++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เสน่ห์คุณค่าป่าสักทอง ณ แก่งเสือเต้น

โดย ประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี 7 ตุลาคม 2552 16:13 น.


โดย.......ประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี (thaipoor@gmail.com)

อุทยานแห่งชาติแม่ยม ที่โลกลืม

ณ อุทยานแห่งชาติแม่ยม อ.สอง จ.แพร่
มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ดงสักงาม
ป่าสักทองธรรมชาติผืนใหญ่กว่า 20,000 ไร่ ที่ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างหนาแน่น
มีความอุดมสมบูรณ์ของแมกไม้นานาพรรณ
ไม่น่าเชื่อว่าป่าสักทองผืนนี้จะผ่านการสัมปทานมาแล้วถึงสองยุคสองสมัย
โดยในช่วงแรกยุคบริษัทฝรั่งอย่างอีสต์เอเชียติ๊ก
เข้ามาสัมปทานไม้ประมาณปี 2480 ส่งไม้ไปยังอังกฤษ
ไม้ขนาดใหญ่สองสามคนโอบซึ่งมีอายุหลายร้อยปี จึงถูกส่งออกไปต่างประเทศ
เพื่อทำพระราชวัง เรือยอชต์ ฯลฯ

ยุคสมัยที่สอง บริษัทของคนไทยอย่าง บริษัท ชาติไพบูลย์
ได้รับสัมปทานประมาณช่วงปี 2500 และในปี 2529 พื้นที่กว่า 284,218.75 ไร่
หรือประมาณ 454.75 ตารางกิโลเมตร ได้ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติแม่ยม
ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือ แพร่ น่าน ลำปาง และพะเยา
ต่อมามีการประกาศปิดป่าและยุติการให้สัมปทานป่าในปี 2532 เป็นต้นมา
ทำให้ป่าสักทองผืนนี้ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง

ป่าไทย ป่าเขตร้อนชื้นของโลก

ประเทศไทย เคยมีพื้นที่ป่าไม้กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่
แต่ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 26 เปอร์เซ็นต์
และยังมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกถึงแม้จะไม่มีการเปิดให้สัมปทานไม้แล้วก็ตาม
ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศผิดเพี้ยนไปไม่ตรงตามธรรมชาติ เกิดน้ำท่วม น้ำแล้ง
สืบเนื่องมา ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น
การลดลงของป่าไม้ในเขตร้อนชื้นตามแนวเส้นสูงสูตร
ส่งผลให้ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงไป ในนามที่ทุกคนทราบกันดีคือ
ภาวะโลกร้อนนั่นเอง

ป่าสักทองกับการลดภาวะโลกร้อน

ขณะที่ผู้คนทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงผลกระทบที่ตามมากับภาวะโลกร้อน
ที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
เกิดพายุเฮอริเคนในอเมริการุนแรงและถี่ขึ้น
เกิดพายุไต้ฝุ่นรุนแรงและถี่ขึ้นในเอเชีย น้ำท่วม
ภัยพิบัติเกิดและรุนแรงมากขึ้น เกิดความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ทั่วโลก
ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของมวลมนุษยชาติไม่เพียงเท่านั้น
โรคภัยไข้เจ็บที่อุบัติขึ้นมาใหม่ๆ จากภาวะภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ได้คร่าชีวิตมวลมนุษย์อย่างน่าวิตก
และยังมีแนวโน้มที่อันตรายมากขึ้นทุกวัน
ป่าไม้ซึ่งทำหน้าที่ดูดซับคาร์บอนเยียวยาภาวะโลกร้อนได้เป็นอย่างดี

ดงสักงาม ป่าสักทอง แก่งเสือเต้น

ดงสักงาม ป่าสักทอง แก่งเสือเต้น
ไม่เพียงแต่เป็นป่าสักทองธรรมชาติที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย
เท่านั้น ป่าสักทอง แก่งเสือเต้น
ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดแพร่
สร้างความชุ่มชื้นให้กับผืนดิน โอบอุ้มน้ำเมื่อหน้าฝน
และปล่อยน้ำหล่อเลี้ยงผู้คนในฤดูแล้ง
ทำให้แม่น้ำยมมีชีวิตที่ยืนยาวมาจนปัจจุบัน อีกทั้งป่าสักทองกว่า 20,000
ไร่ รวมทั้งป่าเบญจพรรณของอุทยานแห่งชาติแม่ยม 284,218.75 ไร่
ยังได้ทำหน้าที่ในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งเป็นการเยียวยาภาวะโลกร้อนได้โดยไม่มีใครเห็นความสำคัญ
แต่กลับมีคนจ้องที่จะทำลายมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัยในนามการพัฒนาโครงการ
เขื่อนแก่งเสือเต้น

ปัจจุบันสภาพป่าสักทอง แก่งเสือเต้น
ที่ฟื้นคืนสภาพความอุดมสมบูรณ์ให้กับมวลมนุษย์ ทั้งพันธุ์พืช สมุนไพร
ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ พืชพรรณไม้นานาชนิด รวมทั้งสัตว์ป่าใหญ่น้อย
จากการสำรวจของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ยม พบว่า
มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 37 ชนิด นก 135 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 28 ชนิด
ในจำนวนนี้มีสัตว์ที่มีสภาพน่าเป็นห่วง 4 ชนิด คือ หมาจิ้งจอก
กระรอกบินเล็กแก้มขาว แมวป่า และนกยูง
และยังมีสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ตามสมุดปกแดงของ IUCN คือเลียงผา

ภัยคุกคาม ป่าสักทอง แก่งเสือเต้น

การสัมปทานป่าไม้ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อป่าไม้ไทย
จนเหลือพื้นที่ป่าไม่ถึง 26 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ
ป่าสักทองธรรมชาติแก่งเสือเต้นก็หลีกไม่พ้นเช่นกัน
หากแต่กาลเวลาได้ฟื้นฟูสภาพป่าสักทองให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์
เป็นป่าสักทองธรรมชาติที่มีสภาพสมบูรณ์แห่งหนึ่งในไม่กี่แห่งที่เหลืออยู่
ของประเทศไทย แต่ยังมีโครงการพัฒนาของรัฐในนามโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น
ที่เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ สันเขื่อนสูงถึง 69 เมตรจากท้องน้ำ
ระดับเก็บกักปกติที่ 258 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ความจุประมาณ
1,175 ล้านลูกบาศก์เมตร
ซึ่งหากมีการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นนี้จะส่งผลกระทบต่อป่าสักทองธรรมชาติ
นับหมื่นไร่

การคุกคามป่าสักทองยุคหลังเริ่มจากการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ
ไทย (กฟผ.) ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น
โดยคาดว่าจะมีการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังน้ำ 48 เมกะวัตต์
แต่เมื่อผลสรุปออกมาว่าเป็นโครงการที่ไม่คุ้มทุน ในปี 2528 กฟผ.
จึงโอนเขื่อนแก่งเสือเต้นให้กับกรมชลประทาน
เพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการชลประทาน

การคุกคามป่าสักทอง ในนามการพัฒนา

ยุคหลังช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา
ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นประเทศพัฒนาเป็นเสือตัวที่ห้า
การลงทุนด้านอุตสาหกรรมเกิดขึ้นอย่างมากมาย
การพัฒนาระบบชลประทานเพื่อการเกษตรเกิดขึ้นอย่างเต็มกำลัง
เขื่อนขนาดใหญ่ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาถูกสร้างขึ้นอย่างต่อ
เนื่อง ทุกลำน้ำถูกปิดกั้นโดยเขื่อนขนาดใหญ่
เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและเพื่อการชลประทาน
หากแต่ผลพวงที่ตามมาคือการเสียพื้นที่ป่า เกิดภาวะน้ำแล้ง
น้ำท่วมมากขึ้นทุกปี ขณะที่พลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนไม่ถึง 8
เปอร์เซ็นต์ของกำลังไฟฟ้าทั้งประเทศ จนต้องร้องเรียกหาพลังงานนิวเคลียร์
การพัฒนาจึงนำพามาทั้งความเจริญ ความสะดวกสบาย
และความล่มสลายของป่าไม้ไทย
รวมทั้งชุมชนคนในพื้นที่ที่ต้องสังเวยความล่มสลายของครอบครัวและชุมชนเพื่อ
การพัฒนาป่าสักทองแก่งเสือเต้น และชุมชนสะเอียบ ก็หลีกหนีไม่พ้นเช่นกัน
กรมชลประทานเดินหน้าผลักดันโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น
ท่ามกลางการคัดค้านของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นิสิต นักศึกษา นักวิชาการ
ศิลปิน นักพัฒนาเอกชน รวมทั้งเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน ในนาม สมัชชาคนจน
จนทำให้คณะรัฐมนตรียุคพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มีมติในวันที่ 29 เมษายน 2540
ให้ชะลอโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นไว้ก่อน

บทสรุปต้องยุติการคุกคาม สร้างความยั่งยืนให้กับป่าสักทองธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม และชุมชน

รัฐธรรมนูญปี 2540 และ ปี 2550 รับรองสิทธิชุมชน
และรับรองสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ของชุมชนในพื้นที่ไว้อย่างชัดเจน ในขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลสะเอียบ
ก็มีความเข้มแข็ง เป็นชุมชนตัวอย่างในการปกป้อง พิทักษ์
รักษาป่าสักทองธรรมชาติ ไว้ให้ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน
ยังจะมีเหตุผลอันใดอีกเล่าที่จะอ้างการพัฒนาเพื่อทำลายป่าสักทองธรรมชาติผืน
นี้ไปได้อีก ประกอบกับการศึกษาวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ได้ข้อสรุปว่า โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น
เป็นโครงการลงทุนที่ขาดความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจไม่คุ้มทุน
จึงเป็นโครงการที่ไม่สมควรได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดิน

นอกจากนี้ ธนาคารโลก (World Bank)
ได้ประกาศยุติการให้เงินกู้เพื่อสนับสนุนการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นนี้อีกด้วย
ประกอบ กับกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ได้ทำการศึกษาการจัดการลุ่มน้ำยมทั้งระบบ ทำให้เห็นว่ามีทางเลือกอื่นๆ
ในการจัดการลุ่มน้ำยมอีกมากมาย เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง
น้ำท่วมในลุ่มน้ำยม อาทิ การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ การทำแก้มลิง
การทำทางเบี่ยงน้ำ การขุดลอก คู คลอง แม่น้ำ
การจัดทำสะพานระบายน้ำตามแนวถนนที่ปิดกั้นทางน้ำ
การวางแผนระบบการเกษตรที่สอดคลองกับน้ำต้นทุน
การสร้างสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ

ทางเลือก ทางออก ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง
การจัดการลุ่มน้ำยม มีการศึกษาไว้หมดแล้ว เพียงแต่ไม่ได้นำมาลงมือปฏิบัติ
เพราะการแก้ไขปัญหาแบบนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณมากเหมือนเขื่อนแก่งเสือเต้น
ซึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 12,000 ล้านบาท
ซึ่งต้องวางรากฐานป้องกันแผ่นดินไหว
เพราะจุดหัวงานสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นนั้น
เป็นแนวรอยเลื่อนแผ่นดินไหวที่ยังมีพลังอยู่ เก็บป่าสักทองไว้ให้ลูกหลาน
และมวนมนุษยชาติเถิด ดีกว่าสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเพื่อทำลายป่า
ทำลายชุมชน และยังต้องหวาดผวากับภัยร้ายเขื่อนแตกอีกด้วย

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000118584

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น