบฯ ใหม่หลังจากที่มีกำหนดการไว้แล้วว่า รัฐสภาแห่งใหม่จะวางศิลาฤกษ์ได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์
      
        แถมยังมีรายงานข่าวอีกว่า หลังจากการประชุมเปรูวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ก็จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีเป็นรัฐบาลสมชาย 2 เพื่อให้งานดีขึ้นกว่าเดิม โดยที่ไม่รู้เงาหัวตัวเองว่าจะไม่มีแล้ว เพราะวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้แล้วก็จะเป็นวันสุดท้ายครบ 15 วันที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้เป็นวันสุดท้ายให้พรรคการเมืองต่างๆ ที่มีกรณียุบพรรคยื่นคำคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญ
      
        จะใช้วิธีหัวหมอขอยืดระยะเวลายื่นคำคัดค้านออกไปอีกก็คงจะยาก เพราะเรื่องยุบพรรคเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องต่างก็รู้ตัวอยู่ แล้ว และรู้มาเป็นปีแล้ว
      
        ยิ่งพรรคพลังประชาชนของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นั่นยิ่งง่ายต่อการพิจารณา เพราะศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้มีคดีพิพากษาไว้เรียบร้อยแล้วคือ ให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช
      
        ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้แตกต่างจากศาลรัฐธรรมนูญสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซุกหุ้น ไม่ดองเรื่อง ไม่ทอดเวลาให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง
      
        เพราะฉะนั้นไม่น่าจะเกินสิ้นเดือนพฤศจิกายน คำวินิจฉัยเกี่ยวกับการยุบพรรคก็น่าจะออกมา
      
        ถึงตอนนั้นก็อยากรู้เหมือนกันว่า จะหน้าด้านอยู่ต่อไปได้ไหม?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น