มีเรื่องน่าสังเกตเกี่ยวกับการเมืองไทยขณะนี้ก็คือ การที่ พล.อ.ชวลิต
ยงใจยุทธ เข้าไปอยู่ในพรรคเพื่อไทย และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ออกมาเตือนว่า ขอให้คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
มิฉะนั้นอาจเป็นการทรยศต่อชาติ
การที่พล.อ.เปรม ออกมาพูดอย่างนี้ นับว่าแรงมากที่สุด
เพราะการเข้าพรรคเพื่อไทย เป็นการทรยศต่อชาติแล้ว
ก็แสดงว่าพรรคเพื่อไทยเป็นภัยต่อชาติ
ต่อมาหลังจากพล.อ.เปรมพูดไม่นาน ปฏิกิริยาโต้กลับที่น่าสนใจก็คือ
การที่ทหาร ตำรวจ และบุคคลอีกหลายสิบคนซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10
พากันสมัครเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นการตอกกลับพล.อ.เปรมตรงๆ ว่า
หากพรรคเพื่อไทยเป็นภัยต่อชาติแล้ว
เหตุไฉนนายทหารและตำรวจจึงไปเข้าพรรคนี้
อีกเรื่องหนึ่งที่คนฮือฮากันมากก็คือ การที่หมอดูโสรัจจะ นวลอยู่
ให้คำทำนายเหตุการณ์ปี 2553 ว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง มีการนองเลือด
ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีข่าวออกมาว่า ทหารได้แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย
และหากมีการชุมนุมอย่างยืดเยื้อก็อาจมีการฉวยโอกาสสร้างความรุนแรงได้
ข่าวเหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างในหลวงทรงพระประชวร
ก็มีผู้ปล่อยข่าวลือในทางร้ายที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้หุ้นตกไปสองวัน
มีผู้ออกมาเปิดเผยว่า ผู้ไม่ประสงค์ดีคือพรรคพวกของอดีตผู้นำ
และการปล่อยข่าวนี้ก็เป็นการทำให้หุ้นตกแล้วไปช้อนซื้อเพื่อเก็งกำไร
แม้จะไม่ต้องเชื่อหมอดู
ก็มีเค้าว่าการเมืองไทยในปีหน้าดูท่าจะไม่ดีนัก
เพราะความขัดแย้งยังคงมีอยู่ คดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังอยู่ในศาล
และอีกหลายปีกว่าจะตัดสิน วิธีการเดียวที่จะทำให้หมดปัญหาก็คือ
การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
และจะต้องใช้อำนาจทางการเมืองไปในทางที่เข้าไปแทรกแซงฝ่ายตุลาการ
พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นผู้นำรัฐบาลในขณะนี้
มีความระมัดระวังมากที่จะสร้างความขัดแย้งเพิ่มเติม
พรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องการให้รัฐบาลอยู่ไปนานๆ
เพราะได้คุมกระทรวงสำคัญที่มีโครงการ
และงบประมาณลงไปยังจังหวัดของพรรคร่วมรัฐบาลได้มาก
ส่วนพวกเสื้อแดงก็ดูจะระมัดระวังตัวมากกว่าแต่ก่อน
ดังเห็นได้จากการชุมนุมอย่างไม่ยืดเยื้อ และไม่มีความรุนแรง
หากมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป หลายคนต่างพูดว่า
พรรคเพื่อไทยจะได้เข้ามาแยะ เพราะนอกจากจะมีเงินหนาแล้ว
ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ยังนิยม พ.ต.ท.ทักษิณอยู่
การที่ผู้นำพรรคหลายพรรคถูกห้ามเล่นการเมือง
ทำให้เกิดพฤติกรรมทางการเมืองใหม่ คือ
การเป็นรัฐมนตรีแอบแฝงคอยดำเนินการอยู่ข้างหลัง
รัฐมนตรีหลายคนจึงไม่มีบทบาทมากเพราะคอยรับคำสั่ง
และคำแนะนำของผู้มีอำนาจตัวจริงอยู่
ปัจจัยที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
และพรรคเพื่อไทยมีอุปสรรคในการครอบงำการเมืองในอนาคตก็คือ
การเกิดของพรรคการเมืองใหม่ ยิ่งเวลาทอดยาวนานไป
พรรคนี้ก็จะมีเวลาในการขยายฐานการสนับสนุนมากขึ้น
และหากคนเกิดความเบื่อพรรคประชาธิปัตย์ และก็ไม่ชอบพรรคเพื่อไทย
คะแนนเสียงของประชาชนที่แต่เดิมไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
ก็จะเทมาให้พรรคการเมืองใหม่
โดยเฉพาะประชาชนในเขตเทศบาลในหลายจังหวัดด้วยกัน
พรรคการเมืองใหม่อยู่ในสถานะที่ดี เพราะคนไม่ชอบทักษิณก็มาก
และมีข้อเสนอที่ "โดนใจ"
คนตรงที่โจมตีการเมืองแบบเก่าที่มีการคอร์รัปชันมาก
และมีการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อหาผลประโยชน์
พรรคการเมืองใหม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงมาก
หากดูพรรคการเมืองที่มีการจัดตั้งดีๆ อย่างพรรคอัมโนแล้วก็จะพบว่า
กลุ่มสตรีมีบทบาทสำคัญมากต่อการเติบโต และความแข็งแกร่งของพรรคการเมือง
กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองใหม่มีกิจกรรมทั้งทางสังคม
และทางการเมืองที่หลากหลาย
กิจกรรมเหล่านี้สืบเนื่องมาจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ
ที่มีความหลากหลายตั้งแต่ต้น จนเกิดความรู้สึกผูกพันร่วมกันเป็น
"ชุมชนทางการเมือง" ที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่เดิมพรรคการเมืองเกิดจากผู้นำ
เกือบไม่มีพรรคไหนเลยที่มาจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง พรรคต่างๆ
จึงมีความอ่อนแอ ส่วนกลุ่มเสื้อแดงนั้นก็ไม่อาจพัฒนาเป็นพรรคการเมืองได้
เนื่องจากมีพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว
และกลุ่มคนเสื้อแดงก็ไม่มีข้อเสนอทางการเมืองที่ชัดเจน
และมีจุดอ่อนตรงที่คนทั่วไปเห็นว่าเป็นขบวนการสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ
หากการเมืองไทยในปีหน้าจะเกิดความรุนแรง
ก็มีความเป็นไปได้หากมีชนวน
แต่ชนวนนั้นคงไม่ได้มาจากการปะทะกันระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง
แต่จะเกิดขึ้นเพราะทักษิณเกิดตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทย
และมีการต้อนรับจากกลุ่มคนเสื้อแดง
ปฏิกิริยาก็คงจะเกิดขึ้นจนเป็นเหตุให้ประชาชนต้องเผชิญหน้ากันได้
แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ
การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สังคมไทยต้องขาดสถาบันที่เป็นพลังยึดเหนี่ยวประชาชน
การที่มีการโจมตี พล.อ.เปรม ก็เป็นการกระทำอย่างอ้อมๆ
ในการสั่นสะเทือนสถาบันของชาติ และการที่พล.อ.เปรม ถึงกับใช้คำว่า
"ทรยศต่อชาติ" กับการที่พล.อ.ชวลิต เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย
นับว่าเป็นการเปิดสงครามอย่างเปิดเผยระหว่างฝ่ายต่อต้านทักษิณ
อมาตยาธิปไตย กับฝ่ายสนับสนุนพล.อ.เปรม ที่มีฐานะเป็นประธานองคมนตรี
นับวันความขัดแย้งจะยกระดับจากการสนับสนุนทักษิณไปเป็นการต่อต้านระบอบการเมืองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และความขัดแย้งนี้เองที่จะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น