ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
โดย ทั่วไป ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ส่วนรวม
เวลาจะทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเอง มักจะมีความรู้สึกเขินอาย
แต่นั่นเป็นข้อยกเว้นสำหรับนักการเมืองไทยจำนวนมาก
ขณะ นี้ ดูเหมือนนักการเมืองในสภาจะผนึกกำลังกันเฉพาะกิจ
ดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองและพรรคการเมือง
โดยไม่ปรากฏซึ่งความรู้สึกเขินอายแต่อย่างใดเลย
1) รัฐธรรมนูญ 2550 ได้ผ่านประชามติ ด้วยความเห็นชอบของประชาชน
จำนวน 14.7 ล้านคน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ผ่านมาเพียง 2 ปี
ยังไม่ปรากฏว่า ประชาชนหรือประเทศชาติส่วนรวมจะได้รับผลกระทบหรือความเสียหายใดๆ
จากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
คงมีแต่นักการเมืองทุจริต และพรรคการเมืองทุจริต จำนวนหนึ่ง
ที่ต้องถูกลงโทษไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ตรงกันข้าม
ประชาชนยังไม่ได้ผลประโยชน์ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่
ก็เพราะความที่นักการเมืองนั้นเอง
ยังมิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วน
แทน ที่จะเอาใจใส่เร่งออกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
และจัดตั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามเงื่อนเวลาที่ปรากฎของรัฐธรรมนูญ
เช่น จัดตั้งองค์การอิสระคุ้มครองผู้บริโภค
องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย
การสร้างประมวลจริยธรรมของนักการเมือง เป็นต้น แต่บรรดา ส.ส. ส.ว.
กลับสนใจแต่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตน
และประโยชน์แก่พรรคการเมืองของตน
รัฐธรรมนูญ 2550 ได้ผ่านการทำประชามติเพียง 2 ปี ซึ่งบรรดา
ส.ส.และส.ว. ขณะนี้ล้วนเข้าสู่ตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพียง 1
ปีเศษก็มุ่งจะแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่เคารพมติของประชาชน
เสมือนนักกีฬาที่ไม่ยอมรับผลการแข่งขัน แต่ขอทำประชามติใหม่
อาจถูกมองได้ว่าบรรดานักการเมืองเหล่านี้
ไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองให้เป็นไปตามกฎหมาย
แต่มุ่งแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของตนเอง
นักการ เมืองเหล่านี้มีพฤติกรรมไม่ต่างจากผู้รับเหมาก่อสร้าง
ที่เข้ารับงานตามแบบก่อสร้างและเงื่อนไขของการทำงาน
แต่เมื่อชนะการประกวดเข้าทำงานโดยที่งานยังไม่เสร็จสิ้น
ก็ขอแก้แบบก่อสร้างและเงื่อนไขเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
โดยประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น ได้แก่
(1) มาตรา 237
การยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคที่ทุจริตเลือกตั้ง
(2) มาตรา 93-98 ที่มาของส.ส.
(3) มาตรา 111-121 ที่มาของส.ว.
(4) มาตรา 190
การทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
(5) มาตรา 265 การดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ ส.ส.
และ (6) มาตรา 266 การแทรกแซงข้าราชการประจำ
ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับวิธีการเข้าสู่อำนาจ กรอบแห่งอำนาจ
และการตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมืองทั้งสิ้น
2) การแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็นดังกล่าว
มิได้ช่วยแก้ไขความขัดแย้งของสังคม และไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ได้
แต่เป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการเลือกตั้งใหม่
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกตั้ง ส.ส.
เป็นเพียงการเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งของนักการเมืองกันเอง
จากเขตใหญ่เป็นเขตเล็ก ตอบสนองความต้องการของนายทุนพรรคการเมือง
ทำให้ประชาชนเลือกผู้แทนในเขตของตนได้จำนวนน้อยลง
แต่ยิ่งจะทำให้ปัญหาการซื้อเสียงรุนแรงขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร
ก็หนีไม่พ้นการเจรจาตกลงกันเพื่อประโยชน์ในการเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง
ย่อมเป็นการแก้ไขเพื่อนักเลือกตั้งอย่างชัดเจน
การยกเลิกมาตรา 237 วรรคสอง จะยิ่งทำให้การซื้อเสียงรุนแรงขึ้น
โดยที่พรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคไม่มีความยำเกรง
หรือจะต้องสอดส่องดูแลแก้ไข เพราะไม่มีบทลงโทษเด็ดขาด อีกทั้ง
จะทำให้จำกัดบุคคลผู้ได้รับโทษและอาจส่งผลให้นักการเมืองผู้ได้กระทำความผิด
และได้รับโทษอยู่พ้นโทษไป
การเปลี่ยนแปลงวิธีการได้มาซึ่ง ส.ว.
หากกลับไปใช้วิธีเลือกตั้งตามเดิม โดยไม่มีข้อห้ามในเรื่องการเป็นบุพการี
คู่สมรส บุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือ ส.ส.
และห้ามเป็นสมาชิกพรรคหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรค หรือเป็นหรือเคยเป็น
ส.ส.แล้วพ้นจากตำแหน่งมา 5 ปี จะทำให้วุฒิสภากลับไปมีสภาพเป็นสภาทาส
สภาหมอนข้าง หรือสภาผัวเมียเหมือนเดิม
การยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 265-266
จะเปิดโอกาสให้มีการทุจริตเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน
เพราะคู่สมรสและบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถเป็นหุ้นส่วนหรือถือ
ครองหุ้นบริษัทธุรกิจต่อไปได้
อาจนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตัว
เปิดช่องให้นักการเมืองเข้าไปดำรงตำแหน่งหรือแทรกแซงสั่งการหน่วยงานของรัฐ
เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
นอกจากนี้ การแก้ไขมาตรา 190
ที่บัญญัติให้การทำสนธิสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ของประเทศอย่างรุนแรงจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
อย่างกว้างขวาง และต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ
ยังมีข้อถกเถียงว่ามีเหตุผลจำเป็นเพียงพอที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
เพราะบทบัญญัติดังกล่าว มิได้บังคับว่าทุกเรื่องจะต้องขออนุมัติจากรัฐสภา
แต่ให้มีการออกกฎหมายลูก เพื่อกำหนด จำแนก แยกแยะ
ให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ
ซึ่งรัฐบาลและรัฐสภาสามารถจะร่วมกันดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญ
3) ส.ส. และ ส.ว. ที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ต่างมีผลประโยชน์ส่วนตนขัดแย้งกับผลประโยชน์ของส่วนรวม
เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่บัญญัติ "ให้
การกระทำของ ส.ส. ส.ว. ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
โดยปราศจากความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์"
ยังปรากฏด้วยว่า ในความพยายามแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้
มีบุคคลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง
ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง หรือผู้มีอิทธิพลอำนาจเหนือพรรคตัวจริง
ไม่สามารถอาสาทำงานการเมืองได้เป็นเวลา 5 ปี เช่น นาย บรรหาร ศิลปอาชา
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายพินิจ จารุสมบัติ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายเนวิน ชิดชอบ และนายไพโรจน์ สุวรรณฉวี เป็นต้น
คนเหล่านี้ได้เข้าประชุมตกลงเนื้อหาและวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2552
โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในที่ประชุม
ดัง นั้น บรรดา ส.ส. และ ส.ว. ที่ดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าว
ย่อมส่อแสดงว่า เป็นผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อาณัติ มอบหมาย หรือครอบงำ
อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่บัญญัติว่า
"สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย
โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ"
การ กระทำความผิดดังกล่าว
มีโทษร้ายแรงว่าจงใจกระทำการขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ละเว้น
หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีโทษขั้นถอดถอน และมีความผิดทางอาญา
4) การแก้รัฐธรรมนูญดังกล่าว
เป็นการกระทำที่ขาดความตระหนักถึงหัวจิตหัวใจและความเสียสละของประชาชนจำนวน
มาก ที่ได้ทุ่มเททั้งชีวิต ร่างกาย และอวัยวะเพื่อรักษารัฐธรรมนูญ
นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ผ่านเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551
ได้เกิดต้นทุนความสูญเสียกับประชาชนคนไทยอย่างมหาศาล
ที่ ผ่านมา
รัฐบาลมิได้ตั้งใจที่จะเยียวยาบาดแผลของประชาชนที่รักและห่วงแหนกติกาของ
บ้านเมือง มาบัดนี้
กลับจะร่วมมือกับนักการเมืองส่วนที่เคยมีเจตนาร่วมทำร้าย
จึงเป็นการยากที่จะเข้าใจว่า เหตุใดรัฐบาลปัจจุบัน
จึงได้เข้าร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้
การ กระทำเยี่ยงนี้
เสมือนหนึ่งจงใจกรีดบาดแผลซ้ำลงไปในหัวใจของประชาชนผู้รู้สึกสูญเสียใน
ระหว่างการต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญและการพิจารณาคดีของอำนาจตุลาการ
ใช่หรือไม่
ล่าสุด ประชาชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อแประชาธิปไตยได้แสดงฉันทามติร่วมกันแล้ว
ว่า หากนักการเมืองดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตนเองดังกล่าวเมื่อ
ใด จะมีการชุมนุมใหญ่เพื่อต่อต้านการกระทำดังกล่าวอย่างถึงที่สุด
5) การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 สามารถกระทำได้อย่างแน่นอน
แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน
มิใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองและพรรคการเมืองเยี่ยงนี้
อีกทั้ง การจะแก้ไขหรือไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญประการใดๆ
ก็ควรจะเป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญฉบับ
ประชามติ ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่
ได้ตามบทบัญญัติ มาตรา 244 (3) ให้ติดตาม ประเมินผล
และจัดทำข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
รวมตลอดถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น
ปรากฏว่า ชมรม สสร.50 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
พ.ศ.2550 ได้ติดตามตรวจสอบการใช้รัฐธรรมนูญ พิจารณาว่า
นับตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550
เป็นต้นมา ยังไม่ปรากฏว่าผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการประเมินการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
แต่นักการเมืองผู้มีส่วนได้เสีย กลับพยายามจะชิงแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียเอง
ล่าสุด ชมรม สสร.50 ได้ทำหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน
เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากละเว้น
หรือจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่
ก็จะดำเนินการเพื่อให้มีการถอดถอนและดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป
หยุดสุมไฟให้แผ่นดิน
ปัญหาของประเทศชาติในวันนี้ ไม่ได้เกิดจากรัฐธรรมนูญ 2550
แต่เป็นปัญหาเพราะนักการเมืองเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ของตัว ของพรรค
และของพวกพ้อง มากกว่าจะมุ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
ดัง จะเห็นได้ชัดว่า นักการเมืองบางส่วน โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้าน
ได้พยายามกระทำทุกวิถีทางตามอาณัติหรือสั่งการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นักโทษหลบหนีอาญาแผ่นดิน ที่ต้องการล้มเลิกรัฐธรรมนูญ 2550
แต่เอารัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาใช้แทนทันที
เพราะหวังประโยชน์ในประเด็นทางกฎหมาย
ที่จะเป็นคุณต่อคดีทุจริตโกงกินจำนวนมากของตนและพวก
ทั้งที่ศาลพิพากษาไปแล้ว และที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล
ขณะนี้ ปัญหาของแผ่นดินมีมากหลาย ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม
ปัญหาสิ่งแวดล้อม น้ำท่วม มลพิษ ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล
การไม่ติดตามบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้มีความศักดิ์สิทธิ์
ฯลฯ
การ มุ่งจะแก้รัฐธรรมนูญ แม้จะใช้การทำประชามติเป็นเงื่อนไข
หรือเป็นเหยื่อล่อ แทนที่จะปลดสลักความวุ่นวายในบ้านเมือง
กลับจะเป็นการสุมไฟให้กับความขัดแย้ง
และความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะนอกสภา ไม่มีใครเอาด้วย แถมคนทำในสภา
ก็ยังเสี่ยงจะผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญอีกด้วย
หยุดแก้รัฐธรรมนูญ ที่กระทำโดยนักการเมือง เพื่อนักการเมือง
หยุดสุมไฟให้แผ่นดิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น