++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คำต่อคำ "สนธิ" เปิดใจ ทิศทาง-อุดมการณ์พรรคการเมืองใหม่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เติมศักดิ์ - สวัสดีครับ คนในข่าววันนี้เราจะเปิดใจ คุณสนธิ
ลิ้มทองกุล ผู้ซึ่งก่อนวันที่ 6 ตุลา 52 เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์
และผู้นำภาคประชาชน แต่หลังจากวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา เขามีภารกิจใหม่
บทบาทใหม่ เป็นผู้นำภาคประชาชน และหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่

วันนี้เราต้องถามเขาว่าทำไมเราต้องมีพรรคการเมืองใหม่
และทำไมพรรคการเมืองใหม่ต้องมีหัวหน้าพรรค ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล
พรรคการเมืองพรรคนี้จะสร้างจุดเปลี่ยนให้กับสังคมไทย
ให้กับการเมืองไทยได้อย่างไร วันนี้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
อยู่กับเราแล้วนะครับ สวัสดีครับคุณสนธิ

สนธิ - สวัสดีครับคุณเติมศักดิ์

เติมศักดิ์ - มีคนบอกว่านับจากนี้ชีวิตคุณสนธิ
จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จริงหรือเปล่าครับ

สนธิ - ชีวิตไม่เหมือนเดิมมาหลายปีแล้ว ผมเคยพูดมาหลายครั้ง
ผมก็จะพูดต่อ นับตั้งแต่ผมลุกขึ้นมานำประชาชน
หรือว่าสร้างภาคประชาชนขึ้นมาด้วยตัวผมเอง เมื่อปลายปี 2548 แล้วต่อต้นปี
2549 ร่วมกับแกนนำอีก 4 คน สร้างมาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ไม่ใช่เพียงแต่ผมอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง คุณพิภพ
ธงไชย คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข และคุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ พวกเราทั้ง 5 คน
รวมทั้งคุณสุริยะใส กตะศิลา ชีวิตเราเปลี่ยนไปหมด
เราเปลี่ยนไปในรูปแบบของการที่ ข้อที่
1.เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเราเองอีกต่อไป ข้อที่ 2.ที่สำคัญที่สุดคือ
เราไม่มีชีวิตเป็นของตัวเราเองเลย พูดง่ายๆ ก็คือว่า จู่ๆ
จะมาเลิกก็ไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์เลิก ที่ไม่มีสิทธิ์เลิกก็เพราะว่า
เราได้สร้างภาคประชาชนขึ้นมาแล้ว ได้ก่อกำเนิดภาคประชาชน
ซึ่งหันเข้ามาสนใจเรื่องราวต่างๆ ของสังคม ทำให้เขามีความรู้สึกว่า
ชาติบ้านเมืองก็เป็นของเขาเช่นกัน ที่สำคัญคือ
เราทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองประเทศชาติ สมัยก่อนหลายๆ
คนที่อยู่ในภาคประชาชนไม่น้อยเลยที่มองว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของเขา

และอีกประการหนึ่งที่สำคัญที่สุดทั้งหมดคือ
เขาได้มีปัญญาเกิดขึ้นมา ทีนี้คนพอเริ่มมีปัญญาแล้วก็คิดเป็น หลายๆ
คนไม่เข้าใจที่มาวิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลายๆ
คนสงสัย เขาสงสัยว่า
ทำไมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึงไม่เหมือนพวกกลุ่มเสื้อแดง
ทำไมคนพวกนี้สู้จังเลย คนพวกนี้ไม่ถอย นอกจากสู้แล้วไม่ถอยแล้ว
ทำไมคนพวกนี้พอจับประเด็นเรื่องนี้ปั๊บ เขาบอกว่าอันนี้เอา อันนี้ไม่เอา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการมีปัญญา คนที่เคยไม่รู้มาก่อน หรือรู้ผิดๆมาก่อน
พอมารู้ข้อเท็จจริง หรือรู้ว่าที่ตัวเองรู้ผิดมาตลอด
พอเขารู้ว่าถูกต้องแล้ว เขาอยู่เฉยไม่ได้แล้ว
เหมือนคุณเอาเด็กคนหนึ่งซึ่ง คนๆหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย
แล้วให้เขาอ่านหนังสือ พอเขารู้ว่า โอ้โห
โลกนี้มันมีมากกว่าห้องเล็กห้องนี้ มีมากกว่าหน้าบ้านเขา
มีมากกว่าสนามเด็กเล่น ความคิดเขาจะเริ่มแตกกระจายไป
อาจจะถึงขั้นฟุ้งซ่านด้วยสำหรับคนบางคน แต่ส่วนใหญ่แล้ว
จะเริ่มแตกกระจายไป ที่ร้ายกว่านั้นคือว่า
คนพอมีปัญญาแล้ไวปหลอกคนมีปัญญานี่ยาก อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

คนที่วิพากษ์วิจารณ์พวกเราไม่เคยคิดนะ
ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนก็ไม่น้อย กว่า 60 %
เรียนหนังสือจบปริญญาตรี และที่สำคัญคือ
มีไม่น้อยเลยที่เป็นคนที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงในสังคม เป็นแพทย์ก็เยอะ
พยาบาล ทนายความ อาจารย์มหาวิทยาลัย
นักธุรกิจที่มีการเดินทางไปต่างประเทศรอบโลกไม่รู้กี่รอบ
คนพวกนี้แกนนำจะไปหลอกเขาไม่ได้หรอก
เพราะว่าเขาฉลาดเพียงแต่เขาไม่ได้มีปัญญาในการมองการเมือง
หรือประเด็นปัญหาต่างๆจนกระทั่งการต่อสู้เกิดขึ้น
แล้วการต่อสู้เป็นมหาวิทยาลัยชีวิตที่เขาเรียนรู้ และเขาฟังคำปราศรัย
ไม่ใช่เฉพาะเพียงของผม หรือแกนนำอีก 4 คน รวมไปจนถึงวิทยากรต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หรือ คุณสุรพงษ์ ชัยนาม
หรือแม้กระทั่งคุณกษิต ภิรมย์ ก็เลยทำให้คนพวกนี้เริ่มรู้
แล้วเขาก็จำแม่นนะเหมือนอย่างตอนนี้เขาจำแม่นคุณกษิตเคยพูดอะไรไว้แล้ววัน
นี้คุณกษิตไม่ได้ทำตามที่พูด ผมเคย นี่พูดถึงคนที่มีปัญญาแล้ว
คนที่ไม่มีปัญญา หรือปัญญาน้อยเพราะทำมาหากินอยู่ตลอดเวลา
คนพวกนี้เขาพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลง

คุณเติมศักดิ์ เมื่อประมาณปี 2549 ที่ผมโดนหมายจับจากศาลอาญา
แล้วกองปราบก็กำลังจะเอาหมายศาลมาจับผม แต่ว่าผมเดินเข้าไปมอบตัวก่อน
ก่อนที่เขาจะออกหมายจับ ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิด พล.ต.ต.วินัย ทองสอง
เป็นผู้การกองปราบ พล.ต.ต.วินัย ทองสอง มีศักดิ์เป็นหลานเขย พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร ตอนนี้ท่านมาเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เขาก็จับผม
เขารับการมอบตัวผมแต่เขากำลังพิจารณาว่าเขาควรจะให้ประกันหรือไม่ประกัน
ซึ่งเขาไม่มีสิทธิ์ เขาต้องปล่อยตัวผมเลย เพราะว่าเรื่องนี้มาแดงทีหลัง
หลังจากเขาให้ผมประกันตัวแล้วเขาทำสำนวนส่งไปที่อัยการ
อัยการนั่งซักตำรวจที่มาจากกองปราบ
ว่าผมเข้าไปมอบตัวก่อนที่ศาลเซ็นหมายจับออกใช่ไหม เขาบอกใช่
ถ้าอย่างนั้นอัยการสั่งปล่อยตัวเลย ไม่จำเป็นต้องเอาเงินประกัน
แต่ประเด็นไม่อยู่ตรงนั้น ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า
ในขณะนั้นคุณทักษิณยังเป็นนายกฯ อยู่
คุณทักษิณและกระบวนการตำรวจคุณทักษิณ ก็พยายามจะบีบผม คล้ายๆ
ว่าอย่าไปให้ประกัน คุณเติมศักดิ์ถ้าอยู่ในเหตุการณ์คงจำได้
วันนั้นพ่อแม่พี่น้องกลัวตำรวจจะไม่ให้ประกัน ไปล้อมกองปราบแน่นไปหมดเลย
จราจรแทบจะเป็นอัมพาต ผมไปมอบตัวตอนใกล้เที่ยง บ่าย 4 โมง ยังไม่บอก
คุณวินัย ทองสอง มีลูกเล่นออกมา บอกว่า ตอนนั้นคนซึ่งดูแลคดีนี้ชื่อ
พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ นายตำรวจรุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็บอกว่า
เรื่องนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ประกัน คือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ
ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว คุณวินัย ทองสอง ให้ประกันได้ทันที
แต่มันเป็นนโยบายจะแกล้งผม

เติมศักดิ์ - อยากจะให้นอนคุกซักคืน

สนธิ - อยากจะให้นอนคุกซักคืน

สนธิ - ชาวบ้านก็มาล้อมเต็มไปหมดเลย ค่ำนั้น
คืนนั้นก็เริ่มมีขบวนคนภูเก็ต เหมารถมาละ คนสุราษฎร์ฯ เริ่มมา ขอนแก่น
ชลบุรีเริ่มมา คุณวินัย ทองสอง อยู่ในกองปราบก็หน้าเสีย
เพราะมีรายงานมาตลอดเลย ว่าคนเพิ่มขึ้นๆ
ถึงกับต้องเรียกตำรวจหน่วยคอมมานโดมา ในที่สุดเขาก็ให้ประกันไป

ทีนี้พอให้ประกัน ระหว่างที่ผมยังอยู่ในกองปราบก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง
อายุพอสมควร ก็ยืนอยู่หน้าตำรวจระดับสัญญาบัตร ระดับนายพัน
แล้วก็ชี้หน้าเหมือนกับจะด่าตำรวจ บอกว่าคุณทำผิดรัฐธรรมนูญข้อไหนๆ
ข้อนี้คุณไม่มีสิทธิ์ตรงนี้ พูดง่ายๆคือสอนกฎหมายตำรวจ

มีคนเล่าให้ผมฟัง ผมบอกว่าไหนเอาเทปมาดูซิ ผมออกมาแล้ว
พอมาดูก็ตกใจ ตายละ เจ๊สม ตอนที่เราประท้วงอยู่แกจะนั่งข้างหน้าเลย
แถวหน้าเลยนะ นั่งโพกหัว นั่งฟังตาแป๋วเลย ตลอดช่วงการชุมนุมปี 2548 -49
แกเป็นแม่ค้าขายปลาทูอยู่แม่กลอง ผมก็มองตัวผมพูดกับตัวผมเองว่า
ถ้าแม่ค้าขายปลาทูเรียนรู้จากการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ถึงสิทธิเสรีภาพของคน แล้วสามารถที่จะสั่งสอนตำรวจ
เจ้าหน้าที่ที่ใช้กฎหมายได้
ถ้าแม่ค้าขายปลาทูมีความสามารถพัฒนาตัวเองมาได้ขนาดนี้
นับประสาอะไรกับคนที่มีการศึกษาดีแล้ว
เขาจะมีมุมมองที่กว้างขึ้นไปมากกว่าเก่า

ที่ผมพูดไม่ได้เปรียบเทียบว่าเนื่องจากแม่ค้าขายปลาทูมีความรู้น้อย
แต่ผมจะชี้ให้เห็นว่า ภาคประชาชนที่พวกเรา 5 คน ได้สร้างขึ้นมา
เกิดขึ้นมา และที่สำคัญที่สุดทำให้ภาคประชาชนทุกระดับชั้นได้มีปัญญา
แล้วถ้ากระบวนการนี้ไม่หยุดนิ่ง ถ้าเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
หรือถ้ารัฐบาลฉลาดสักนิดหนึ่ง ให้ปัญญาประชาชนไปเรื่อยๆ
วันนี้เราไม่มีเสื้อแดงหรอกครับ
และเราคงจะแทบไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเลือกตั้ง
ประชาธิปไตยในเมืองไทยคงจะดีขึ้นกว่านี้อีกเยอะ ส.ส.ในสภาคงจะมากขึ้น
แล้วคนอย่างคุณเฉลิม อยู่บำรุง ก็คงไม่สามารถจะมาหลอกใครได้อีก
หรือคุณจตุพร พรหมพันธุ์
หรือใครก็ตามที่ใช้วาทะศิลป์แล้วก็มาหลอกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
ผมถึงพูดตลอดเวลาว่า ปัญญาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าคนมีปัญญา
เรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กแล้ว ถ้าแม่ค้าขายปลาทูมีปัญญา
ถ้าคนทอดปลาท่องโก๋มีปัญญา คนขับแท็กซี่มีปัญญา วันนี้คนอย่างขวัญชัย
ไพรพนา เกิดขึ้นไม่ได้ คนอย่างคุณเพชรวรรต ที่เชียงใหม่ก็เกิดขึ้นไม่ได้
หรือคนอย่าง คุณทักษิณจะมาหลอกชาวบ้านต่อไปด้วยวิธีการเก่าๆ
ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่า
เรื่องปัญญาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ด้วยเหตุนี้ เมื่อภาคประชาชนเจริญเติบโตขึ้นมาแล้ว มาเรื่อยๆ
แล้วหยุดยั้งเขาไม่ได้ด้วยนะ คุณสังเกตดูซิว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์
ของคนที่มาร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตามผลวิจัย เป็นผู้หญิง
ผู้หญิงมีหลายระดับ มีทั้งแม่บ้าน มีทั้งคุณยาย คุณย่า คุณป้า คุณน้า
คุณอา อาซ้อ อาซิ้ม ผู้หญิงที่เป็นไฮโซ ผู้หญิงซึ่งเป็นพยาบาล
ผู้หญิงซึ่งเป็นหมอ ผู้หญิง 1 คน เมื่อได้ความรู้
รู้เรื่องแล้วเมื่อกลับไปถึงบ้าน หนึ่งถ้าไม่ทะเลาะกับสามี
ก็เพราะว่าสามีโง่ ก็ต้องสั่งสอนสามี เธอไม่รู้อะไร เพราะอย่างนี้ๆ
และผู้หญิงคือแม่เหล็ก จะดึงดูดพาสามี สามีไม่มาช่างเธอฉันจะมา
ภรรยาไปสามีเป็นห่วงสามีต้องตามมา คุณยายไปลูกหลานเป็นห่วงก็ต้องตามมา

ผมจำได้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ บนเวที 193 วัน บอกว่ามีคนมาขอพบผม
ผมก็เดินไปพบ เป็นครอบครัวครอบครัวหนึ่ง คนจีน มาหาผม ผมบอกมีอะไรครับ
ผมนึกว่าเขาจะมาบริจาค เขาบอกไม่ใช่ ผมมาเพราะว่า อาม่าหายตัวไป
เข้าใจว่าอยู่ในที่ชุมนุม มาตามหาอาม่า ผมว่าหายไปได้ยังไง
อาม่าเป็นคนซึ่งดู ASTV แล้วฟังคุณสนธิพูด ชอบคุณสนธิมาก
คุณสนธิพูดจะกี่โมงกี่ยาม จะถ่างตารอ แล้วก็ฟัง
จนกระทั่งวันนึงอาม่าทนไม่ไหว อาม่าบอกจะไปร่วมชุมนุมด้วย
ลูกหลานไม่ให้ไปกลัวจะเป็นอันตราย ปรากฏว่าอาม่าไปเอง หนีไปเลย
แล้วหาตัวไม่เจอเป็นเวลา 2 วัน เข้าใจว่าอยู่ในนี้
ผมก็เลยไม่ไปประกาศบนเวทีให้คนเขาตกใจ ผมก็เลยไปหา

เติมศักดิ - ไปเดินหาเลย

สนธิ - ไปเดินหา ให้คนเดินหา ปรากฏว่าเจออาม่า
นั่งอยู่ตรงแถวโรงรถ โรงจอดรถ ถ้าคุณเติมศักดิ์จำได้
เลยห้องประชาสัมพันธ์ของผู้สื่อข่าวมันจะมีบล็อกๆ สำหรับจอดรถ
ในทำเนียบซึ่งคนก็ไปพักกัน อาม่าไปนั่งอยู่กับคนใต้ แถวๆ สุราษฎร์
หรือสงขลาไม่รู้ กินแกงไตปลาเฉยเลย เผ็ด ลูกหลานไปถึงก็ตกใจ
อาม่าก็ใส่ภาษาแต้จิ๋วคำด่า ใส่เป็นชุดเลย ด่าลูกหลานตัวเอง
จนในที่สุดลูกหลานก็บอก เอาอย่างนี้
อาม่าถ้าจะมาเดี๋ยวจะส่งคนมาประกบด้วย ก็ค่อยๆ มาทีละคน ไปๆ มาๆ
อีกไม่นาน ผมเดินผ่านไป ทั้งครอบครัว มานั่งฟัง มาร่วมชุมนุมทั้งบ้าน

เติมศักดิ์ - จุดเริ่มต้นจากอาม่า

สนธิ - จุดเริ่มต้นอาม่าคนเดียว ผมไปที่หนองคาย ตลอดอินโดจีน
ผมเดินไปก็จะมีคนร้องว่า แม่ๆ คุณสนธิมา ยายๆ ประเดี๋ยวก็จะมีคนๆ
นึงวิ่งเข้ามาบอก คุณสนธิครับ คุณยายผมแก่มากแล้ว แต่เขาชอบ ASTV
ชอบคุณสนธิมาก ช่วยไปหาเขาหน่อยได้ไหมคุณยายเดินไม่ไหว ผมไปกราบที่ตัก
แกก็ลูบหัวผมน้ำตาแกก็ไหล

เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่บอกว่า ชุมนุมครั้งนี้ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
เขาไม่เข้าใจ นี่แหละคือความสำเร็จ นี่คือความสำเร็จที่แท้จริง
พอมันเป็นอย่างนี้แล้วเราไม่มีตัวของเราเองแล้ว
เหมือนกับเราปลุกประชาชนลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิที่ตัวเองควรจะเรียก
ต่อต้านนักการเมืองที่เห็นแก่ตัวเอง ต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง
โกงชาติขายบ้านขายเมือง คนพวกนี้เขาลุกขึ้นมาแล้ว
พยาบาลลุกขึ้นมาไม่ยอมแพ้ใคร หมอลุกขึ้นมาต่อสู้ เวลาไปรักษา
หมอบอกผมเสื้อเหลืองครับ คุณสนธิค่ารักษาผมไม่คิด
ผมไปทำฟันครั้งนึงที่คลินิกไหนไม่รู้ ปวดฟัน ท่านทำเสร็จยิ้มใหญ่เลย
บอกช่วยเซ็นชื่อให้ผมหน่อย คนพวกนี้ทั่วประเทศไทย
ลุกขึ้นมาเพราะเราไปให้ปัญญาเขา และเรานำเขาสู้ ที่สำคัญคือ
นำเขาสู้แล้วเขาเกิดตายขึ้นมา น้องโบว์ สารวัตรจ๊าบ หลายต่อหลายคน
พิการอีก แล้วก็ตี๋ ชิงชัย ตี๋ แซ่เตียว

เติมศักดิ์ - รุ่งทิวา

สนธิ - คุณรุ่งทิวา แล้วบาดเจ็บอีก
ความรับผิดชอบในทางมโนธรรมที่เรามีอยู่
ถึงแม้มันเป็นเรื่องที่เกิดมาเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจและนักการเมืองสั่งให้
เจ้าหน้าที่ตำรวจฆ่า แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรอง
พูดตรงๆ ถึงไม่ใช่ความผิดของเราในแง่กฎหมาย แต่ว่าความผิดด้านมโนธรรม
ความรู้สึก พวกเรามีกันหมดทุกคน เมื่อมีหมดทุกคนแล้ว คุณเติมศักดิ์ จู่ๆ
ผมหรือคุณพิภพ ธงไชย หรือ คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข หรือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
จะบอกว่า ผมพอแล้วผมไป ผมเลิกแล้ว กลับไป โดยมโนธรรมทำไม่ได้
เมื่อทำไม่ได้แล้ว ชีวิตพวกเราไม่ใช่ของเราต่อไปอีกแล้ว
ชีวิตพวกเราอยู่ในกำมือประชาชน ประชาชนจะเอาอย่างไร เราต้องเอาอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นแล้ว ถามว่ามีความสุขไหม
มันมีความสุขและในขณะเดียวกันก็มีความทุกข์
มีความสุขที่ได้ทำงานให้แผ่นดิน แต่มีความทุกข์ที่ชีวิตมันเปลี่ยนไปหมด
เพราะฉะนั้นแล้ว คุณเติมศักดิ์ ชีวิตผมเปลี่ยนไปตั้งแต่ปี 2548
ที่เริ่มมี แรกๆยังไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ แต่พอเข้า 49 ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งหลัง 193 วัน ผมไม่มีสิทธิ์กำหนดชีวิตตัวผมเองต่อไป

เติมศักดิ์ - กลายมาเป็นผู้นำพรรคการเมืองใหม่
คือสานต่อภารกิจที่ได้ทำมาตลอด 3 - 4 ปีที่ผ่านมา
ในฐานะผู้นำการชุมนุมใช่ไหมครับ

สนธิ - จะพูดอย่างนั้นก็ถูก แต่มันมีมากกว่านั้น
เราตอ้งถามตัวเราเองว่า หลังจากสิ้นสุดการชุมนุมแล้ว เราถามตลอดเวลา
แล้วอย่างไร ผมไม่ยากอะไรผมก็อยู่ ASTV เป็นพิธีกรบ้าง
ออกความเห็นเรื่องข่าว ให้ปัญญาคนตลอดไปเรื่อยๆ แต่ทีนี้
แล้วมวลชนทั้งหมดที่มีเป็นจำนวนล้านๆ คน เขาจะนั่งอยู่หน้าจอฟัง ASTV
อย่างเดียวหรือ ใช่ไหมครับ ถ้าเขานั่งอยู่หน้าจอฟัง ASTV อย่างเดียว
คุณเติมศักดิ์ก็ต้องรู้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐ
และนักการเมืองเมืองไทยเป็นคนที่ดื้อด้าน
และเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เพราะฉะนั้นเขานั่งฟังด้วยความรู้
และเขาไปต่อต้านคนพวกนี้ เขาต่อต้านได้อย่างไรละ
เขาไม่มีเครื่องมือที่จะไปต่อต้าน ถูกไหม เพราะขนาดเราออกมาไล่เขา
เรามาพูดเรื่องจริง เขายังดื้อด้านนั่งอยู่ในสภา
คุณจะไปไล่คนอย่างคุณเฉลิม อยู่บำรุง ได้ไง แกไม่ไปหรอก
คุณจะไปไล่คนอย่างคุณบรรหาร ศิลปอาชา ได้ไง คุณจะไปไล่คนอย่างคุณเสนาะ
เทียนทอง ได้อย่างไร คุณจะไปไล่คนอีกหลายๆคนที่เอ่ยชื่อก็แทบจะหมดทั้งสภา
จะมีบางส่วนที่ทำไม่ได้แล้ว เขาสมควรที่จะต้องไป
เพราะว่าเขาเป็นนักการเมืองเก่า ซึ่งเขาไม่เข้าใจมวลชน

ฉะนั้นเราจำเป็นต้องมีเครื่องมือ
เครื่องมือก็คือพรรคการเมืองนั่นเอง เพราะเราพิสูจน์แล้ว
ขนาดไปนั่งประท้วงอยู่ที่ทำเนียบ ประท้วง 193 วัน ยังหน้าด้านอย่างสุดๆ
แล้วคุณจะให้ประชาชนเป็นคนจรจัด อยู่ริมถนนทำต่อไปคงไม่ได้

ข้อที่ 2 ที่พวกเราเห็น และผมเห็นชัดๆ คือว่า การเมืองในขณะนี้
มันถึงเวลาต้องเปลี่ยน มันไม่เปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่า ประชาธิปไตย 4
วินาที มันเกิดขึ้นจากการซึ่งนักการเมืองไปซื้อเสียงมา คนรับเงินมา 500
เดินไปที่คูหาเลือกตั้ง กาบัตรที่เขาบอกว่าเมื่อซื้อ 500 แล้วให้กาเบอร์
9 หรือเบอร์ 8 ก็เอาบัตรไปหย่อน แล้วนับ 1 - 4 วินาทีจบแล้ว
สิทธิเขาไม่มีอะไรแล้ว ความจริงสิทธิเขาไม่มีตั้งแต่ต้นแล้ว
เพราะเขาถูกซื้อไปเรียบร้อยแล้ว คนพวกนี้ก็จะเอาสิทธิที่ซื้อด้วยเงิน
มารวบรวมคะแนนแล้วเข้ามาเป็น ส.ส. แล้วก็บอกว่าผมมาจากการเลือตั้ง
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเป็นตัวแทนประชาชน
คำว่าตัวแทนประชาชนมันผิดมาตั้งแต่ต้น ผิดมาตั้งแต่การตั้งพรรคแล้ว
การเลือกหัวหน้าพรรค การหาเสียงในพรรค จนกระทั่งลงคะแนนเสียง
เมื่อมันผิดมาตั้งแต่ต้น เขานั่งอยู่ในสภา เป็นตัวแทนที่ผิดศีลธรรม
ผิดคุณธรรม ผิดจรรยาบรรณอย่างสูงสุด โดยลึกๆ
ส.ส.ส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ในนั้น รู้อยู่แก่ใจว่าซื้อเสียงเข้ามาทั้งนั้น

เติมศักดิ์ - เขาจะไม่ได้พูดแทนประชาชน

สนธิ - เขาไม่ใช่ เขาผู้แทนทุน คุณเติมศักดิ์ครับ
การตั้งพรรคการเมืองในอดีตจนกระทั่งมีพรรคการเมืองใหม่
เขาตั้งกันอย่างไรคุณเติมศักดิ์ เขาจะมีนายทุน
หรือคนที่อยากจะเล่นการเมือง 2 - 3 คนนั่งกินข้าวโต๊ะกลม บอกว่าเฮ้ย
ต้องเล่นการเมือง หรืออาจจะเอาอดีตนักการเมืองเขี้ยวลากดินคนหนึ่งมา
มาบอก เนี่ยผมจะให้คุณทำพรรคการเมืองนะ ต้องใช้เงินเท่าไหร่
เขาถามคำแรกเลยต้องใช้เงินเท่าไหร่ เขาก็บอกว่าของผมหัวหนึ่งก็ 25 ล้าน
30 ล้านได้แน่นอน เขาก็คำนาณสิ 100 คน 3,000 ล้าน 100
คนมีสิทธิ์เป็นรัฐมนตรีได้กี่คน 10 คน กี่กระทรวง 10 กระทรวง
เขาก็มองว่าแต่ละกระทรวงงบประมาณเท่าไหร่
ถ้าเขาสามารถคอร์รัปชั่นได้จากแต่ละกระทรวง 10 % อย่างต่ำ หรือ 20 %
จากงบประมาณอันนั้น ถ้า 10 กระทรวงมีงบประมาณสัก 4-5 หมื่นล้าน
เขาคอร์รัปชั่น 20 % ก็หมื่นล้าน ลงทุน 3 พันล้านเขาได้แล้ว คิดง่ายๆ

เติมศักดิ์ - เป็นการลงทุนซื้ออำนาจเพื่อเอาอำนาจ

สนธิ - เพื่อเอาอำนาจไปซื้อเงินต่อ ไปหาเงินต่อ
เป็นอย่างนี้มาตลอด ทุกยุคทุกสมัยมา พรรคไทยรักไทยมา หลายๆ อย่างมา
จนกระทั่งการตั้งพรรคการเมืองเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาตั้งเพราะคน 3 - 4
คนเท่านั้นเอง เขาตั้งเสร็จ เขาไม่ได้มีมวลชน แต่เขาไปซื้อหัวคะแนน
เพื่อให้หัวคะแนนไปซื้อมวลชนต่อ ด้วยเหตุนี้คุณเติมศักดิ์
ไม่เคยคิดเลยหรือว่า ทำไมกรุงเทพมหานคร ถึงพลิกผันได้ตลอด
ก็เพราะว่าคนกรุงเทพมหานครซื้อยาก
แต่ทีนี้พอมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้น
กลับกลายเป็นคนที่อยู่เขต 1 อ.เมือง ของทุกๆ จังหวัด ที่ดู ASTV
ตื่นฟื้นขึ้นมาทันที คนพวกนี้ไม่ยอม เพราะฉะนั้นแล้ว คนเขต 1
ก็กลายเป็นคนซึ่งเป็นกบฏต่อระบบเก่า และอีกประการหนึ่ง เขาไม่มีทางเลือก
ถูกไหมครับ มันจะมีกี่พรรค อย่างภาคใต้มีแค่ ประชาธิปัตย์ เขาถึงบอก
ประชาธิปัตย์ส่งเสาไฟฟ้าลง ก็ได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว ประชาธิปัตย์
ส.ส.ภาคใต้ ก็จะเป็นการสืบทอด พ่อ แม่ พี่ น้อง
ถึงเวลาต้องขึ้นปาร์ตี้ลิสต์ เอาน้องมาลง สามีเอาเมียมาลง
หรือเอาน้องเขยมาลง มันจะเป็นอย่างนี้
คนที่อยากจะเข้ามาเล่นการเมืองทางภาคใต้ ผมยกตัวอย่างเฉพาะภาคใต้
ก็จะหงุดหงิด เพราะทุกคนอยู่ในระดับที่ขึ้นอยู่กับข้างบนว่าเขาจะให้ใครลง
เพราะฉะนั้นคุณเป็น ส.ส.อยู่เขตนี้ เป็นมา 8 สมัย
คุณจะเลิกเล่นแล้วหรือขึ้นปาร์ตี้ลิสต์
คุณก็บอกข้างบนว่าผมจะเอาน้องชายผมลง คนซึ่งเป็นคน
สมมุติที่นครศรีธรรมราช อ.เมือง มีคนที่อยากจะเล่นการเมือง
ก็เดินเข้าไปหาประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เล่น ตั้งใจจริง
ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ได้เล่น คนเก่าซึ่งเป็นญาติพี่น้องก็เอาไปเล่นต่อ
จะผูกขาดอย่างนี้มาตลอด ด้วยเหตุนี้
การเมืองเมื่อตั้งพรรคเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงขันคำนวณเสร็จเรียบร้อยแล้ว
บอกว่า 4 คนลงเท่าไหร่ ไอ้นี่ 300 ไอ้นี่ 400 ไอ้นี่ 500 ล้าน
มันกลายเป็นบริษัทจำกัด โดยผู้ถือหุ้นก็คืออย่างนี้ๆ

เติมศักดิ์ - ไม่ใช่มาจากมวลชน

สนธิ - ไม่ใช่ ต่างกับพรรคไทยรักไทย
พรรคไทยรักไทยผู้ถือหุ้นคนเดียว ก็คือ คุณทักษิณและภรรยา
เมื่อถือหุ้นคนเดียวแล้ว เมื่อได้เสียง ส.ส.แล้ว
คุณทักษิณก็เอาบริษัทไทยรักไทยไปเทคโอเวอร์ บริษัทความหวังใหม่

เติมศักดิ์ - บริษัทเสรีธรรม

สนธิ - วิธีการก็คือว่า ความหวังใหม่จะหาเสียงเงินขาด
เอาพี่จิ๋วเอาไป 400-500 ล้าน แต่ตกลงกันนะ ได้
ส.ส.เท่าไหร่แล้วเอามารวมกับผม เขาก็เลยเรียกว่า เอ็มแอนด์เอ
เมเจอร์แอนด์แอคควีซิชั่น
คือคุณทักษิณและภรรยาเขามองการเมืองเป็นธุรกิจไปแล้ว
เมื่อเขามองเป็นธุรกิจ เข้ามาปั๊บผมประโยชน์ตอบแทนต้องคืนมา
เมื่อมองธุรกิจแล้ว อะไรที่ทำได้ก็ทำ
อะไรทำไม่ได้ก็แก้กฎหมายเพื่อให้ตัวเองทำได้ เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นมวลชนเขาไม่มี
เมื่อมวลชนเขาไม่มีแล้วมันต่างกับพรรคการเมืองใหม่ พรรคการเมืองใหม่
ของเขาเกิดจากคนไม่กี่คนมานั่ง เอาเงินมาลง
หรือนักการเมืองเขี้ยวลากดินหลายคน มีเงินแต่ไม่ยอมควักเงินตัวเอง
ก็จะไปหาเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่รายในประเทศไทย
ไปหาคนค้าอาวุธ ไปหาคนวิ่งสัมปทาน

เติมศักดิ์ - เป็นสปอนเซอร์

สนธิ - ผมขอ 100 ล้าน พวกนี้เห็น นักการเมืองคนนี้มีชื่อเสียง
รู้ว่าเมื่อเขามาแล้วจะมี ส.ส.ตามมา 10-20 คน
ด้วยเหตุนี้มันเลยมีความผูกพันกันในเชิงของผลประโยชน์ หนี้บุญคุณ
ผมจำได้มีอยู่ครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้ว
มีธุรกิจแห่งหนึ่งจะให้พรรคการเมืองหลายพรรค ให้เงินเท่ากันหมด พรรคละ
100 ล้าน เขาให้ไป 5 พรรค 500 ล้าน แต่เงื่อนไขเขาคือว่า
เมื่อพรรคนี้เป็นรัฐบาล ใน 5 พรรคต้องมีพรรคใดพรรคหนึ่งเป็น
รัฐมนตรีช่วยคนหนึ่งจะต้องเป็นของเขา
รัฐมนตรีช่วยคนนี้จะเข้ามาดูแลสาขางานที่เกี่ยวพันกับธุรกิจของเขา
เท่ากับเขาลงทุน 500 ล้าน เพื่อหาคนมาปกป้องผลประโยชน์ธุรกิจเขา
เมื่อปกป้องผลประโยชน์ธุรกิจเขาแล้ว นโยบายต่างๆ ของรัฐที่ออกมา
ที่จะทำให้ธุรกิจเขาได้กำไรน้อยลง ก็ไม่สามารถจะทำได้ เพราะฉะนั้นแล้ว
คนพวกนี้ก็เลยตั้งพรรค
พอตั้งพรรคเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องทำตามกฎหมายพรรคการเมือง
วิธีทำตามกฎหมายพรรคการเมืองพวกนี้ก็ง่าย 5,000 ชื่อ ตั้งสาขา 4 ภาค
ก็ไปตั้ง เงินตั้งมีอยู่แล้ว 4 ภาค 5,000 ชื่อ ชื่อละ 100 บาท 500,000
บาท

เติมศักดิ์ - ไม่ยากเลย

สนธิ - ไม่ยาก เอาบัตรประชาชนมา บัตรประชาชนมาเลยคนละ 100 บาท
แล้วก็จดๆ 5,000 คนมาชุมนุม ประชุมกันก็เลือกใน 5,000 คน 200 คน 200
คนซึ่งเป็นหัวคะแนนทั้งหมด ซึ่งคุยแล้วแยกไปอีกห้องหนึ่ง ห้องเล็กๆ
แล้วไปลงมติในห้องเล็ก 5,000 คน หรือ 6,000 คน หรือ 4,000 คน 3,000 คน
ที่มาประชุมไม่มีสิทธิ์ลุกขึ้นมาซักถาม
แสดงนโยบายเหมือนอย่างที่พรรคการเมืองใหม่ทำ นี่คือการเมืองในระบบเก่า

เติมศักดิ์ - มาเป็นแค่ตุ๊กตา เป็นแค่ไม้ประดับ

สนธิ - เป็นแค่ตุ๊กตาเท่านั้นเอง
ทีนี้การเมืองเมื่อมันเป็นเช่นนี้ มันเน่าแบบนี้
เราปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ตรงนี้ที่พรรคการเมืองระบบเก่ากลัว
คุณเติมศักดิ์ไม่เห็นหรอว่า
ตั้งแต่พรรคการเมืองใหม่ตั้งมาแล้วเลือกผมเป็นหัวหน้าพรรค
นักการเมืองรุ่นอาวุโสหลายคนกระแนะกระแหนเราตลอด

เติมศักดิ์ - นำพรรคไม่ง่ายเหมือนนำม็อบ

สนธิ - นำพรรคไม่ง่ายเหมือนนำม็อบ ข้อที่ 1 ข้อที่ 2
เมื่อเข้ามาในระบบแล้วต้องมาสู้ในระบบอย่าไปประท้วงข้างนอก คนพวกนี้กลัว
ทำไมถึงกลัว เพราะคนพวกนี้ลึกๆ แล้วไม่มีมวลชน
เพราะมวลชนเขาเป็นมวลชนจัดตั้งด้วยการซื้อ เขาไม่เหมือนพวกเรา
ผมถึงบอกตลอดเวลาว่า พวกคุณเข้าใจผิด
พรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
และพรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่ตรงนี้ พรรคการเมืองใหม่อยู่ตรงนี้

เติมศักดิ์ - เครื่องมือหนึ่ง

สนธิ - เครื่องมือหนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีอีกหลายเครื่องมือ
เพราะฉะนั้นแล้วพรรคการเมืองใหม่จะต้องทำงานร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยเป็นเนื้อหนึ่งเดียวกัน จะแยกกันไม่ได้
อะไรที่เราต้องไปสู้กันในสภาเราจะสู้ในสภาผ่านนักการเมือง
แต่อะไรก็ตามเมื่อสู้ในสภาไม่ได้แล้ว
หรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ภาคประชาชนต้องเคลื่อนไหว ก้ต้องเคลื่อนไหว เพราะว่าประชาชนหลังจากปี 48
,49,50,51 ซึ่ง 4 ปีกว่าที่ผ่านมานี้ ไม่ใช่ประชาชนเหมือนเดิม
ที่พวกพรรคการเมืองเก่าๆ พวกหัวหน้าพรรคเก่าๆ
ที่ชอบบอกว่าทำพรรคการเมืองไม่ง่าย อย่างโน้นอย่างนี้ ที่จะมาสั่งมาสอน
มาให้หันซ้ายหันขวา มาให้เดินหน้าถอยหลัง หรือมาให้กระโดดตึก
ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เพราะคนพวกนี้มีปัญญากันทุกคน
เมื่อเขามีปัญญากันทุกคนคุณจะไปสั่งเหมือนเดิมไม่ได้
ถ้าคุณสั่งเหมือนเดิมไม่ได้ก็เท่ากับว่า
โอกาสที่คุณจะไปโกงกินเหมือนเดิมก็ไม่ได้เช่นกัน

ตรงนี้ต่างหาก คนยิ่งพูดกระแนะกระแหนเรามากเท่าไหร่
คนพวกนี้คือคนปากกล้าขาสั่น เป็นคนไม่มีฐานมวลชนเลย ผมท้าเลย
ที่พูดกันเก่ง ที่กระแนะกระแหน ไม่ว่าจะเป็นคุณบรรหาร ศิลปอาชา
ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
คุณหามวลชนให้ผมดูหน่อย คุณหามาหน่อย คุณไม่มีมวลชนเลย นอกจากหัวคะแนน
คุณเอาหัวคะแนนร้อยคนพามาเดิน

เพราะฉะนั้นแล้ว เขาถึงลำบาก แล้วเขากลัว
พวกนี้กลัวเพราะว่ายุคของพวกนี้ใกล้จะหมดแล้ว
ยิ่งแสดงออกความกลัวมากเท่าไหร่
ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเวลาของพวกเขาใกล้จะมาถึงแล้ว

เติมศักดิ์ - มันเป็นยุคของคนรุ่นต่อไป ยุคคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดใหม่ๆ

สนธิ - ไม่ใช่เรื่องคนรุ่นใหม่อย่างเดียว คุณเติมศักดิ์
คนรุ่นเก่า อาม่า อากง คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณน้า คุณอา
ก็เป็นคนรุ่นเก่า แต่เขามีปัญญาแล้ว ยุคนี้เป็นยุคของคนมีปัญญา
เพราะคนรุ่นใหม่สมัยนี้ พวกเด็ก นักศึกษาที่เดินอยู่สยามเซ็นเตอร์
แถวพารากอน ยังใช้ไม่ได้อยู่ ส่วนมากใช้ไม่ได้ รุ่นใหม่ที่เลอะเทอะ
เป็นรุ่นใหม่ที่ถูกมอมเมา
แต่ผมกำลังพูดถึงคนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นคนที่มีคุณภาพ

เติมศักดิ์ - เขาพยายามจะบอกว่า
ถ้าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีพรรคการเมืองแล้ว
การชุมนุมต้องไม่มีแล้ว เพราะทุกอย่างต้องไปตามกติกา ไปตามระบบ

สนธิ - เขาเข้าใจผิดอย่างมากเลย
เหตุผลเพราะว่าพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นภาคประชาชนมีสิทธิ์เคลื่อนตัวได้ทุกเมื่อ
ตามสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เคยเคลื่อนตัวรุนแรงเหมือนพวกกลุ่มเสื้อ
แดง ไม่เคย เพราะฉะะนั้นแล้วถ้าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเคลื่อนตัว
แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเคลื่อนตัวก็ต่อเมื่อมันมีเหตุให้ต้อง
เคลื่อนตัว

เติมศักดิ์ - เรื่องล่าสุดคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สนธิ - อันนี้ก็เป็นจุดยืนชัดเจน เพราะเป็นจุดยืนแรกที่ต่อสู้มา
ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึง 193 วัน
ต่อเนื่องมาจนถึง 7 ตุลาคม ต่อเนื่องถึงตอนจบ
ซึ่งการตายของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
การต่อสู้อย่างชนิดไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย
เป็นเหตุให้รัฐบาลสมัครแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ เป็นเหตุให้รัฐบาลคุณสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ แก้รับธรรมนูญไม่ได้ ก็เลยเป็นเหตุให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นเหตุให้คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ
เป็นรองนายกรัฐมนตรีได้ แต่วันนี้คุณสุเทพ พูดในสภาชัดเจน
ผมอยากให้พี่น้องที่ดูรายการนี้อยู่
โดเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องคนใต้ให้จำคำพูดคุณสุเทพ วันนี้ให้ดีๆ
คนใต้ทุกคนที่เข้าร่วมชุมนุมต่อสู้ คนใต้ที่มากินมานอนที่ทำเนียบ
คนใต้ที่มีเพื่อนฝูงที่ตายไป คนใต้ที่มีคนบาดเจ็บสาหัส
ให้จำคำพูดคุณสุเทพให้ดีๆ คุณสุเทพ ตอบกระทู้สดของคุณเฉลิม อยู่บำรุง
เมื่อคุณเฉลิม ถามว่า
พรรคประชาธิปัตย์เป็นหนี้บุญคุณพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ
คุณสุเทพ บอกว่าไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แต่คุณสุเทพ บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหนี้บุญคุณ
ส.ส.พรรคร่วมที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล
พี่น้องชาวใต้จำคำพูดนี้ให้ดีๆ

เติมศักดิ์ - ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเดิมๆแบบนี้
พรรคการเมืองใหม่จะมั่นใจได้อย่างไรว่า จะเข้าไปเปลี่ยนได้
จะเข้าไปสร้างจุดเปลี่ยนให้การเมืองไทยได้

สนธิ - การตั้งพรรคการเมืองมา ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะมี
ส.ส.กี่คน ประเด็นเรากำลังจะบอกว่า การทำพรรคการเมืองครั้งนี้
เป็นการเริ่มต้นอีกบริบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางการเมือง
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 48 ซึ่งผมนำทัพคนแรก
แล้วมาต่อต้นปี 49 มาเป็น 5 แม่ทัพ ได้ผ่านช่วงนั้นไปแล้ว
ช่วงนี้เป็นอีกบทหนึ่งที่ต่อเนื่องกันไป แต่ว่าเป็นเนื้อเดียวกัน
แต่การเริ่มครั้งนี้ไม่เหมือนการเริ่มครั้งแรก

เติมศักดิ์ - ไม่เหมือนอย่างไรครับ

สนธิ - ไม่เหมือนซิ เริ่มครั้งแรกผมตัวคนเดียวผมไม่มีประชาชน
ผมมีแต่ความจริง ผมมีแต่ความกล้าที่จะออกไปเผชิญหน้ากับความจริง
ผมมีแต่ความไม่กลัวที่จะเผชิญกับภยันอันตรายทั้งหลาย

เติมศักดิ์ - เป็นเทียนเล่มแรก

สนธิ - เป็นเทียนเล่มแรก ตอนนั้นไม่มี ผมค่อยๆ สั่งสม
เอาความจริงเข้าสู่ เอาความกล้ามาแสดงออก
เอาความไม่กลัวมาอยู่ในจิตวิญญาณตัวเราเอง
เอาความอดทนมาเป็นองค์ประกอบในการทำงาน จนกระทั่งมีคนเริ่มเห็น
เริ่มเห็นว่าสนธิมันทำจริง เริ่มเห็นว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พิภพ ของจริง พล.ต.จำลอง จริง ทุกคนจริงหมด ประชาชนก็เริ่มเข้ามาร่วมด้วย
เริ่มมีศรัทธา จากไม่มีอะไรเลย เราสร้างมาจำนวน
ผมเริ่มครั้งแรกต้องนับวันแรกของ 23 กันยา ปี 48 23 กันยา ปี 48 นี่ก็ครบ
4 ปีแล้ว 4 ปีจากคนที่เข้าไปหอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ จำนวนแค่พันคน
มาจนวันนี้ 4 ปี มีประชาชนเข้ามาร่วมกับเราหลายล้านคน ถึง 10
ล้านคนซะด้วยซ้ำ วันนี้พอเรามาเริ่มพรรคการเมืองใหม่
เราไม่ได้เริ่มด้วยมือเปล่าเหมือนสมัยที่ผมเริ่มเมื่อปี 48
เราเริ่มด้วยฐาน 10 ล้านคน ถึงแม่ 10
ล้านคนจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ในขณะนี้เพียง 5,00-6,000 คน 7,000 คน
8,000 คน เราอาจหาได้เพียง 200,000-300,000 คน คุณเติมศักดิ์ต้องเข้าใจ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นอะไรบางอย่างซึ่งมหัศจรรย์มาก
มันเป็นจิตวิญญาณ เราได้สร้างจิตวิญญาณของการรักความเป็นธรรม
ของการรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ขึ้นมา ขึ้นมาในหมู่บรรดาพี่น้องร่วม 10
ล้าน หรือ 10 กว่าล้านคน

คุณเติมศักดิ์ เราไม่ได้มีลัทธิทางการเมืองมาต่อสู้กับใคร
เราไม่ได้ยึดหลักเหมาอิสต์ ยึดหลักมาร์กซิสต์ เราไม่ได้ยึดหลักทางตะวันตก
เราไม่ได้ยึดหลักทฤษฎีฝ่ายซ้ายจัด ที่เคยอยู่ในป่าออกมาแล้วบอกว่า
ไม่ได้นะเราต้องชิงมวลชนแบบนี้ ต้องมีพรรคเพียง เราไม่มี
เรามีอยู่อย่างเดียวคือ จิตอันบริสุทธิ์ ที่จะทำให้ชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์อยู่ได้ มีจิตอันบริสุทธิ์ที่จะเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ
แล้วเข้าไปทำงานให้ชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นแล้วเราถึงไร้ซึ่งทฤษฎี
เรามีแต่ความใส ซื่อ และความจริงใจต่อชาติบ้านเมือง

เติมศักดิ์ - ซึ่งความไร้ทฤษฎีนี้คือจุดแข็ง

สนธิ - จุดแข็งมากเพราะเราไม่ยึดถืออะไร เรายึดถือชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์และราชบัลลังก์ เป็นที่ตั้ง
หรืออีกนัยหนึ่งเรายึดถือส่วนรวม คือประเทศไทยทั้งประเทศ พูดง่ายๆ
เราทำงานเพื่อแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้เราจึงต่างจากทุกๆ คน เราต่างหมดเลยนะ
เพราะฉะนั้นแล้วในพรรคการเมืองใหม่ไม่จำเป็นต้องมีที่ปรึกษาเป็นฝ่ายซ้ายที่
เคยอยู่ในป่า ไม่มี และไม่จำเป็นจะต้องมีด็อกเตอร์พิเศษเข้ามากำหนดว่า
นโยบายเราต้องอย่างนี้ ไม่มี เรามีเพียงคำพูดคำเดียวว่า
อะไรก็ตามถ้าเป็นประโยชน์ต่อชาติทั้งชาตินั้นใช่
อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของการทำแล้วทำให้ชาติแข็งแรง ศาสนาเจริญรุ่งเรือง
และสถาบันกษัตริย์มีความมั่นคง นั่นแหละใช่เลย

เติมศักดิ์ - หน้าตาของกรรมการบริหารพรรค
หน้าตาของคณะที่ปรึกษาพรรค ที่ประกาศออกมา
สะท้อนอุดมการณ์ของพรรคอย่างไรบ้าง

สนธิ - สะท้อน
เพราะประการแรกเราเอากรรมการบริหารพรรคซึ่งมาจากหลากหลาย คุณก็รู้ว่า
ในฐานะหัวหน้าพรรค เมื่อเลือกหัวหน้าพรรคแล้ว
หัวหน้าพรรคเสนอกรรมการบริหารครึ่งหนึ่ง
ผมเสนอคนมาครึ่งหนึ่งสำหรับมาทำงานร่วมกับผม ในฐานะหัวหน้าพรรค
ผมต้องมีคนซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการพรรค
ผมต้องมีคนซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลมวลชน ผมต้องมีคนทำหน้าที่เป็นเหรัญิก
อันนี้ตามกฎหมายกำหนด ส่วนอีก 12 คน เลือกจากฟลอ

เติมศักดิ์ - เสนอชื่อ

สนธิ - ทุกคนเสนอชื่อกันได้
เพราะฉะนั้นถ้าใครดูการถ่ายทอดสดวันนั้นจะเห็นว่า
เป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางการเมือง แล้วผมพนันกับคุณเติมศักดิ์ได้
พรรคหลายพรรคดูแล้วก็กลืนน้ำลายตัวเอง
เพราะรู้อยู่ว่าชาตินี้ตัวเองก็ทำแบบนี้ไม่ได้ ไม่มีทางทำได้

เติมศักดิ์ - 60 ปีที่ผ่านมาไม่เคยทำ

สนธิ - ไม่มีทางเพราะว่าพรรคเกิดจากเงินเพียงคน 2-3 คน แล้วเงิน
2-3 คนถูกผ่องถ่ายลงมาให้ไปจัดทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
แต่อำนาจเด็ดขาดอยู่แค่คน 2 คนเท่านั้นเอง หรือคนที่เป็นเจ้าของเงิน
มีอยู่แค่นั้นเอง ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยถึงถูกสูบเลือดเฉือนเนื้อ
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้การทุจริตคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง
มันกินเข้าไปในปอดในตับแล้ว
มันกินเข้าไปในปอดในตับจนกระทั่งประเทศไทยไม่มีอะไรจะเหลืออีกแล้ว
แทบจะไม่มีจุดยืนเหลืออีกเลย

เติมศักดิ์ - จาก 25 พฤษภาคม 52 ที่เราจัด 193 วัน
แล้วสอบถามความคิดเห็น ส่วนใหญ่อยากให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
เป็นหัวหน้าพรรค จนถึง 6 ตุลาคม ที่ผ่านมาก็ได้รับการสนับสนุน
ระหว่างทางตรงนี้คุณสนธิมีความรู้สึกลังเลบ้างไหมครับ

สนธิ - มี เมื่อวานนี้คุณสุริยะใสก็พูดไปแล้ว จริงๆ
เมื่อวานนี้ตอนที่อยู่ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ ผมเป็นคนเปิดงาน 7 ตุลา
ผมก็เล่าเบื้องหลังให้พ่อแม่พี่น้องฟัง
วันนี้ผมจะเล่าเบื้องหลังให้ฟังอีกก็ได้ ไม่มีอะไรเสียหาย
มีคนคิดจะทำพรรคการเมืองมานานแล้ว ผมปฏิเสธตลอดผมไม่เอา
เพราะผมอยากเขียนหนังสือ อยากทำสื่อ อยากทำอินเทอร์เน็ต ความถนัดของผม

เติมศักดิ์ - เป็นนักสื่อสารมวลชน

สนธิ - ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง คุณสุริยะใสบอกว่า
พี่คนเรียกร้องมาก เราต้องพิจารณาตั้งพรรค ผมกระโดดตัวยาวเลย
บอกเฮ้ยใสพี่ไม่เอา พวกเอ็งไปตั้งกัน แต่ถ้าพี่ไม่ร่วมด้วยมันไปไม่รอด
เขาพูดอย่างนี้ ผมก็เลยบอกว่า ใสถ้าจะตั้งพรรค ใสจะเอาใครเป็นหัวหน้าพรรค
เขาก็เอ่ยชื่อมา 2 คน บอกว่าไปไม่รอดหรอก แล้วทำยังไงพี่ถึงเข้ามาร่วม
ผมก็บอกว่า ต้องมีคนซึ่งเอ่ยชื่อมาแล้ว
พิสูจน์ประชาชนมาแล้วถึงความกล้าหาญ พิสูจน์มาแล้วถึงความซื่อสัตย์
ใสไปคุยกับพี่ลอง ทำยังไงให้พี่ลองมาเป็นหัวหน้าพรรค
อย่างนั้นพี่ร่วมด้วย และพี่จะร่วมในสถานภาพเป็นที่ปรึกษา ช่วยเต็มที่
ผมยังลงมือด้วยตัวเองไปคุยกับพี่ลอง
คุยตั้งแต่พี่ลองเริ่มไม่แน่ใจมาจนกระทั่งไม่เอา มาไม่แน่ใจ
จนกระทั่งกลางๆ ค่อยว่ากันสนธิ

เติมศักดิ์ - ตอนแรกคัดค้าน

สนธิ - ตอนแรกไม่เอา
จนกระทั่งในที่สุดเรามาประชุมแกนนำกันหลายครั้ง พี่สมศักดิ์ อ.สมเกียรติ
พี่พิภพ ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ซิให้ประชาชนตัดสินดีกว่า เรา 5
คนมานั่งคุยกันเลยว่าเราอยากจะตั้งพรรคแล้วเราค่อยไปบอกประชาชน
เรามีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ตัดสิน
นั่นคือที่มาของการประชุมกันวันที่ 25-26 พฤษภาคม พอประชาชน 80
เปอร์เซ็นต์ ที่มาเป็นแสนที่สนามกีฬาธรรมศาสตร์(รังสิต) มีมติว่า
อยากให้ตั้งพรรค ก็จบ

แต่ที่มีติ่งต่อมาที่มันไม่จบตรงไหนรู้ไหม คุณปานเทพ อ.ปานเทพ
ของผมไปทำแบบสอบถามออกมา ให้ประชาชนประมาณ 50,000 ชุด แบบสอบถาม
ถามว่ามาจากภาคไหน อย่างนู้นอย่างนี้ ที่สำคัญมีอยู่ข้อหนึ่ง
มีบทหนึ่งบอกว่า
เมื่อตั้งพรรคแล้วผู้ใดบ้างที่ท่านอยากให้เป็นหัวหน้าพรรค ก็มีชื่อผม
มีชื่อทุกคนหมดเลย มีชื่อพี่ลอง ปรากฏว่าผมประชาชนติ๊กมา 70
กว่าเปอร์เซ็นต์เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์
ว่าตั้งพรรคแล้วอยากให้ผมเป็นหัวหน้าพรรค อย่างที่ผมเรียนคุณเติมศักดิ์
ผมอยู่ในสภาพที่กะหัวใจ ผมอยากพัก
ผมเริ่มก่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปลายปี 48 จนกระทั่งสู้มา 193
วัน ผมอยากจะอยู่เฉยๆ ตลอดไป แล้วให้ความรู้คน แต่เมื่อประชาชน 70
กว่าเปอร์เซ็นต์
เขามีความศรัทธาให้ผมนำเขาอีกครั้งหนึ่งในฐานะที่เป็นพรรคการเมือง
ซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
อุปมาอุปไมยเหมือนประชาชนบอก สนธิคุณไปบุกป่า ขยายเขตดินแดน
ไปตีคนป่าเถื่อนแล้วไปตั้งเมืองตรงนั้น เหมือนกับมอบหมายภารกิจให้ผมแล้ว
ชีวิตไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว แล้วถ้าผมปฏิเสธ ผมลูกเล่นเยอะ
เที่ยวพูดอย่างโน้นอย่างนี้ ประชาชนจะถามผมกลับคำ ผมจะตอบเขาอย่างไร บอก
ก็คุณเป็นคนของประชาชนไม่ใช่หรอ คุณนำพวกผมมาแล้ว
พอถึงเวลาที่พวกผมจะให้คุณนำต่อคุณไม่เอาแล้วคุณมาประชุมทำไมว่าควรจะให้พวก
ผมตัดสินว่า ควรจะตั้งพรรคหรือไม่ควรจะตั้งพรรค คุณก็ไม่ต้องประชุม
ไม่ต้องพูดเรื่องนี้เลย เมื่อคุณมาล่อให้ผมบอกจะตั้งพรรคดีไม่ดี
พวกผมก็บอกตั้งดีกว่า แล้วพวกผม 80 เปอร์เซ็นต์บอกตั้งดีกว่า แล้ว 70
กว่าเปอร์เซ็นต์บอกให้คุณเป็นหัวหน้าพรรคแล้วคุณไม่เอา
แล้วคุณมาประชุมทำไม ผมในฐานะหนึ่งในแกนนำผมต้องรับผิดชอบ

เติมศักดิ์ - แม้จะอยากพักก็ตาม

สนธิ - แม้จะอยากพักก็ตาม แต่ว่าผมไม่ได้กลัว
ต่างกับที่คุณบรรหารพูดว่าการทำพรรคการเมืองไม่ง่าย ผมกลับว่า
การชุมนุมต่อเนื่อง 193 วัน บริหารจัดการแบบนั้น ให้ ASTV ถ่ายทอดสด 24
ชั่วโมง ดูแลความปลอดภัย บริหารเรื่องอาหาร บริหารความขัดแย้ง
อันนี้ยากกว่าการทำพรรคการเมืองเยอะ
พรรคการเมืองที่ทำยากในสายตาคุณบรรหาร
ก็คือพรรคการเมืองซึ่งต้องไปขอเงินนายทุน เสร็จแล้วเรียก
ส.ส.มาจ่ายเงินไป แล้วเวลาขนเงินไปให้ตามจังหวัดต่างๆ ต้องระมัดระวัง
ต้องแตกแบงก์พันมาเป็นแบงก์ร้อย ม้วนๆ ม้วนละ 200 ต้องไปเจรจาตำรวจ
ต้องเจรจานายอำเภอ ผู้ว่า
บอกให้ปิดตาข้างนึงถ้าพรรคตัวเองซื้อเสียงแล้วไปจับพรรคตรงกันข้ามถ้าไม่
ซื้อเสียง นี่ซิบริหารยาก

เติมศักดิ์ - มันยากอย่างนี้นี่เอง

สนธิ - มันยากอย่างนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้วพอได้ ส.ส.เข้ามา
มันยากต้องติดต่อแกนนำพรรค แกนนำการจัดตั้งรัฐบาล ต้องขอร่วมด้วย
ตำแหน่งอะไรก็ได้ พอเขาให้ร่วมก็ไปเจรจาขอตำแหน่งที่ดีๆ มันก็ยากอย่างนี้
พอได้มาแล้วนายทุนพรรคบอกว่า ผมลงไป 100 ล้าน ผมขอนั่ง นี่ ส.ส.มีอยู่ 20
คน 10 คน บอกผมรับผิดชอบหาเสียง ส.ส.มา 10 คน คนละ 30 ล้าน 300 ล้าน
รัฐมนตรีต้องเป็นของผม นี่อีก 10 คนก็บอกว่า ก็ต้องเป็นของผม
มันยากตรงนี้ มันยากที่จิตมันไม่บริสุทธิ์ทำอะไรก็เลยยากไปหมด

สำหรับผมไม่ใช่เรื่องยาก จะไปยากได้ยังไง
เพราะผมตั้งเป้าไว้แล้วว่าวันนี้คือการสร้างบ้าน
เราได้ลงเสาหลักเอาไว้แล้ว 4 เสา เสาแรกคือ เสียสละ
เพราะเราได้ตัดสินใจแล้วว่า ปรัชญาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
คุณเติมศักดิ์ คุณว่าประชาชนที่มาประท้วง คุณหมอเสียสละไหม เสียสละ
พยาบาลเสียสละ นักธุรกิจจะเล็กจะใหญ่เสียสละทั้งนั้น
บางคนเป็นเจ้าของร้านซ่อมรองเท้า ปิดร้านซ่อมรองเท้ามาชุมนุมเจ๊งก็เจ๊งไป
มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นการ์ด เจ้าของร้านเสริมสวยอยู่ชุมพร
ก็ปิดร้านเสริมสวยไปตายเอาดาบหน้า เพราะว่าต้องการมาสู้เพื่อความถูกต้อง
คนพวกนี้เสียสละ เสียสละจริงๆ คนพวกนี้ซื่อสัตย์ไหม ซื่อสัตย์
เพราะก่อนที่เขาจะมาชุมนุม ก่อนที่เขาจะมาสู้กับรัฐบาลฉ้อฉล
สู้กับความไม่ถูกต้อง เขาจะเป็นคนยังไงผมไม่สนใจ
แต่เขามาด้วยจิตที่บริสุทธิ์แล้วเขามาด้วยความซื่อสัตย์
ซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมือง ซื่อสัตย์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ทุกคนซื่อสัตย์หมดเลย เขากล้าหาญไหมล่ะ น้องโบว์กล้าหาญไหม
น้องโบว์ลูกสาว น้องโบว์กำลังจะแต่งงาน พ่อแม่ก็มีตังค์ ฐานะก็ดี
เรียนก็สูง คุณแม่เป็นคนมีคุณธรรม คุณพ่อเป็นคนดี
ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทองเลย กล้าหาญไหม กล้าหาญ
มาโดนลูกปืนยิงหน้าอกทะลุ ตี๋ ชิงชัย แขนข้างขวาขาด
แล้วต้องเอามือซ้ายหัดวาดรูป กล้าหาญไหม กล้าหาญ เจ็กชุมพร ขาขาด 1 ข้าง
กล้าหาญไหม กล้าหาญ แล้วทำงานหรือเปล่าพวกเรา 193 วัน
เราบริหารมาได้ตลอดเวลาเราทำงานเป็น

เพราะฉะนั้นแล้วจิตวิญญาณตรงนี้ ดีเอ็นเอตรงนี้ของการเสียสละ
ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ทำงานเป็น มันเลยถูกผ่องถ่ายมาสู่การเมืองใหม่
และก็เป็นเสาหลัก 4 เสา เสาหลัก 4 เสา
ที่จะให้การเมืองใหม่ได้มีโอกาสได้บริหารประเทศ 1.เราต้องเสียสละ
เพราะว่าคนที่มาอยู่การเมืองใหม่
คนที่อยู่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เสียสละทุกคน
คนที่เข้าการเมืองใหม่ก็ต้องเสียสละ คนที่เป็น ส.ส.ก็ต้องเสียสละ
ไม่ใช่เข้าไปกอบโกย ผมยังหา ส.ส.ในสภาที่เสียสละ ที่นับจำนวนเกิน 20
คนยังหาไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ไม่ได้เสียสละ ส่วนใหญ่เข้าไปกอบโกยทั้งสิ้น
คนพวกนี้ซื่อสัตย์หรือเปล่า เราซื่อสัตย์มาแล้วจากการต่อสู้
เราก็นำความซื่อสัตย์ตรงนี้เอามาใช้ต่อไป กล้าหาญไหม
ก็ต้องกล้าหาญที่จะตัดสินใจ ตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์
เพราะเราไม่กลัวเพราะเราไม่มีผลประโยชน์ใคร
เรากล้าตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งชาติไม่ใช่ของนายทุน
เจ้าของบริษัทบางแห่ง ไม่ใช่เจ้าของสัมปทานบางคน ไม่ใช่

เติมศักดิ์ - เอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง

สนธิ - เอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้งตลอดเวลา
แล้วเราทำงานเป็นไหม เราทำงานเป็นแน่นอน ตรงนี้ต่างหากซึ่งเป็นอุดมการณ์
4 ข้อที่ผมต้องรักษาไว้ บ้านกำลังสร้างด้วยเสาหลัก 4 เสานี้
รากฐานได้ปูมาเรียบร้อยแล้ว กำลังสร้างขึ้นมา
ผมทำยังไงที่จะให้คนมาอยู่ในบ้านหลังนี้เข้าใจใน 4 ข้อนี้
ทำยังไงที่จะให้อุดมการณ์อันนี้คงดำรงอยู่ตลอดไป ผมไม่อยากให้ถามว่า
ผมจะได้ ส.ส.กี่คน ไม่สำคัญ ขอให้อุดมการณ์ 4 ข้อนี้อยู่
มันจะเป็นเสาหลักของการเมืองเมืองไทย ที่ทุกคนในที่สุด
ทุกคนจะเริ่มค่อยๆก้าวเข้ามา แล้วบอกว่านี่คือทางเลือก
ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย

เติมศักดิ์ - จะได้ ส.ส.กี่คน จะได้เป็นรัฐมนตรีไหม

สนธิ - ไม่สำคัญ เพราะเราไม่ได้สร้างการเมืองใหม่มาวันนี้
เพื่อไปเป็นรัฐบาลวันพรุ่งนี้ เราไม่ได้สร้างมาเพื่อแสวงหาอำนาจทันที
ไม่ใช่ การเมืองใหม่ก็คืออีกหนึ่งขาของการให้ปัญญาทางการเมือง
ผมเชื่อมั่นว่าถ้าเรามี ส.ส. 5 คน 10 คน 20 คน 30 คน ในสภาฯ 30 คน
จะกี่คนก็ตามของพรรคการเมืองใหม่ จะเป็นตัวอย่างนักการเมืองที่ดี
ที่สังคมไทยควรจะมี และควรจะเป็นตัวอย่างให้คนข้างนอกเขาไม่มีความท้อถอย
หรือเสื่อมคลายในการเมืองไทย

เติมศักดิ์ - เป็นจิตวิญญาณของการให้

สนธิ - ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว

เติมศักดิ์ - ไม่ใช่เอา แต่ว่าให้

สนธิ - ให้ตลอด

เติมศักดิ์ - ครับ พักสักครู่นะครับ แล้วกลับมาอีก
มีอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะคดีความต่างๆ
จะเป็นอุปสรรคต่อการเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง
ASTV กับพรรคการเมืองใหม่ รวมทั้งจะมาฟังความคิด
ความเห็นจากคุณผู้ชมทางบ้านที่เข้ามาเยอะมากวันนี้ และที่พลาดไม่ได้คือ
เกิดอะไรขึ้นที่บ้านคุณกอร์ปศักดิ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ถามกันมาก
ก็จะถามวันนี้ด้วย สักครู่ครับ


"สนธิ"เปิดใจ รับเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ช่วงที่ 2


เติมศักดิ์ - กลับมาเปิดใจคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ อีกช่วงหนึ่ง อย่างที่ได้คุยกับคุณสนธิ
เมื่อช่วงที่แล้ว เราก็ได้ข้อสรุปว่าพรรคการเมืองใหม่ น่าจะเป็นพรรคแรก
และพรรคเดียวในประวัติศาสตร์พรรคการเมืองในเมืองไทย
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ที่มีประวัติการก่อเกิดจากประชาชน
จากมวลชนอย่างแท้จริง และก็มีประวัติสืบทอดมาจากการต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา
และพระมหากษัตริย์ และมีประวัติศาสตร์ที่ประชาชนร่วมกันเขียนขึ้นมา

ช่วงนี้ ผมขออนุญาตมาที่ความเห็น และคำถามจากท่านผู้ชมทางบ้าน
จากจังหวัดต่างๆ คุณสนธิครับ
อุดรฯ บอกว่า ถ้าคุณสนธิ ได้เป็นนายกฯ จุดยืนในเรื่องต่างๆ
โดยเฉพาะเรื่องเขาพระวิหาร จะเหมือนเดิมไหม

สนธิ - คือถ้าพูดไปก็หาว่าจะรู้ได้อย่างไร ผมคิดว่า
เหมือนคำโบราณเขาบอก ถ้าดูช้างให้ดูหาง จะดูนางให้ดูแม่
คนๆหนึ่งจะมาวัดกันเฉพาะวันนี้อย่างเดียวไม่ได้
หรือจะมาบอกว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต้องดูประวัติสักนิดหนึ่ง

ผมคิดว่า 3 - 4 ปีที่ผ่านมา อย่าว่าแต่สู้กับอิทธิพล
สู้กับอำนาจรัฐเลย แม้กระทั่งความตายก็สู้มาแล้ว คุณเติมศักดิ์ครับ
คนที่ผ่านความตายมาแล้ว ผมเหมือนคนฟื้นใหม่ คนเกิดใหม่
ไม่อยากจะพูดแต่ข้อเท็จจริงคือมันรู้ซึ้งเกือบทุกอย่างแล้ว
รู้หมดทุกอย่างเป็นเรื่องอนิจจังหมด เป็นเรื่องไม่แน่นอน แล้วมันมีทุกข์
ในที่สุดจบด้วยอนัตตา คือไม่มีอะไร เรื่องสมมติทั้งนั้น
ผมเคยเห็นคนที่ยิ่งใหญ่ใหญ่กว่า พล.อ.อนุพงษ์
ผมเคยเห็นคนที่ใกญ่กว่าคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ วันนี้หายไปไหนหมดละ
คุณสมัคร สุนทรเวช เห็นไหม ไปไหนละ คุณเฉลิม ก็เคยใหญ่ สมัย พล.อ.ชาติชาย
แล้วก็ไปเล็กกระจิดริดอยู่ห้องเล็กๆห้องเดียว อยู่กับลูกเมีย 4-5 คน
ที่ต่างประเทศ

เติมศักดิ์ - ที่เดนมาร์ก

สนธิ - ล้วคุณเฉลิมก็กลับมาใหญ่อีกครั้ง
แล้วคุณเฉลิมก็ยังไม่รู้อนาคตจะไปที่ไหนอีกต่อไป
คุณเฉลิมไม่รู้ตัวคุณเองหรอก ผมก็ไม่รู้ตัวผมเอง แต่ผมรู้อยู่แน่ๆ
เนื่องจากผมรู้ว่ามันเป็นอนิจจัง เพราะฉะนั้นแล้ว การทำงานเพื่อแผ่นดิน
เป็นเรื่องที่ถูกต้องมากที่สุด แล้วการยึดถือสัจจะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คำพูดที่เราเคยพูดไปว่า ต่อกรณีเรื่องนี้
เราจะต้องทำอย่างนี้ต้องทำอย่างนี้ แล้วคนก็บอกว่า
คุณสนธิเคยพูดไม่ใช่เหรอว่าจะไม่เล่นการเมือง
ผมเคยพูดว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง

เติมศักดิ์ - จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง

สนธิ - มีคนเคยถามผม บอกสู้ครั้งนี้หวังให้คุณทักษิณ
ให้ตำแหน่งทางการเมืองใช่ไหม บอกไม่ใช่
ผมยืนยันบอกว่าไม่รับตำแหน่งทางการเมือง
แต่การเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองคือการสร้างบ้าน
เมื่อสร้างเสร็จแล้วผมไม่จำเป็นต้องรับตำแหน่งทางการเมือง ผมจะไปรับทำไม
เพราะภารกิจหน้าที่ผมคือการสร้างบ้าน สร้างบ้านให้มันน่าอยู่

ถ้าคุณดูประวัติศาสตร์การเมืองไทยคุณเติมศักดิ์ ผมคิดว่า ชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นหลัก สถาบันพระมหากษัตริย์ สำหรับผม
สำหรับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีความจำเป็นต้องมีอยู่
แน่นอนที่สุด นั่นคือจุดยืนที่เราสู้มาตลอด

สถาบันกษัตริย์หวังพึ่งการเมือง หรือหวังพึ่งกองทัพ
ต้องพึ่งกองทัพ เพราะว่ากองทัพมีวินัย มีระเบียบ
และกองทัพเป็นกองทัพซึ่งถวายความจงรักภักดีมานาน
แต่ในช่วงหลังผมค่อนข้างเชื่อว่าสถาบันกษัตริย์พึ่งกองทัพต่อไปไม่ได้
เพราะผู้นำกองทัพบางคน แสดงทีท่าที่ไม่เต็มร้อยกับสถาบันกษัตริย์
สถาบันกษัตริย์จะกลับมาพึ่งทางการเมืองได้ไหม ก็ไม่ได้อีก
ถ้าพูดในอีกรูปแบบหนึ่งก็คือว่า การเมืองใหม่ คือการทำให้การเมืองมั่นคง
มีจริยธรรม มีคุณธรรม
เพื่อที่สถาบันกษัตริย์จะได้หันกลับมาพึ่งทางการเมืองได้
หลังจากที่เคยพึ่งกองทัพแล้ว ต่อมาภายหลังกองทัพเริ่มจะพึ่งไม่ได้
เพราะกองทัพดันไปจับมือกับการเมือง
เราก็ต้องทำการเมืองอันนี้ขึ้นมาเพื่อค้ำจุน ปกป้องสถาบันกษัตริย์เช่นกัน
ภาคประชาชนปกป้องสถาบันกษัตริย์ ภาคประชาชนมาทำการเมือง
การเมืองจะต้องปกป้องสถาบันกษัตริย์เช่นกัน

เติมศักดิ์ - เจตนารมณ์ของภาคประชาชนอย่างไร
เจตนารมณ์ของพรรคการเมืองที่สืบทอดกันมา

สนธิ - ไม่มีเปลี่ยนแปลงครับ ทุกประเด็น

เติมศักดิ์ - ขอนแก่น บอกว่า กลัวคุณสนธิจะเปลี่ยนไป
เมื่อมาลงการเมือง กลัวจะหลงในอำนาจ

สนธิ - ก็ผมถึงบอกไง พี่น้องที่ขอนแก่นจริงๆแล้ว
วันนี้ผมไม่ต้องมาทำพรรคการเมืองใหม่หรอก อำนาจแฝงผมเอยะมาก
ผมได้มาจากไหนละ ประชาชนให้ ผมไม่เคยหลงเลย

เติมศักดิ์ - สีลมบอก อยากรู้ว่าคุณสนธิ คุยกับนายกฯเรื่องอะไร
ที่บ้านกอร์ปศักดิ์

สนธิ - ไม่ได้ไป ไม่ได้คุยเลย เข้าใจผิดกันหมดเลยทุกคน

เติมศักดิ์ - ที่เป็นข่าว ลงในข่าวสด พาดหัวบอก
"สนธิคุยมาร์คเรื่อง ผบ.ตร. เรื่องเลขาธิการนายกฯ"

สนธิ - ผมไม่ได้ไป ผมยังไม่รู้เลยว่าบ้านคุณกอร์ปศักดิ์อยู่ที่ไหน
เขียนกันไปเอง เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ช่างมันเถอะ ผมไม่สนใจเรื่องนี้

เติมศักดิ์ - แต่ถ้ามีโอกาสได้เจอกับนายกฯ
ถ้าให้คำแนะนำอะไรได้บ้าง และถ้านายกฯ ฟังจะแนะนำนายกฯ ณ
นาทีนี้จะแนะนำเรื่องอะไร

สนธิ - ผมจะบอกให้นายกฯ ใช้อำนาจในฐานะเป็นนายกฯ
ให้เต็มที่กว่านี้ ผมอยากจะเห็นท่านนายกฯ มีความกล้าหาญมากกว่านี้
บอกท่านนายกฯ อย่าไปยึดติดกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และผมก็เชื่อว่า
พรรคภูมิใจไทยไม่กล้าถอนตัวหรอก
เพราะพรรคภูมิใจไทยยังไม่พร้อมจะเลือกตั้ง รวมทั้งพรรคร่วมฯ ต่างๆด้วย
เพราะฉะนั้นแล้วนายกฯ สามารถที่จะใช้ตัวนี้ เพราะฉะนั้นนายกฯ
ไปกลัวมากจนเกินไป ว่าเขาจะถอนตัว เลยไม่เป็นตัวของตัวเอง

เติมศักดิ์ - ชุมพรบอก ถ้าเป็นนายกฯ คุณสนธิ
มีนโยบายแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นอย่างไร

สนธิ - อันนี้เป็นปัญหาหลักของเราเลย คอร์รัปชั่นปีๆหนึ่ง
งบประมาณแผ่นดิน 1,800,000 ล้านบาท บวกกับงบไทยเข้มแข็งอีก 800,000 ล้าน
2,600,000 ล้านบาท คุณเติมศักดิ์

คุณอภิสิทธิ์เองยังยอมรับในการพูดกล่าปาฐกถาในวันคอร์รัปชั่นโลก
ท่านบอกว่า เมืองไทยคอร์รัปชั่นประมาณ 20 - 40 เปอร์เซ็นต์ คุณเติมศักดิ์
คุณจะเอาตัวเลขที่ 20 หรือ 40 เอา 30 เปอร์เซ็นต์ ตรงกลางแล้วกัน
30 เปอร์เซ็นต์ ของ 2,600,000 ล้านบาท 30 เปอร์เซ็นต์ นี่ 780,000 ล้านบาท

เติมศักดิ์ - เกือบ 800,000 ล้าน

สนธิ - เกือบ 8 แสนล้าน ถ้าเราต่อสู้กับมัน ปราบปรามมันให้ได้
คนไทยไม่จนหรอกนะ ไม่มีคนจนเหลือในเมืองไทย เพราะจะเห็นได้ว่า
การฉ้อราษฎร์บังหลวง คอร์รัปชั่น คือมะเร็งร้ายของสังคม
ซึ่งมันแผ่กระจายไปที่ตับ ที่ไต ที่ปอด ไปหมดแล้วทั่วร่างกาย
เราต้องปราบให้ได้ ถ้าเราปราบไม่ได้ ชาติบ้านเมืองจะไม่มีเหลืออยู่
คนบางคน เป็นนักการเมืองฝั่งคุณทักษิณ แล้วหนีออกมา
แล้วบอกว่าทนไม่ไหวที่เห็นคุณทักษิณ จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์
ผมเป็นคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมกาษัตริย์ พูดอยู่แค่นี้
แต่พรรคตัวเองนี่คอร์รัปชั่น โกงกินทุกโครงการ
คือพูดง่ายๆว่ากำลังจะบอกว่า เออ
ถ้าไม่ไปยุ่งกับสถาบันกษัตริย์เหมือนคุณทักษิณยุ่ง
ขอโกงกินอย่างเดียวไม่มีใครว่า แต่นี่คือการทำลายสถาบันกษัตริย์ทางอ้อม

ถ้าชาติบ้านเมืองมันพังทลายเพราะคอร์รัปชั่นสถาบันกษัตริย์จะอยู่ได้อย่างไร
เข้าใจไหมครับ คนพวกนี้พูดอะไรผมรู้ทันหมด

เติมศักดิ์ - ไม่ใช่ความจงรักภักดีที่แท้จริง

สนธิ - อ้างขึ้นมาเท่านั้นเอง หาเหตุปลีกตัว

เติมศักดิ์ - น่านบอกว่า มีนักการเมืองท้องถิ่นโจมตีว่า
พรรคการเมืองใหม่เป็นพรรคของคนชั้นสูง คนชั้นกลาง ไม่สนใจหรอกคนชั้นล่าง

สนธิ - คุณรู้ได้อย่างไร จ.น่าน ผมเสียดายเป็นจังหวัดเสื้อแดง
แทบจะทั้งจังหวัด เป็นของธรรมดา
แต่คนน่านที่มีสติปัญญาก็ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง
พรรคการเมืองใหม่จะเโดยส่วนรวม
เพียงแต่พรรคการเมืองใหม่ไม่คอร์รัปชั่นเท่านั้นเอง
ผลประโยชน์ของการไม่คอร์รัปชั่น มันไม่ได้ตกอยู่กับคนชั้นสูง
คนชั้นกลางนี่

เติมศักดิ์ - มันตกอยู่กับสังคมโดยรวม ทุกชนชั้น

สนธิ - แล้วอีกอย่าง ถ้าดูให้ดีๆแล้ว การชุมนุมพันธมิตรฯ
ที่มีทั่วประเทศนั้น คนหาเช้ากินค่ำก็เป็น
แม่ค้าแถวตลาดแถวนี้ก็เป็นพันธมิตรฯ ฉะนั้นคุณจะพูดไม่ได้
เพราะว่าคุณไม่ได้เข้ามาร่วมการชุมนุม คุณไม่เห็นหรอกว่า
วงๆหนึ่งมีไฮโซมานั่งฟังการปราศรัย เปิดตะกร้าปิกนิกออกมา
มีปลาแซลมอนรมควัน มีชีสเนยแข็งของเมืองนอก มีไวน์กิน
แล้วติดกันซึ่งนั่งอยู่วงเดียวกัน คนอีสานจากขอนแก่น กินเจ่ว กินปลาร้า
กินหมูย่าง กินส้มตำ แล้วทั้ง 2 วงก็นั่งคุยกัน
แลกเปลี่ยนปัญหาซึ่งกันและกัน

เติมศักดิ์ - ก็เหมือนกับมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ก็มีทั้งลูกเศรษฐี ลูกชาวนา

สนธิ - คือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ได้สร้างภราดรภาพขึ้นมา ภราดรภาพของคนมี คนไม่มี ให้เข้ามาร่วมกัน
ด้วยจิตที่ซื่อสัตย์ เท่าเทียมกันหมด ก็คือซื่อสัตย์ต่อชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นแล้ว คนชนชั้นล่าง
กลับเป็นคนที่ผมคิดว่าจะได้ประโยชน์จากพรรคการเมืองใหม่
มากกว่าชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงด้วยซ้ำ

เติมศักดิ์ - นนทบุรี บอกว่าอยากให้ผู้สมัคร
ส.ส.ของพรรคไปอบรมที่โรงเรียนผู้นำของลุงจำลองก่อน เซ็นเตอร์พอยท์
บอกว่าอยากให้มีพรรคการเมืองใหม่ในภาคเยาวชน มีถามว่า คุณสนธิ
จะทำอย่างไรกับพันธมิตรฯ
บางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่

สนธิ - เราผ่านตรงนั้นไปแล้ว เราเรียกประชุมทุกคนแล้ว
มติส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ ผมคิดว่าก็ต้องเคารพมติกัน ถ้าคุณไม่เคารพมติ
แล้วคุณจะมาขวางก็แสดงว่าคุณไม่ใช่พันธมิตรฯ

เติมศักดิ์ - หลังสวน หาดใหญ่ ฉะเชิงเทรา
บอกภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ
และยินดีที่คุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่

สนธิ - ขอบคุณครับ

เติมศักดิ์ - เรื่องคดีความต่างๆ คุณสนธิครับ
จะเป็นอุปสรรคต่อการเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองของคุณสนธิ ไหมครับ

สนธิ - ไม่เป็นหรอก เพราะคดีความนั้น
ถ้าศาลฎีกายังไม่ถึงที่สิ้นสุดแล้ว ผมก็ยังเป็นได้อยู่ แต่ถ้าสิ้นสุด
แล้วผมต้องติดคุก ก็ไปติด ก็เลือกหัวหน้าพรรคใหม่
ผมไม่เห็นมันยุ่งยากตรงไหน ผมไม่ได้ยึดติดอะไรอยู่แล้ว ไม่มีอะไรยากเลย
แต่กว่าจะถึงวันนี้ก็อีกหลายปี พรรคการเมืองใหม่คงมั่นคง เเน่นเเฟ้น
เดินไปข้างหน้าอย่างดีแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าพรรคอีกต่อไป

เติมศักดิ์ - ความสัมพันธ์ระหว่าง ASTV กับพรรคการเมืองใหม่
ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรครับคุณสนธิ

สนธิ - สัมพันธ์ยังเหมือนเดิม อยู่บนพื้นฐานของความจริง
สัมพันธ์บนพื้นฐานของการทำงานที่เสียสละ ASTV ก็เสียสละ
พรรคการเมืองใหม่ก็ซื่อสัตย์ ASTV ก็ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ
พรรคการเมืองใหม่มีความกล้าหาญ ASTV
ก็กล้าหาญที่จะรายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมา พรรคการเมืองใหม่ทำงานเป็น ASTV
ก็ทำงานเป็น ผมไม่เห็นมีความขัดแย้งอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

คุณทักษิณสมัยก่อน เป็นเจ้าของไอทีวี ใช่ไหม
มีลูกพรรคชื่อคุณประชา มาลีนนท์ ซึ่งตระกูลมาลีนนท์ เป็นเจ้าของช่อง 3
ถูกไหม ควบคุมรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเป็นลูกพรรคของคุณทักษิณ ก็ดูแลกองทัพบก
ควบคุมช่อง 5 อีก ช่อง 5 เป็นเจ้าของสัมปทานช่อง 7 เข้าใจยัง ช่อง 11
ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของพรรคไทยรักไทย ช่อง 9
ก็ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เพราะฉะนั้นโดยสื่อมวลชนโดยพื้นฐาน
คุณทักษิณคุมหมด สมัยก่อน มิหนำซ้ำแล้ว
คอลัมนิสต์อีกหลายคนยังรับเงินรับทองกับฝ่ายพรรคไทยรักไทย
บางคนเป็นคอมลัมนิสต์ใหญ่ ตอนนี้ก็เที่ยววิ่งเต้น
เพื่อจะล้มรัฐบาลประชาธิปัตย์

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัด
ว่าไม่ต้องมากังวลเรื่องเกี่ยวกับสื่อมวลชนทางสายพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว
คุณไปกังวลสื่อมวลชนสายพวกคุณดีกว่า เพราะพวกคุณเป็นอย่างนี้มานานแล้ว
ไม่ต้องมากระแนะแหนผมว่า ผมมาแล้ว ASTV จะเป็นอย่างไร คน ASTV
มีปัญญาทุกคน และคน ASTV สั่งไม่ได้ ให้หันซ้ายหันขวา
ตราบใดที่เอาความจริงมาพูด ความซื่อสัตย์มาพูด ความเสียสละ
และความกล้าหาญมาพูด ซึ่งมันเป็นปรัชญาเดียวกันกับ ASTV
แล้วผมจะต้องไปวิตกทำไม

เติมศักดิ์ - พูดถึงตรงนี้ เมื่อมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองแล้ว
กรตอบโต้กับสื่อมวลชน ซึ่งบางส่วนอาจจะเข้าใจจริงๆ คิดอย่างนั้นจริงๆ
หรือบางส่วนอาจจะแกล้งโง่ก็แล้วแต่ มันต้องสุขุมขึ้นหรือเปล่า
เมื่อมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองแล้ว

สนธิ - พูดจาสุภาพขึ้น

เติมศักดิ์ - อย่างนักการเมืองต้องเป็นมิตรกับสื่อมวลชน

สนธิ - ของผมไม่มีคำว่ามิตร หรือศัตรูกับสื่อมวลชน
ผมมีแต่ความจริง และความเท็จครับ มีอยู่แค่นั้น
ถ้าความจริงผมทำให้สื่อมวลชนบางฉบับ นักจัดรายการบางคนไม่พอใจ
เพราะไปกระทบตัวเขาเข้า ผมไม่รู้จะทำอย่างไร
เพราะว่าผมได้รับพรจากพ่อแม่ครูอาจารย์มาตั้งแต่ผมเริ่มสู้คุณทักษิณ
เมื่อปี 2548 ท่านบอกว่า สนธิให้เอาธรรมนำหน้า ผมก็เอาธรรมนำหน้ามาตลอด
ผมก็ไม่คิดว่าอะไรมันจะยิ่งใหญ่กว่าธรรม
เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่มีอะไรที่จะเกรงใจใคร หรือกลัวใคร
หรือแข็งกร้าวกับใคร ผมเป็นเพียงแต่ธรรมนำหน้า เอาความจริงมาพูด
รับได้ก็ดีไป รับไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

เติมศักดิ์ - คุณสนธิ ก้าวออกจากบทบาทของสื่อมวลชนที่ยืนหยัดมา
น่าจะมากกว่า 30 ปี เกือบ 40 ปี มายืนในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่
เมื่อย้อนกลับไปในฐานะความเป็นนักข่าว ความเป็นผู้บริหารสื่อ
อยากฝากอะไรกับทำหน้าที่สื่อมวลชนในยุคนี้ไหมครับ

สนธิ - ผมอยากจะฝากว่าวิชาชีพนี้มันพังทลายหมดแล้ว ผมพูดตรงๆนะ
พังทลายหมดแล้ว ใช้คำนี้ได้เลย
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสื่อมวลชนเมืองไทยไม่สนใจแม้กระทั่งการที่ประเทศชาติ
จะเสียดินแดน ผมนึกไม่ถึงจริงๆ และไม่มีใครสนใจด้วย ไม่มีใครสนใจจริงๆ
และเป็นครั้งแรกที่มีสื่อมวลชนไม่กี่แห่ง ASTV 1 ผู้จัดการ 2 ไทยโพสต์ 3
ที่เน้นเรื่องราวต่างๆที่คุณทักษิณทำ
ปัญหาชาติบ้านเมืองวุ่นวายเพราะคุณทักษิณคนเดียวนะครับ

เหมือนกับที่วันนี้คุณเติมศักดิ์เอาเรื่องของคุณเปลว สีเงินมาพูด
คุณเปลวพูดได้ถูกต้องเลย พรรคเพื่อไทย
หนังสือพิมพ์ไม่เคยตั้งคำถามถามว่าพรรคเพื่อไทยถึงไม่ตรวจสอบคุณทักษิณบ้าง
ทุกเรื่อง แต่พอผมเป็นหัวหน้า ลงข่าวทันที
ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังจะตรวจสอบว่าผมมีคดีไหนบ้างที่จะทำให้ผิดคุณสมบัติ
สื่อมวลชนเมืองไทยไม่ใช่ว่า ต้องปรับเปลี่ยน ปรับเปลี่ยนไม่ได้แล้ว
เพราะพังทลายหมดแล้ว มาตรฐานต่ำมากๆ
นี่ผมพูดในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ด้วยนะ เพราะผมพูดความจริง

เติมศักดิ์ - ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่
หรือในฐานะคนที่ทำสื่อสารมวลชนมา 30 ปี

สนธิ - ถูกต้อง โอกาสผมมีความรู้สึกว่าผมเสียดาย
และเด็กรุ่นใหม่ก็ก้าวขึ้นไปสู่วงจรอุบาทว์ของสื่อมวลชน
การเมืองก็มีวงจรอุบาทว์ สื่อมวลชนก็มีวงจรอุบาทว์ ถูกสั่งถูกสอนมา
ใช้อคติมากกว่าความเป็นจริง เราเห็นมาตลอด มันเป็นความขมขื่น เจ็บปวดมาก
ตั้งแต่วันที่หนังสือพิมพ์ข่าวสด หรือมติชนพาดหัวว่า ตี๋แขนขาด
มือหนึ่งกำระเบิดอยู่ ทั้งที่ในมือเขากำพวงกุญแจ ตรงนั้นผมรับไม่ได้จริงๆ
เรื่องหลายเรื่องที่ควรจะเป็นเรื่องซึ่ง เป็นเหยื่ออันโอชะของสื่อมวลชน
ที่จะเข้าไปสู้ เหมือนเรื่องบางเรื่อง ที่มันเป็นเรื่อง เช่นกรณีอดีต
ผบ.ตร.มีบ้านไม้สักทอง ทำไมมีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ASTV
ทำเพียงฉบับเดียว เพราะเขาเห็นว่าเป็นของ ASTV ก็ไม่อยากทำ
สื่อมวลชนคิดอย่างนี้ก็ผิดแล้วนะ

ที่เมืองนอกผมจำได้ บ็อบ วู้ดเวิล์ด กับคาร์ล เบิร์นสตีน 2
นักข่าวหัวเห็ดจากวอชิงตันโพสต์ ไปทำกรณีของพรรคริพับลิกัน
แอบดักฟังเสียง แอบดับฟังโทรศัพท์ของผู้สมัครพรรคเดโมแครต
แล้วรายงานออกมา พอรายงานออกมาปั๊บเขามีแหล่งข่าวรายงานให้
คุณรู้ไหมนิวยอร์กไทมส์ วอชิงตันไทมส์ แอลเอไทมส์
ทุกคนกระโจนเข้าไปขย่ำข่าวชิ้นนี้แล้วแข่งกันตลอดเวลา
แข่งให้สังคมเห็นว่า ใครได้ข่าวลึกกว่ากัน เมืองไทยหรอ อ๋อข่าวนี้ของ
ASTV ผู้จัดการ อย่าไปลงมันเลย

เติมศักดิ์ - ทั้งๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

สนธิ - 1.มันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างสูง และ
2.มันเป็นเรื่องท้าทายวิชาชีพ ฝรั่งไม่เคยคิด
ฝรั่งมีแต่อย่าให้มันลงก่อนนะ แต่ถ้าลงไปแล้วฉบับหน้าต้องล้ำกว่ามัน

เติมศักดิ์ - ต้องลึกกว่า

สนธิ - ลึกกว่า
ผมถึงบอกสื่อมวลชนเมืองไทยมันล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว
ผมก็เลยอยากตั้งคำถามถามถึง หาเรื่องอาจารย์อีกแล้ว
อาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนวงการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์
ว่าคิดถึงประเด็นพวกนี้บ้างหรือไม่ว่ามันพังทลาย
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คนไม่อยากเป็นสื่อมวลชนกัน
คนอยากจะเป็นคนที่อยู่หน้าจอทีวีมากกว่า ดาราทางสื่อมวลชน
เดี๋ยวนี้สื่อมวลชนเริ่มมีดาราแล้วนะ

เติมศักดิ์ -
คุณสนธิกำลังจะเปลี่ยนจากบทบาทของผู้ตรวจสอบทั้งในแง่การทำสื่อสารมวลชนมาตลอด
การเป็นผู้นำภาคประชาชนก็บทบาทตรวจสอบ

สนธิ - เป็นผู้ถูกตรวจสอบ

เติมศักดิ์ - แต่ว่าวันนี้มาเป็นผู้ถูกตรวจสอบ

สนธิ - ผมพร้อม ผมพร้อม เพราะว่าผมลุกขึ้นมาสู้ตั้งแต่ปี 48
ก่อนที่ผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมถูกเขาตรวจสอบตลอด ผมถูกตรวจสอบ ผมถูกกล่าวหา
ผมถูกให้ร้ายป้ายสีมาตลอด ตลอดเวลาไม่ใช่แค่ถูกตรวจสอบอย่างเดียวนะ
ถูกให้ร้ายป้ายสีตลอดเวลา ผมไม่รู้สึกอะไรเลย

เติมศักดิ์ - ตั้งแต่ทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบก็โดนตรวจสอบมาตลอดเวลา

สนธิ - โดนตรวจสอบมาตลอด โดนตรวจสอบไม่ว่าแต่โดนให้ร้ายป้ายสีบ่อยมาก

เติมศักดิ์ - มีคำถามจากคุณผู้ชมที่ฝากผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแนวนโยบาย
เขาพูดถึงเรื่องรัฐวิสาหกิจกับผลประโยชน์ของชาติ เรื่องธุรกิจการค้าขาย
เรื่องการต่อสู้กับทุนข้ามชาติ เรื่องที่ดินทำกิน เรื่องราคาผลผลิต
เรื่องการศึกษา หรืออย่างเรื่องมาบตาพุด ที่มีมลพิษและต้องระงับโครงการไป
คุณสนธิมีวาระเกี่ยวกับประเด็นทางสาธารณะอย่างไร
ผ่านนโยบายพรรคการเมืองใหม่อย่างไร โดยคร่าวๆ

สนธิ - วาระผมคร่าวๆ คือ ผมคิดว่าทุกอย่างสังคมโดยรวมจะต้องได้
เหมือนกับกรณีของมาบตาพุด มาบตาพุดผิดตั้งแต่เริ่มแรก
การทำศูนย์อุตสาหกรรมในเชิงปิโตรเคมิคอล จะไปทำริมทะเลมันไม่ควรจะทำ
มันควรทำเข้าไปในแผ่นดินประมาณ 100 กิโล หรือ 150 กิโล แล้วสร้างทางรถไฟ
ริมทะเลควรทำเป็นท่าเรือน้ำลึกอย่างเดียว
แต่ปรากฏว่าตอนนั้นมันเป็นความโลภของกลุ่มธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจต้องการที่จะมีกำไรมากกว่าเก่า
แทนที่กำไรจะลดน้อยลงเพราะการขนส่งจะมีระยะเวลา รัฐบาลก็ตาบอด
ไร้ซึ่งปัญญา ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวม
ถ้าทำเพื่อส่วนรวมรัฐบาลต้องมองเห็นว่า
เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมจะทำให้เกิดมลพิษ
และจะทำให้มูลค่าการท่องเที่ยวมันเท่ากับ 0
ระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ริมทะเลกับการท่องเที่ยว
ผลประโยชน์โรงงานอุตสาหกรรมมันเห็นชัดภายในระยะเวลา 1-2 ปี แต่ว่าอีก
10-2 ปี โรงงานอุตสาหกรรมตรงนั้นอาจจะไม่มีแล้วก็ได้
เพราะอุตสาหกรรมปิโตรเคมิคอลอาจไม่มีใครต้องการแล้ว แต่ตอนนั้นถ้าไปแล้ว
ระยอง มาบตาพุด กลายเป็นศพไปเรียบร้อยแล้ว
กลายเป็นดินแดนร้างที่ไม่มีคนไปท่องเที่ยวเพราะมีแต่มลพิษ
เพราะฉะนั้นแล้ว แนวนโยบายของผมที่มีต่อเรื่องพวกนี้ ประชาชนต้องมาก่อน
และสิ่งแวดล้อมต้องไปคู่กับประชาชน เพราะสำหรับผมแล้ว
การท่องเที่ยวหรือสิ่งแวดล้อมที่ดีนั้น
มันสามารถจะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ และมันยั่งยืนไปตลอดชีวิต
จะกี่รุ่นกี่ชาติก็ตามมันยังคงอยู่เหมือนเดิม
เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ต้องคิดถึงส่วนรวม อย่าไปคิดถึงเรื่องส่วนตัว
หรือแม้กระทั่งนโยบายรัฐวิสาหกิจ
ผมมีนโยบายที่จะไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจเด็ดขาด
กรณีที่รัฐวิสาหกิจนั้นมีความสำคัญและเป็นกิจการสาธารณูปโภค
และเป็นรัฐวิสาหกิจที่เป็นยุทธศาสตร์ของชาติ เช่น ปตท. เช่น การไฟฟ้า
เช่น การประปา

เติมศักดิ์ - ที่แปรไปแล้วก็จะเอากลับมา

สนธิ - จะหาทางเอากลับมาให้ได้

เติมศักดิ์ - นี่คือหัวใจของความเป็นพรรคการเมืองใหม่

สนธิ - ถูกต้อง รักษาผลประโยชน์ของชาติ
ดูแลแบ่งผลประโยชน์ทุกอย่างลงไปสู่ประชาชน
พรรคการเมืองใหม่จะต้องบอกทุกคนว่า
ทุกคนจะต้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสมดุล ความสมดุลเกิดขึ้นได้ตรงไหน
ความสมดุลเกิดขึ้นได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่
และกลุ่มธุรกิจซึ่งน้อยกว่าประชาชนมาก
จะสร้างอย่างไรให้เกิดความสมดุลทั้ง 2 ฝ่าย ความสมดุลฝ่ายแรก คือว่า
ทุนผมไม่ปฏิเสธ แต่ทุนสามานย์ผมไม่เอา ในขณะเดียวกัน
กลุ่มธุรกิจต้องการกำไร ผมเห็นด้วย แต่กำไรจนเกินควรผมก็ไม่เอา
กำไรบนความลำบากยากเย็น บนสินค้าที่ไม่ดี
บนสิ่งแวดล้อมที่ต้องพังทลายไปผมไม่ยอม เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่
ถ้าการเมืองใหม่มีอำนาจในรัฐบาล
กลุ่มธุรกิจจะต้องยอมรับว่าจะทำธุรกิจแบบเดิมต่อไปไม่ได้
จะกำไรแบบบ้าเลือดเหมือนเดิมก็ไม่ได้เช่นกัน ทุกคนต้องยอมรับ
คำถามที่ผมจะตั้ง นโยบายพรรคการเมืองใหม่ก็คือว่า
ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันในการทำมาหากิน
มันแปลลึกซึ้งมากนะคุณเติมศักดิ์

เติมศักดิ์ - เสรีภาพในการทำมาหากิน

สนธิ - เท่าเทียมกัน มันแปลว่า ทุนใหญ่รังแกทุนเล็กไม่ได้นะ
พอแปลต่อไปก็หมายว่า แม็คโคร โลตัส คุณจะมารังแกโชห่วยไม่ได้
แต่คุณมีสิทธิ์ทำ วิธีทำคุณต้องทำยังไง 1 คุณต้องไม่อยู่ในชุมชน
คุณต้องออกไปข้างนอก แล้วคุณแตกลูกแตกหลานเป็นโลตัสเอ็กซ์เพรสก็ไม่ได้
เพราะทุนคุณใหญ่กว่าเขา
ถ้าคุณทำอย่างนี้แล้วเท่ากับว่าประเทศไทยถูกทุนใหญ่บังคับทุนเล็กให้เจ๊ง
นั่นคือที่มาของว่า ทุนถึงซื้อการเมืองได้
มันสะท้อนออกมาหมดในทางการเมืองด้วย

เติมศักดิ์ -
สุดท้ายหลายคนถ้าฟังคุณสนธิให้สัมภาษณ์ก็ต้องฟังคุณสนธิวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงใกล้ๆ
นี้ คุณสนธิมองอย่างไร

สนธิ - ผมว่าไม่มีใครอยากยุบสภาหรอก ท่านนายกฯ ก็ไม่อยากยุบสภา
ภูมิใจไทยทำเก่งนัก ภูมิใจไทยลึกๆ อยากอยู่ถึงปีหน้า สิ้นปีหน้า
อยากจะอยู่อีก 1 รอบงบประมาณ กำลังอร่อยเลย เคี้ยวมันเลย
พรรคนี้ไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากเคี้ยวอย่างเดียว เรื่องอื่นไม่สนใจ
วันดีคืนดีก็ยกมือบอกว่าผมจงรักภักดี ทีนี้ผมมามองอย่างนี้ ผมมองว่า
มีความเคลื่อนไหวผิดปกติมากในเดือนตุลาคมนี้

เติมศักดิ์ - ซึ่งเริ่มแล้วใช่ไหมครับ

สนธิ - เริ่มแล้ว ผมเข้าใจว่ายังมีความพยายามที่จะโค่นล้มนายกฯ
อภิสิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นบีบให้ยุบสภาโดยเร็วเพื่อจะเลือกตั้งใหม่
คุณทักษิณถึงกับประกาศเลยว่าตัวเองจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคปีหน้า
ผมไม่รู้ว่าคุณทักษิณเอาพื้นฐานอะไรมาพูด นอกเสียจากว่า
คุณทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนในการโค่นล้ม
หรือว่าเป็นหัวหน้าส่วนไม่ใช่ส่วนหนึ่ง
แต่ประเด็นที่ผมกำลังกังวลก็คือว่า
ในขณะนี้ตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมา
ยังไม่มีการทำถูกให้เป็นถูกผิดให้เป็นผิด ดีให้เป็นดีชั่วให้เป็นชั่ว
ทุกอย่างยังลูบหน้าปะจมูกเหมือนเดิม คนจะพูดเรื่องสมานฉันท์
คนจะพูดบอกว่า ประชาชน 2 ฝ่ายจะฆ่ากันเอง ก่อนจะพูดคำนี้ คำถาม
คนจะต้องถามก่อนว่า ประชาชนแต่ละฝ่ายเขามีจุดยืนกันอย่างไร ตัดคำว่า
จะฆ่ากันเองออกเสียก่อน ผมยังหาไม่พบเลยว่า
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พวกเสื้อเหลือง
มีอะไรที่เป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ผมยังหาไม่เจอ เขารักชาติ
เขาไม่ต้องการให้ชาติสูญเสียไปมากกว่านี้
เขาไม่ต้องการให้ชาติเสียแผ่นดิน ผิดหรอ เขารักศาสนา
เขาอยากให้คนสนใจศาสนามีจิตวิญญาณ เข้าวัดเข้าวามากขึ้น ภาวนามากขึ้น
ส่งเสริมพระดีๆ ส่งเสริมศาสนาที่กล่อมเกลาคน เขาผิดตรงไหน
เขารักพระมหากษัตริย์ เพราะเขาเชื่อว่าเมืองไทยไม่มีพระมหากษัตริย์ไม่ได้
ผมยังไม่เห็น แล้วเขาต่อต้านคุณทักษิณเพราะว่า
คุณทักษิณกำลังจะทำผิดให้เป็นถูก กำลังจะแก้รัฐธรรมนูญ
กำลังจะยกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องติดคุก
เขาสู้ในสิ่งซึ่งมันถูกต้องหมดทุกเรื่อง มาดูกลุ่มคนเสื้อแดง
และพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากทำเพื่อคุณทักษิณคนเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คำวิเคราะห์ของ อ.นิธิ ที่บอกว่า
ประชาชนจะฆ่ากันเอง คุณนิธิวิเคราะห์จากประเด็นไหน ถ้าประชาชนจะฆ่ากันเอง
คุณนิธิต้องวิเคราะห์ว่า คุณทักษิณ และกลุ่มเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย
จะหาเรื่องเพื่อมาฆ่าประชาชนฝ่ายเสื้อเหลือง อย่างนั้นพูดถูก

เติมศักดิ์ - นี่คือทั้งหมดของการเปิดใจคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
ผู้นำพรรคการเมืองใหม่ หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่
ซึ่งเป็นพรรคที่มีการก่อเกิดจากการต่อสู้ของพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ต่อสู้
เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ในที่สุดประชาชนเหล่านั้นก็ร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ก็คือ
การตั้งพรรคการเมือง
ซึ่งจะเป็นเครื่องมือหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันนี้ขอบคุณคุณสนธิครับ ขอบคุณมากครับ คนในข่าวลากันตรงนี้ สวัสดีครับ


http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000119469

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น