++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อับอายที่เป็นหม้าย

ปุจฉา - กราบนมัสการเจ้าคะ ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่สามีมีเมียน้อย แต่ที่ดิฉันรุ้สึกคือ ดิฉันอายทุกคนรอบข้างมาก อายจนไม่อยากพูดกับใคร ดิฉันไม่สามารถหยุดคิดและปล่อยวางได้จริงๆ แม้ทุกวันนี้จะเลิกกัน แยกกันอยู่แล้ว แต่ดิฉันก็ยังไม่ได้บอกที่บ้านถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะกลัวและอาย ดิฉันมักจะนั่งร้องไห้คนเดียวตลอดกว่าปีที่ผ่านมา และคิดถึงสิ่งต่างๆที่เค้า (สามีและเมียน้อย) ทำกับดิฉัน โดยปัญหาที่ทำให้แตกแยกเกิดจากฐานะทางบ้านสามีที่ด้อยกว่าบ้านดิฉัน ตลอดเวลาที่เราคบกันกว่า ๑๐ ปี เราก็สู้กันมาตลอดจ

อับอายที่เป็นหม้าย


ปุจฉา - กราบนมัสการเจ้าคะ ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่สามีมีเมียน้อย แต่ที่ดิฉันรุ้สึกคือ ดิฉันอายทุกคนรอบข้างมาก อายจนไม่อยากพูดกับใคร ดิฉันไม่สามารถหยุดคิดและปล่อยวางได้จริงๆ แม้ทุกวันนี้จะเลิกกัน แยกกันอยู่แล้ว แต่ดิฉันก็ยังไม่ได้บอกที่บ้านถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะกลัวและอาย ดิฉันมักจะนั่งร้องไห้คนเดียวตลอดกว่าปีที่ผ่านมา และคิดถึงสิ่งต่างๆที่เค้า (สามีและเมียน้อย) ทำกับดิฉัน

โดยปัญหาที่ทำให้แตกแยกเกิดจากฐานะทางบ้านสามีที่ด้อยกว่าบ้านดิฉัน ตลอดเวลาที่เราคบกันกว่า ๑๐ ปี เราก็สู้กันมาตลอดจนถึงวันที่แม้พ่อแม่จะไม่ค่อยยอมรับในตัวสามี แต่ก็คงห้ามไม่ได้แล้ว เราจึงแต่งงานกัน จนวันนี้เกือบสิบปีที่เราอยู่ด้วยกันและมีลูก ๒ คน .. สิ่งนึงที่ต้องยอมรับคือ สามีเป็นคนขยัน ไม่เที่ยว แต่เค้าก็ไม่ได้โอกาสทางการงานที่ดีนัก ทำให้เค้าไม่สามารรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านได้ ซึ่งดิฉันก็ไม่เคยขอและไม่เคยดูถูก ซึ่งสำหรับที่บ้านดิฉัน เค้าก็ไม่ได้สุงสิงกัน เรียกได้ว่าไม่ได้รักลูกเขยคนนี้ก็ว่าได้ ซึ่งมันก็เป็นความหนักอึ้งของดิฉันที่ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคน คือ สามี และที่บ้าน

จนมาวันนึง จากความเหนื่อยที่ทำงานและเลี้ยงลูก กอปรกับรับผิดชอบทุกอย่างเป็นหลัก ทำให้เกิดความน้อยใจสะสมและไม่พูดคุยกับสามีไปเดือนนึง ซึ่งไม่รู้เลยว่าเดือนนึงที่เงียบไปนั้น สามีแอบไปติดสาวพริตตี้จนมีอะไรกัน และดิฉันเพิ่งได้ทราบความจริงว่า เค้าสองคนประกาศกับคนอื่นแล้วว่าเค้ารักกัน จะแต่งงานกัน เค้าพาผู้หญิงเข้าบ้าน และทางสามีเก่าก็ไปบ้านผู้หญิงแล้ว (แต่ไม่ได้บอกพ่อแม่เค้าว่าตัวเองมีครอบครัวแล้ว) มีการซื้อแหวนให้กันและกันแล้ว

สิ่งต่างๆที่รับรู้วันนี้ ทำให้ดิฉันรู้สึกอายตัวเอง ที่กลายเป็นคนโง่มาตลอดกว่าปี ดิฉันไม่สามารถหยุดคิดได้ว่าตัวเองเป็นคนโง่ เราสู้อุตส่าห์อดทนมากว่า ๒๐ ปีและบอกกับตัวเองว่าซักวันต้องดีขึ้น แต่ทำมัย สุดท้าย เค้ามาทิ้งกันอย่างนี้และเห็นเด็กสาวดีกว่าในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่ถึงเดือน

ดิฉันอยากมีวิธีคิดที่จะทำให้มองผ่านทุกคนไป ไม่อายที่จะต้องกลายเป็นหม้ายเลี้ยงลูกคนเดียวคะ

กราบขอคำแนะนำเจ้าคะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คุณไม่ได้ทำความผิดอะไร จึงไม่ควรรู้สึกอาย คนที่ควรอายมากกว่าคืออดีตสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณ และไม่เห็นทั้งบุญคุณและคุณค่าของคุณ การที่คุณไม่ได้คุยกับเขาหนึ่งเดือนนั้น ไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ผลักให้เขาไปหาสาวพริตตี้ดอก นั่นเป็นอย่างมากก็ปัจจัยรอง ปัจจัยหลักอยู่ที่ความอ่อนแอและความไม่ละอายต่อบาปในตัวเขาที่ทำให้เขานอกใจคุณ

หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้คุณรู้สึกอาย สิ่งนั้นก็คือ "อัตตา" หรือ "มานะ" อันเป็นกิเลสอย่างหนึ่งซึ่งเรียกร้องการ ยกย่องหรือการให้ความสำคัญ การที่เขาทิ้งคุณไปหาผู้หญิงอื่น ทำให้คุณรู้สึกเสียหน้า เพราะแสดงว่าคุณไม่มีความสำคัญสำหรับเขา หรือไม่สามารถผูกใจเขาได้ รวมทั้งทำให้คุณรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาหรือหัวข้อนินทาของคนรอบตัว

แต่การกระทำเช่นนั้นจะไม่มีความหมายต่อตัวคุณเลย หากคุณไม่เอาคุณค่าของตัวคุณไปผูกติดไว้ที่ตัวเขาหรือคนอื่น ๆ รอบตัว หากคุณเห็นคุณค่าของตัวคุณเอง คุณจะแคร์ความรู้สึกของเขาและสายตาของคนอื่นน้อยลง ใครจะรู้สึกหรือปฏิบัติต่อคุณอย่างไร ก็ไม่ทำให้คุณสูญเสียความนับถือในตัวเอง หรือรู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่า และดังนั้นจึงไม่ทำให้คุณ รู้สึกย่ำแย่หรืออับอายแต่อย่างใด

พุทธศาสนา ถือว่า "อัตตา" หรือ "มานะ" เป็นกิเลสที่ต้องจัดการ หาไม่แล้วมันจะก่อความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ปุถุชนนั้นย่อมต้องมีอัตตา แต่ก็ควรควบคุมมันให้ดี อย่าปล่อยให้มันอาละวาดหรือก่อกวนคุณมากเกินไป ตอนนี้อัตตามันกำลังรังควานคุณเพราะมันไม่ได้รับสิ่งที่มันต้องการ คือ การเป็นคนสำคัญในสายตาของอดีตสามีคุณ หรือการชื่นชมจากคนรอบตัว

คุณควรตระหนักว่าสิ่งที่กำลังทุกข์ตอนนี้คือกิเลสต่างหาก ไม่ใช่ตัวคุณไม่ควรเอาความทุกข์ของกิเลสมาเป็นของคุณ คุณเพียงแต่เฝ้าดูมันโวยวาย ตีโพยตีพายไป ไม่ต้องไปร่วมวงกับมัน ไม่นานมันก็จะคลายพิษสงและสงบลง

ขอให้คุณตั้งมั่นในความดี และมองไปข้างหน้า อย่ามัวหมกมุ่นครุ่นคิดติดกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว เวลาและชีวิตที่เหลือของคุณนั้นมีคุณค่าเกินกว่าที่จะเสียไปกับเรื่องของใครบางคนที่ไม่ควรค่าแก่การนึกถึง ยังไม่สายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นอิสระ

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
ถึงวันที่แม้พ่อแม่จะไม่ค่อยยอมรับในตัวสามี แต่ก็คงห้ามไม่ได้แล้ว เราจึงแต่งงานกัน จนวันนี้เกือบสิบปีที่เราอยู่ด้วยกันและมีลูก ๒ คน .. สิ่งนึงที่ต้องยอมรับคือ สามีเป็นคนขยัน ไม่เที่ยว แต่เค้าก็ไม่ได้โอกาสทางการงานที่ดีนัก ทำให้เค้าไม่สามารรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านได้ ซึ่งดิฉันก็ไม่เคยขอและไม่เคยดูถูก ซึ่งสำหรับที่บ้านดิฉัน เค้าก็ไม่ได้สุงสิงกัน เรียกได้ว่าไม่ได้รักลูกเขยคนนี้ก็ว่าได้ ซึ่งมันก็เป็นความหนักอึ้งของดิฉันที่ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคน คือ สามี และที่บ้าน จนมาวันนึง จากความเหนื่อยที่ทำงานและเลี้ยงลูก กอปรกับรับผิดชอบทุกอย่างเป็นหลัก ทำให้เกิดความน้อยใจสะสมและไม่พูดคุยกับสามีไปเดือนนึง ซึ่งไม่รู้เลยว่าเดือนนึงที่เงียบไปนั้น สามีแอบไปติดสาวพริตตี้จนมีอะไรกัน และดิฉันเพิ่งได้ทราบความจริงว่า เค้าสองคนประกาศกับคนอื่นแล้วว่าเค้ารักกัน จะแต่งงานกัน เค้าพาผู้หญิงเข้าบ้าน และทางสามีเก่าก็ไปบ้านผู้หญิงแล้ว (แต่ไม่ได้บอกพ่อแม่เค้าว่าตัวเองมีครอบครัวแล้ว) มีการซื้อแหวนให้กันและกันแล้ว สิ่งต่างๆที่รับรู้วันนี้ ทำให้ดิฉันรู้สึกอายตัวเอง ที่กลายเป็นคนโง่มาตลอดกว่าปี ดิฉันไม่สามารถหยุดคิดได้ว่าตัวเองเป็นคนโง่ เราสู้อุตส่าห์อดทนมากว่า ๒๐ ปีและบอกกับตัวเองว่าซักวันต้องดีขึ้น แต่ทำมัย สุดท้าย เค้ามาทิ้งกันอย่างนี้และเห็นเด็กสาวดีกว่าในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่ถึงเดือน ดิฉันอยากมีวิธีคิดที่จะทำให้มองผ่านทุกคนไป ไม่อายที่จะต้องกลายเป็นหม้ายเลี้ยงลูกคนเดียวคะ กราบขอคำแนะนำเจ้าคะ พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คุณไม่ได้ทำความผิดอะไร จึงไม่ควรรู้สึกอาย คนที่ควรอายมากกว่าคืออดีตสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณ และไม่เห็นทั้งบุญคุณและคุณค่าของคุณ การที่คุณไม่ได้คุยกับเขาหนึ่งเดือนนั้น ไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ผลักให้เขาไปหาสาวพริตตี้ดอก นั่นเป็นอย่างมากก็ปัจจัยรอง ปัจจัยหลักอยู่ที่ความอ่อนแอและความไม่ละอายต่อบาปในตัวเขาที่ทำให้เขานอกใจคุณ หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้คุณรู้สึกอาย สิ่งนั้นก็คือ "อัตตา" หรือ "มานะ" อันเป็นกิเลสอย่างหนึ่งซึ่งเรียกร้องการ ยกย่องหรือการให้ความสำคัญ การที่เขาทิ้งคุณไปหาผู้หญิงอื่น ทำให้คุณรู้สึกเสียหน้า เพราะแสดงว่าคุณไม่มีความสำคัญสำหรับเขา หรือไม่สามารถผูกใจเขาได้ รวมทั้งทำให้คุณรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาหรือหัวข้อนินทาของคนรอบตัว แต่การกระทำเช่นนั้นจะไม่มีความหมายต่อตัวคุณเลย หากคุณไม่เอาคุณค่าของตัวคุณไปผูกติดไว้ที่ตัวเขาหรือคนอื่น ๆ รอบตัว หากคุณเห็นคุณค่าของตัวคุณเอง คุณจะแคร์ความรู้สึกของเขาและสายตาของคนอื่นน้อยลง ใครจะรู้สึกหรือปฏิบัติต่อคุณอย่างไร ก็ไม่ทำให้คุณสูญเสียความนับถือในตัวเอง หรือรู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่า และดังนั้นจึงไม่ทำให้คุณ รู้สึกย่ำแย่หรืออับอายแต่อย่างใด พุทธศาสนา ถือว่า "อัตตา" หรือ "มานะ" เป็นกิเลสที่ต้องจัดการ หาไม่แล้วมันจะก่อความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ปุถุชนนั้นย่อมต้องมีอัตตา แต่ก็ควรควบคุมมันให้ดี อย่าปล่อยให้มันอาละวาดหรือก่อกวนคุณมากเกินไป ตอนนี้อัตตามันกำลังรังควานคุณเพราะมันไม่ได้รับสิ่งที่มันต้องการ คือ การเป็นคนสำคัญในสายตาของอดีตสามีคุณ หรือการชื่นชมจากคนรอบตัว คุณควรตระหนักว่าสิ่งที่กำลังทุกข์ตอนนี้คือกิเลสต่างหาก ไม่ใช่ตัวคุณไม่ควรเอาความทุกข์ของกิเลสมาเป็นของคุณ คุณเพียงแต่เฝ้าดูมันโวยวาย ตีโพยตีพายไป ไม่ต้องไปร่วมวงกับมัน ไม่นานมันก็จะคลายพิษสงและสงบลง ขอให้คุณตั้งมั่นในความดี และมองไปข้างหน้า อย่ามัวหมกมุ่นครุ่นคิดติดกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว เวลาและชีวิตที่เหลือของคุณนั้นมีคุณค่าเกินกว่าที่จะเสียไปกับเรื่องของใครบางคนที่ไม่ควรค่าแก่การนึกถึง ยังไม่สายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นอิสระ พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น