"ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน พันธมิตรฯ คือผู้สามารถนำการเปลี่ยนแปลงได้จริง
เพื่อผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติ ด้วยการกำจัดการเมืองเก่า
สร้างการเมืองใหม่"
มีสัญญาณบอกให้รู้ว่า ประเทศไทยได้ก้าวถึงจุดเปลี่ยนแล้วจริงๆ
เด่นชัดที่สุดก็คือการกระจายข่าวลือที่ปรากฏผลทางด้านตลาดหุ้นในวันที่ 14
ตุลาคม 2552 และส่งผลทางจิตวิทยาต่อสังคมวงกว้างตามช่องทางการเผยแพร่ข่าวลือนั้น
อันหมายถึงว่า สังคมทุกระดับรับทราบแล้วว่า
จุดเปลี่ยนประเทศไทยได้มาถึงแล้วจริงๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
การแสดงออกทางวาจาในลักษณะหมิ่นแคลน
ของอดีตนายทหารที่ยกฝูงกันเข้าพรรคเพื่อไทย
ทั้งต่อพลเอกเปรมและเหนือกว่านั้น ก็เป็นการตอบรับสัญญาณนี้ของฝ่าย
"เสื้อแดง" ส่วนการเร่งเกมของกลุ่มนปช. เสื้อแดง
ก็มีนัยของความพยายามช่วงชิงการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนี้ไปจากภาคประชาชน
นำโดยพันธมิตรฯ
ในความเข้าใจของผม ณ วันนี้
สังคมไทยโดยรวมได้รับรู้และยอมรับความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้แล้วว่า
"ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน" ในทางจิตวิทยาจึงแสดงออกถึงการรับรู้ (ตกใจ
หวั่นไหว) อย่างกว้างขวางแบบเฉียบพลัน
โดยไม่ปรากฏมีใครสงสัยหรือคัดค้านข่าวลือนั้นแต่ประการใด
นั่นหมายถึงว่า
ทุกคนพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เพราะต่างรู้ว่ามันเป็นความจริงที่ดำรงอยู่
การยอมรับความจริง ยอมรับชะตากรรม คือรูปแบบจิตใจแบบพื้นๆ
ของคนไทยทั่วไป พิจารณาในด้านดี ทำให้คนไทยรับสิ่งใหม่ได้ง่าย
ไม่ว่าจะมาจากไหน หรือเป็นอย่างไร แต่มองในด้านลบ
คนไทยจะต้องยอมรับกับสิ่งเลวๆ ตลอดไป
ต้องกล้ำกลืนเอาสิ่งที่คนอื่นกำหนดให้ อย่างไม่จบสิ้น
ในทัศนะของผม พวกเสื้อแดงอ้างประชาธิปไตยโจมตีอำมาตยาธิไตย
อ้างคนยากคนจนโจมตีคนชั้นสูง
แต่ตกอยู่ในการกำหนดของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ
(แม้จะหลอกลวงคนบางกลุ่มบางส่วนได้
อันเป็นผลจากการหลอกตัวเองของกลุ่มแกนนำฝ่ายเสื้อแดง
ทั้งด้วยความยึดติดในตัวเอง หรือยึดติดในคัมภีร์
ทฤษฎีสำเร็จรูปที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะยุคสมัย
และสภาพเป็นจริงของประเทศไทยแต่ประการใด)
จึงขาดความชอบธรรมในสายตาประชาชน ไม่อยู่ในฐานะที่จะนำการเปลี่ยนแปลงได้
เห็นได้จากยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่แทบหาสาระไม่ได้
มีแต่คำให้ร้ายป้ายสี และเน้นการใช้ความรุนแรง แสดงออกถึงความเป็น
"แก๊ง-กุ๊ย" มากกว่าอย่างอื่น
ตรงกันข้าม พันธมิตรฯ ไม่อ้างลัทธิหรือทฤษฎีสำเร็จรูป ไม่หลอก
(ไม่หลง)ตัวเอง มุ่งใช้ปัญญาและความถูกต้องชอบธรรมเป็นอาวุธ
ใช้การปฏิบัติพิสูจน์ให้เห็นถึงจุดยืนอันแน่วแน่
ที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม ทั้งในรูปของการปกป้องสถาบันฯ
และผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งในวันนี้และวันหน้า
มองในภาพรวม พันธมิตรฯ จึงมีความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
ไม่ตกอยู่ในอำนาจกำหนดของฝ่ายใด
ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เห็นด้วยกับแนวคิดและการนำเสนอ
ของตน
สิ่งที่คนไทยทั่วไปเห็นกัน ล้วนแต่เป็นการแสดงออกถึงความเป็น
"เจ้าภาพ" ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
ในการที่จะนำประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีกว่า
โดยเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของประชาชนในทุกๆ ด้าน การปกป้องสถาบันชาติ
ศาสน์ กษัตริย์ ถึงที่สุดแล้วก็คือการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
ที่โดดเด่นเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไปก็คือการนำเสนอ
"การเมืองใหม่" ให้เป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียวของประเทศไทย
เพราะมันเป็นการแก้ปัญหา "ปมเงื่อน"
ของประเทศไทยที่ถูกต้องและตรงจุดที่สุด เนื่องจากปัจจุบันนี้
คนไทยทั่วไปได้ตระหนักร่วมกันเป็นเบื้องต้นแล้วว่า การเมือง (เก่า)
ที่กลุ่มทุนสามานย์กำหนด คือตัวถ่วงความเจริญของประเทศไทยมากที่สุด
เป็นตัวสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนชาวไทยมากที่สุด
ส่วนการเมืองใหม่ที่ประชาชนเป็นเจ้าภาพ
จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริงของประเทศชาติ
และความผาสุกอย่างแท้จริงของประชาชน
ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงกลับตีขลุมเอาดื้อๆ ว่า
การเมืองใหม่ก็คือประชาธิปไตย(เลือกตั้ง) การเมืองเก่าก็คืออมาตยาธิปไตย
ซึ่งไม่อาจอธิบายให้เห็นได้จริง ไม่อาจวิเคราะห์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
จึงกลายเป็นเพียงคำขวัญลอยๆ หลอกตัวเองและพรรคพวกไปวันๆ
ด้วยเหตุนี้ การนำเสนอว่า "ประเทศ ไทยถึงจุดเปลี่ยน พันธมิตรฯ
คือผู้สามารถนำการเปลี่ยนแปลงได้จริง เพื่อผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติ
ด้วยการกำจัดการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่"
จึงเป็นการนำเสนอที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
สอดคล้องกับสภาวะทางจิตใจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของคนไทยทั่วไป
คนไทยส่วนใหญ่จะรับได้ง่ายและเร็ว
โดยเฉพาะในห้วงปัจจุบัน มีแนวโน้มที่ทุกฝ่ายจะพากันเร่งเกม
เพื่อให้ฝ่ายตนครองฐานะเป็นผู้กำหนดการเปลี่ยนแปลง
เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามความต้องการของตน ผลที่ตามมาก็คือ
สังคมไทยเกิดวิกฤตรอบด้าน รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ คนไทยร้อนใจ
อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ จะได้พ้นวิกฤต
และพร้อมที่จะเลือกสนับสนุนและมีส่วนร่วมกับฝ่ายที่สามารถนำการเปลี่ยนแปลง
ได้จริง โดยต้องการให้ฝ่ายนำการเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มอำนาจ "ใหม่"
ที่ดีจริงๆ
คำขวัญที่ว่า "การเมืองใหม่ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"
จึงมีความเป็นสัจธรรมในตัว มีความขลังในตัว
ในทัศนะของผม การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพันธมิตรฯ
(และพรรคการเมืองใหม่) ในแต่ละห้วงของการขับเคี่ยวกับคู่ปรปักษ์ (หลักๆ
ก็คือฝ่ายเสื้อแดงที่ชูธงนำการเปลี่ยนแปลงแข่งกับพันธมิตรฯ
ส่วนพวกเสื้อน้ำเงินไม่ชูธงนำการเปลี่ยนแปลง คอยแต่จะฉกฉวยโอกาส
ทำตัวเป็น "ตาอยู่" เก็บเกี่ยวผลประโยชน์
และหาทางบั่นทอนกำลังของฝ่ายที่จะนำการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ)
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง "ชูธง" การเป็นผู้นำ (ผู้กำหนด)
การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงให้สูงเด่นเสมอ
ประสานกับการขับเคลื่อนที่เป็นจริง
เพื่อพิสูจน์และยืนยันถึงความเป็นผู้นำที่สามารถนำได้จริงในสายตาประชาชน
บนฐานความเข้าใจข้างต้น การนำเสนอว่า "ประเทศ ไทยถึงจุดเปลี่ยน
พันธมิตรฯ คือผู้สามารถนำการเปลี่ยนแปลงได้จริง
เพื่อผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติ ด้วยการกำจัดการเมืองเก่า
สร้างการเมืองใหม่" ย่อมสมเหตุสมผล
สามารถสะท้อนกฎเกณฑ์ของกระบวนการขับเคลื่อนทางการเมือง
ที่ประชาชนเป็นเจ้าภาพ
ในตลอดห้วงของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด
และกระทบกระแทกจิตใจของคนไทยทั้งชาติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ซึ่งในที่สุด "ประวัติศาสตร์" ก็จะเป็นผู้ "ฟันธง" ว่า
ใครกันแน่คือผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้
คำตอบที่จับต้องได้ ก็คือ "พันธมิตรฯ คือผู้กำหนด มหาชนคือผู้แสดงผล"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น