++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พธม. - ความหวังครั้งสุดท้าย

โดย ไสว บุญมา 15 ตุลาคม 2552 16:04 น.
โดย...ไสว บุญมา

เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา
ผมเรียนว่าเราต้องเสริมสร้างทุนทางสังคมให้แข็งแกร่งเราจึงจะพัฒนาให้ก้าว
หน้าต่อไปได้ ต่อมาผมเรียนว่า
การเสริมสร้างทุนทางสังคมนั้นนับวันจะยิ่งยากเนื่องจากการแย่งชิงทรัพยากรจะ
เข้มข้นจนผลักดันให้ผู้คนลดมาตรฐานทางจรรยาบรรณและฉ้อโกงกันมากขึ้น
ผมเสนอให้ผู้อ่านอาสาออกมาช่วยกันทำอะไรต่อมิอะไรโดยไม่ได้เรียนว่า
ความหวังครั้งสุดท้ายอยู่ที่การเคลื่อนไหวของภาคประชาชน
วันนี้จะเรียนว่าเพราะอะไรผมจึงคิดเช่นนั้น

ณ วันนี้คงไม่เป็นที่กังขาอีกต่อไปแล้วว่า
สังคมไทยไม่เคยพร้อมที่จะใช้ระบอบประชาธิปไตยบริหารประเทศ จากปี 2475
การบริหารตามแนวนั้นจึงล้มลุกคลุกคลานตลอดมา
ปัญหาเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนต้นเพราะคณะราษฎร์บางคนไม่สนใจที่จะใช้ระบอบ
ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จากวันนั้น
ชนชั้นผู้นำที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศส่วนใหญ่ก็ใช่จะมีศรัทธาอย่างทั่วถึง
เราจึงมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหาร พ่อค้า นักการเมือง
นักเลือกตั้งและผู้ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพียงชั่ว
คราว พวกเขามักเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องตามรัฐธรรมนูญที่
เขียนขึ้นมาเพื่อทำให้การแสวงหานั้นสะดวกขึ้น

หลังจากขว้างรัฐธรรมนูญทิ้งไปนับสิบครั้ง เราได้รัฐธรรมนูญปี 2540
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าวางอยู่บนฐานของอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากที่สุด
กระนั้นก็ตาม ความทรามของนักการเมืองและนักเลือกตั้งก็ยังทำให้มันถูกขว้างทิ้งจนได้

เราทราบดีว่าระบอบประชาธิปไตยที่เราลอกผู้อื่นมานั้นแยกการบริหารออก
เป็นสามฝ่าย ได้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ
ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 สมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้ง
คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าผู้ที่ได้รับเลือกเข้ามามักเป็นนักเลือกตั้งที่
หวังเข้ามาเพื่อแสวงหาและรักษาประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
ร้ายยิ่งกว่านั้น
บางคนแสดงสันดานของความเป็นอันธพาลออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด
โดยทั่วไปฝ่ายนี้จึงมีคุณภาพต่ำมาก

เนื่องจากฝ่ายบริหารมาจากการคัดเลือกผู้ที่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ
คุณภาพของฝ่ายบริหารโดยทั่วไปจึงไม่ต่างจากฝ่ายนิติบัญญัติมากนัก
เรื่องนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดอยู่แล้ว

ฝ่ายตุลาการมาจากการคัดสรร ฉะนั้น
ฝ่ายนี้จึงไม่มีลักษณะของอีกสองฝ่ายยกเว้นในบางกรณีโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยว
กับกระบวนการเบื้องต้นอันได้แก่ตอนที่คดียังอยู่ในมือตำรวจและอัยการ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันฝ่ายตุลาการยังพอค้ำชูสังคมไทยให้อยู่กับร่องกับรอยได้
เราโชคดีที่ความพยายามของอดีตฝ่ายบริหารทรามๆ
และเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ถูกแต่งตั้งเข้ามาในตำแหน่งต่างๆ
รวมทั้งปลัดกระทรวงยุติธรรมไม่สามารถทำลายกระบวนการนี้ได้
มิฉะนั้นเมืองไทยก็คงเป็นรัฐล่มสลายสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับโซมาเลียและเฮติ
ไปแล้ว

การบริหารประเทศต้องยึดหลักเศรษฐกิจอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นฐานเช่น
เดียวกับที่ทางการเมืองยึดหลักประชาธิปไตย
เมืองไทยเรายึดหลักตลาดเสรีแบบผสมผสานมานานแล้ว นั่นคือ
รัฐเข้าไปมีบทบาทในตลาดโดยตรงบ้างในบางกรณี เช่น
มีรัฐวิสาหกิจและควบคุมราคาสินค้าบางชนิดเมื่อจำเป็น
แต่ส่วนใหญ่รัฐปล่อยให้ภาคเอกชนมีอิสระที่จะดำเนินงาน

เท่าที่ผ่านมาปัญหาใหญ่ของการใช้ระบบตลาดเสรีมีที่มาจากทั้งภาครัฐ
และภาคเอกชน ผู้อยู่ในภาครัฐที่มีอำนาจสูงสุดคือรัฐบาลซึ่งมีปัญหาสารพัดดังที่อ้างถึง
คนพวกนี้จึงไม่มีความเป็นกลางที่จะเอื้อให้ภาคเอกชนทำงานได้ตามหลักการของ
ตลาดเสรี ร้ายยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเข้าไปมีกิจการเสียเอง
หรือไม่ก็ให้ความสะดวกแก่พวกพ้องของตนเป็นพิเศษ
ส่วนเอกชนที่มีกิจการต่างๆ
ก็มักหาทางเอาใจพวกที่อยู่ในภาครัฐเพื่อหวังจะได้โอกาสพิเศษ
ภาคเอกชนจึงถูกบิดเบือนไปจนไม่มีลักษณะของภาคเอกชนในตลาดเสรีที่แท้จริง

ดังที่ผมเรียนไว้
ปัจจัยพื้นฐานกดดันให้ผู้คนลดมาตรฐานทางจรรยาบรรณและฉ้อโกงกันมากขึ้น
เมืองไทยจึงมิใช่ประเทศเดียวที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีปัญหาหนักหนาสาหัส
คนไทยจำนวนมากทราบดีว่า
ทางแก้ได้แก่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภาคประชาสังคม
ภาคนี้มีส่วนประกอบหลากหลายจากการเคลื่อนไหวของบุคคลเพียงคนเดียวไปถึงของ
กลุ่มใหญ่ในรูปต่างๆ เช่น
องค์กรเอกชนและการรวมตัวกันของคนจำนวนมากเป็นครั้งคราวเพื่อประท้วงรัฐบาล
ภายในภาคธุรกิจเองก็มีการเคลื่อนไหวเพื่อเอื้อให้ภาคประชาสังคมเข้มแข็งขึ้น
เช่น การทำกิจกรรมในกรอบแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทห้างร้าน

ความเคลื่อนไหววิวัฒน์ไปค่อนข้างเชื่องช้าเพราะคนทรามพยายามใช้วิชา
มารแทรกแซงและบิดเบือนโดยออกมาเคลื่อนไหวด้วยตัวเองบ้าง
จ้างคนอื่นเคลื่อนไหวแทนบ้าง สร้างภาพด้วยการโกหกพกลมบ้าง
และกล่าวร้ายผู้ที่เคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมโดยแท้จริงบ้าง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมา
การเคลื่อนไหวที่ผมเห็นว่าตรงกับความต้องการของสังคมอย่างแท้จริงได้แก่ของ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)
การพูดเช่นนี้มิใช่เพื่อยกย่องพวกพ้องกันเอง
หากผมได้ติดตามและศึกษาการเคลื่อนไหวจนแน่ใจว่ามาจากพลังบริสุทธิ์จริง

ผมมองว่าความเคลื่อนไหวในแนวของ พธม.
เป็นความหวังครั้งสุดท้ายที่จะป้องกันมิให้เมืองไทยเดินเข้าสู่ทางแห่งความ
ล่มสลายซึ่งปราชญ์และโหรบางคนทำนายว่าจะเริ่มในปี 2555
ผู้ทำนายได้แก่ชาวมายา นอสตราดามุส เออร์วิน ลาสซโลและหลวงปู่ฐิติลาโภ
ภิกขุ (เออร์วิน ลาสซโล
ทำนายไว้ในรูปของทางสองแพร่งโดยทางหนึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนและทางหนึ่งจะ
นำไปสู่ความล่มสลาย ดังมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือชื่อ The Chaos Point
ซึ่งมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยในเว็บไซต์ (www.sawaiboonma.com)

เนื่องจากมันเป็นความหวังครั้งสุดท้าย ความเคลื่อนไหวในแนวของ
พธม. จะต้องขยายทั้งเครือข่ายและเนื้องานให้กว้างขวางและครอบคลุมยิ่งขึ้น
เรื่องนี้ย่อมเป็นที่ตระหนักของแกนนำ พธม. อยู่แล้ว ผมมองว่าผู้อ่าน
"ผู้จัดการ" ส่วนใหญ่ก็เข้าใจเป็นอย่างดีและมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวด้วย
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความเคลื่อนไหวจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีโอกาสหมดพลัง
ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายทางด้วยกัน ผมมองเห็น 3 ประเด็นทันที

ประเด็นแรก
พวกที่มีความเลวทรามเป็นสันดานและพวกมารทางเมืองจะพยายามล่อใจพันธมิตรฯ
โดยเฉพาะผู้ที่จะเข้าไปอยู่ในรัฐสภาและรัฐบาลให้ละทิ้งอุดมการณ์ของตน
เนื่องจากพันธมิตรฯ ยังเป็นปุถุชน การล่อใจอาจได้ผลตามที่พวกคนทรามหวัง

ประเด็นที่สอง
ความเคลื่อนไหวนี้จะมีความยืดเยื้อเป็นเวลานานเนื่องจากพวกมารที่ฝังตัวอยู่
ทั่วทุกหัวระแหงจะพยายามหักล้างอย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้นความอ่อนล้าจะคืบคลานเข้ามาเมื่อไรก็ได้
ความอ่อนล้าในที่นี้ไม่จำกัดอยู่ที่ทางร่างกายเพียงอย่างเดียว
หากครอบคลุมไปถึงกำลังใจและกำลังทรัพย์ด้วย

ประเด็นที่สาม ไม่มีใครอยู่ได้ค้ำฟ้า
เราเห็นแล้วว่ามีคนมุ่งร้ายต่อผู้เคลื่อนไหวในแนวพันธมิตรฯ
โดยเฉพาะแกนนำและเราหลีกเลี่ยงสัจธรรมไม่ได้ อุดมการณ์ของแกนนำรุ่นต่อๆ
ไปอาจไม่เข้มข้นเท่าของคนรุ่นปัจจุบัน ฉะนั้น
การจะคงไว้ซึ่งศรัทธาจะยากยิ่งขึ้น

ผู้ อ่านคงมองเห็นประเด็นอื่นๆ อีก
หวังว่าท่านจะออกมาชี้แนะและช่วยกันทำให้ความหวังครั้งสุดท้ายนี้มีผลในทาง
ป้องกันมิให้สังคมไทยเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลาย
แต่จะผลักดันให้เดินเข้าสู่ทางแห่งความยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น