วันนี้-ก็ย่างเข้าวันศุกร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ นับจากวันนี้ไปจนถึงวันพุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน เป็นวาระเข้าสู่หมายกำหนดการ
"พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์"
ครับ..พวกเรา "เหล่าพสกนิกร" ก็คงใจจด-ใจจ่อ เพื่อร่วมถวายความอาลัยแด่พระองค์ท่านอยู่แล้ว
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็คงจำไม่ได้ว่า "วันไหน-เวลาไหน" คืออย่างไรบ้าง ฉะนั้น เพื่อการปฏิบัติตนที่เหมาะสม ผมจะค่อยๆ นำหมายกำหนดการมาบอกท่านเป็นช่วงๆ ไป เป็นการกันลืม
ท่านจำให้แม่นๆ ในช่วงสำคัญระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ พ.ย.นี้ก่อนนะครับ โดยเริ่มจากวันนี้ เราควรแต่งกายไว้ทุกข์ สำรวมกาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์ เพราะด้วยความบริสุทธิ์แห่ง กาย-วาจา-ใจ นี้
จะหลอมรวมเป็นพลังแห่งจิตตานุภาพกล้าแกร่ง ส่งเสด็จ "สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ" คืนสู่ทิพยวิมาน ณ สรวงสวรรค์-แดนโพ้น
ต้องเข้าใจกันด้วยนะครับว่า หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์นั้น อยู่นอกเหนือคำว่าตายดังสามัญชนทั่วไป เพราะวงศ์กษัตริย์นั้น คือวงศ์แห่งเทวะ
ก็แล "องค์เทวะ" นั้น อยู่นอกเหนือการเป็น-การตาย มีแต่การ "จุติ" จากที่หนึ่ง ไป ณ อีกที่หนึ่งเท่านั้น ดังเช่น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ องค์แห่งวงศ์เทวะ ผู้ทรงจุติมาสู่แดนมนุษย์ในภาวะ "องค์แห่งสมมุติเทพ"
เมื่อ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร จวบจน ณ วันที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ ณ โรงพยาบาลศิริราช ประเทศไทย
กาลล่วงแล้ว ๘๔ ปี พระองค์ท่านก็ทรงจุติอีกครั้งหนึ่ง จากแดนมนุษย์คืนสู่แดนสรวง หลังจากทรงบำเพ็ญตบะบารมี "สงเคราะห์มนุษยโลก" ด้วยกาลอันควรแล้ว
ฉะนั้น ในวาระนี้ หน้าที่ที่พวกเรา-เหล่าพสกนิกรจะพึงกระทำ และจะเป็นการกระทำด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องก็คือ เฝ้าแหน "ส่งเสด็จ" พระองค์ท่านคืนสู่สวรรค์ ด้วยปีติในศรัทธาแห่งเทวะ
การคืนสู่สรวงสวรรค์ของพระองค์ท่าน มิเป็นการ "ลับหายตายจาก" ดังที่เข้าใจกันแต่ประการใด!
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่กับเรา-ปวงชนชาวไทยตลอด ไป เพียงแต่ทางกายภาพ เราทั้งหลายมิอาจเห็นพระองค์ท่านดังที่เคยเห็นทางตาเท่านั้น
เพราะพระองค์ท่านเสด็จคืนสู่ "แดนทิพย์" ไกลออกไปนอกครรลองจักษุมนุษย์จะแลเห็น ตามชั้นแห่งพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญ "มหากุศล" ต่อปวงประชามาตลอด ๘๔ พระพรรษานั่นเอง
"พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์"
ครับ..พวกเรา "เหล่าพสกนิกร" ก็คงใจจด-ใจจ่อ เพื่อร่วมถวายความอาลัยแด่พระองค์ท่านอยู่แล้ว
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็คงจำไม่ได้ว่า "วันไหน-เวลาไหน" คืออย่างไรบ้าง ฉะนั้น เพื่อการปฏิบัติตนที่เหมาะสม ผมจะค่อยๆ นำหมายกำหนดการมาบอกท่านเป็นช่วงๆ ไป เป็นการกันลืม
ท่านจำให้แม่นๆ ในช่วงสำคัญระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ พ.ย.นี้ก่อนนะครับ โดยเริ่มจากวันนี้ เราควรแต่งกายไว้ทุกข์ สำรวมกาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์ เพราะด้วยความบริสุทธิ์แห่ง กาย-วาจา-ใจ นี้
จะหลอมรวมเป็นพลังแห่งจิตตานุภาพกล้าแกร่ง ส่งเสด็จ "สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ" คืนสู่ทิพยวิมาน ณ สรวงสวรรค์-แดนโพ้น
ต้องเข้าใจกันด้วยนะครับว่า หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์นั้น อยู่นอกเหนือคำว่าตายดังสามัญชนทั่วไป เพราะวงศ์กษัตริย์นั้น คือวงศ์แห่งเทวะ
ก็แล "องค์เทวะ" นั้น อยู่นอกเหนือการเป็น-การตาย มีแต่การ "จุติ" จากที่หนึ่ง ไป ณ อีกที่หนึ่งเท่านั้น ดังเช่น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ องค์แห่งวงศ์เทวะ ผู้ทรงจุติมาสู่แดนมนุษย์ในภาวะ "องค์แห่งสมมุติเทพ"
เมื่อ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร จวบจน ณ วันที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ ณ โรงพยาบาลศิริราช ประเทศไทย
กาลล่วงแล้ว ๘๔ ปี พระองค์ท่านก็ทรงจุติอีกครั้งหนึ่ง จากแดนมนุษย์คืนสู่แดนสรวง หลังจากทรงบำเพ็ญตบะบารมี "สงเคราะห์มนุษยโลก" ด้วยกาลอันควรแล้ว
ฉะนั้น ในวาระนี้ หน้าที่ที่พวกเรา-เหล่าพสกนิกรจะพึงกระทำ และจะเป็นการกระทำด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องก็คือ เฝ้าแหน "ส่งเสด็จ" พระองค์ท่านคืนสู่สวรรค์ ด้วยปีติในศรัทธาแห่งเทวะ
การคืนสู่สรวงสวรรค์ของพระองค์ท่าน มิเป็นการ "ลับหายตายจาก" ดังที่เข้าใจกันแต่ประการใด!
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่กับเรา-ปวงชนชาวไทยตลอด ไป เพียงแต่ทางกายภาพ เราทั้งหลายมิอาจเห็นพระองค์ท่านดังที่เคยเห็นทางตาเท่านั้น
เพราะพระองค์ท่านเสด็จคืนสู่ "แดนทิพย์" ไกลออกไปนอกครรลองจักษุมนุษย์จะแลเห็น ตามชั้นแห่งพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญ "มหากุศล" ต่อปวงประชามาตลอด ๘๔ พระพรรษานั่นเอง
พูดถึงสวรรค์ หลายท่านอาจชินหู แต่ไม่ค่อยเข้าใจ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๕๓๑ กล่าวถึงสวรรค์ สำหรับผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด มี ๖ ชั้น
ก่อนจะรู้ว่าชั้นไหน-เป็นชั้นไหน ทราบความหมายกว้างๆ ในคำว่า "สวรรค์" ไว้ก่อน ตามที่ครูบาอาจารย์อธิบายไว้ ดังนี้นะครับ
สวรรค์ รูปศัพท์บาลี จะแปลว่า เลิศด้วยดีก็ได้ มีอารมณ์ดีงามก็ได้ อันสรรพสัตว์พึงถึงด้วยกรรมอันดีงามก็ได้ หรือจะแปลว่า เป็นที่ ข้องอยู่-ติดอยู่ แห่งสัตว์ทั้งหลายก็ได้
สรุปความว่า "สวรรค์" ได้แก่โลกเป็นที่อยู่ของเทวดา มีแต่รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ อันดีงาม คือเป็นของทิพย์ ดีเลิศประเสริฐกว่าเมืองมนุษย์หลายเท่า
สวรรค์ทั้ง ๖ ของผู้ที่มิใช่พระอรหันต์ ไล่จากชั้นต้นขึ้นไปถึงชั้นสูงสุด มีดังนี้
๑.ชั้นจาตุมหาราช ๒.ชั้นดาวดึงส์ ๓.ชั้นยามา ๔.ชั้นดุสิต ๕.ชั้นนิมมานรดี และ ๖.ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
ครับ..คิดว่าพอเข้าใจคร่าวๆ กันแล้ว ก็มาดูกันว่าระหว่าง ๑๔-๑๖ พ.ย.นี้ งานอันเป็นพระราชพิธีสำคัญมีอะไรบ้าง
ก่อนจะรู้ว่าชั้นไหน-เป็นชั้นไหน ทราบความหมายกว้างๆ ในคำว่า "สวรรค์" ไว้ก่อน ตามที่ครูบาอาจารย์อธิบายไว้ ดังนี้นะครับ
สวรรค์ รูปศัพท์บาลี จะแปลว่า เลิศด้วยดีก็ได้ มีอารมณ์ดีงามก็ได้ อันสรรพสัตว์พึงถึงด้วยกรรมอันดีงามก็ได้ หรือจะแปลว่า เป็นที่ ข้องอยู่-ติดอยู่ แห่งสัตว์ทั้งหลายก็ได้
สรุปความว่า "สวรรค์" ได้แก่โลกเป็นที่อยู่ของเทวดา มีแต่รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ อันดีงาม คือเป็นของทิพย์ ดีเลิศประเสริฐกว่าเมืองมนุษย์หลายเท่า
สวรรค์ทั้ง ๖ ของผู้ที่มิใช่พระอรหันต์ ไล่จากชั้นต้นขึ้นไปถึงชั้นสูงสุด มีดังนี้
๑.ชั้นจาตุมหาราช ๒.ชั้นดาวดึงส์ ๓.ชั้นยามา ๔.ชั้นดุสิต ๕.ชั้นนิมมานรดี และ ๖.ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
ครับ..คิดว่าพอเข้าใจคร่าวๆ กันแล้ว ก็มาดูกันว่าระหว่าง ๑๔-๑๖ พ.ย.นี้ งานอันเป็นพระราชพิธีสำคัญมีอะไรบ้าง
ขอบคุณมาก ๆ นะครับ
ตอบลบ