++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แผนที่ 1 : 200,000 ปีศาจร้ายจากปี 2505 ถึงปี 2552 !

โดย คำนูณ สิทธิสมาน 10 ตุลาคม 2552 15:34 น.
กรณีพฤติกรรมของรัฐบาลที่อาจทำให้ไทยเสียดินแดนให้กัมพูชานั้น
มีข้อมูลใหม่ประเด็นใหม่ที่ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ได้เปิดมาทาง ASTV
รายการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2551
และในนสพ. ASTV ผู้จัดการรายวันฉบับเช้าวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2551
ที่พาดหัวว่า "แฉรัฐบาลน้องเขยแม้วสอดไส้แผนที่เขมรผ่านสภา"
นั้นคนไทยทุกคนต้องรับรู้ร่วมกัน

เพราะถ้าไม่ร่วมกันแก้ไข เราอาจจะเสียดินแดนให้กัมพูชามากกว่าที่คิด
ไม่ใช่แค่ตัวปราสาทพระวิหารที่เสียไปแล้วเมื่อปี 2505
ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ 4.6
ตารางกิโลเมตรที่วันนี้กัมพูชาสร้างวัดสร้างถนนมีชุมชน
และไม่ใช่ทั้งหมดของ 4.6 ตารางกิโลเมตร

แต่อาจจะมากกว่านั้นมหาศาล - ตามแผนที่ฝรั่งเศส 1 : 200,000
ที่เราไม่ยอมรับมาตลอด !

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการรณรงค์ครั้งนี้
ที่ต้องเริ่มต้นให้รัฐสภาลงมติไม่เห็นชอบกับบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการ
เขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) รวม 3 ฉบับ
ที่จะเข้าสู่การประชุมร่วมกันของรัฐสภาภายในไม่ช้าไม่นานนี้

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551
รัฐสภาทำผิดพลาดมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยการอนุมติกรอบการเจรจาไทย-กัมพูชาด้วย
คะแนนเสียง 409 ต่อ 7 งดออกเสียง 1 และ 406 ต่อ 8 งดออกเสียง 2

แน่นอนครับ - ผมเป็นเสียงหนึ่งใน 7 และ 8 เสียงที่คัดค้านนั้น !

เพื่อนสมาชิกรัฐสภาท่านอื่นที่คัดค้านล้วนเป็นส.ว.ทั้งสิ้น คือ
พ.ท.กมล ประจวบเหมาะ, พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร, คุณรสนา โตสิตระกูล,
คุณวรินทร์ เทียมจรัส, คุณสมชาย แสวงการ, คุณสุรจิต ชิรเวทย์
และท่านอาจารย์มณเฑียร บุญตัน (เฉพาะกรอบหลัง) โดยท่านที่งดออกเสียงทั้ง
2 กรอบคือท่านประธานวุฒิสภาอาจารย์ประสพสุข บุญเดช และคุณหมออนุศักดิ์
คงมาลัยงดออกเสียงเฉพาะกรอบหลัง

ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์โหวต
"เห็นด้วย" กับทั้ง 2 กรอบ !! แต่นั่นก็เป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28
ตุลาคม 2551 ที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ได้รับรู้ข้อมูลทั้งหมด

กรอบทั้ง 2 กรอบที่รัฐสภาอนุมติไปเมื่อเกือบ 1 ปีที่แล้วไม่ดีอะไรหรือ ?

นอกเหนือจากประเด็นถอนทหารทั้ง 2
ฝ่ายออกจากบริเวณวัดแก้วสิขาคีรีสะวาราซึ่งเป็นดินแดนไทย อันดูเหมือนดี
แต่จะเป็นผลให้ไทยต้องถอนทหาร แต่กัมพูชาแม้ถอนทหารก็ยังมีวัด ชุมชน
และทหาร คงอยู่แล้ว
ก็คือประเด็นการจัดทำหลักเขตแดนภายใต้สิ่งที่เรียกในกรอบ 1 ว่า
"แผนแม่บท..." และในกรอบ 2 ให้เป็นไปตามแนวทางเอกสาร 3 รายการ คือ
สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904, สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907
และ....ตรงนี้สำคัญครับ.....

"แผนที่ที่
จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับ
อินโดจีน ที่จัดทำขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี
ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.
1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส"

อย่าลืมขีดเส้นใต้ตรงคำว่า "แผนที่" นะ !

แผนที่ที่ว่านี้ผมเข้าใจว่ามี 11 ระวาง หรือ 11 แผ่น
เป็นแผนที่อัตราส่วน 1 : 200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในปี ค.ศ. 1908
ในระวางหนึ่งที่รู้จักกันต่อมาในชั้นการพิจารณาของศาลโลกระหว่างปี 2502 -
2505 ในนาม "ภาคผนวก 1" หรือ "ANNEX 1"
นี่แหละที่มาผนวกเอาปราสาทพระวิหารไปไว้ในดินแดนกัมพูชา
อันเป็นผลให้ไทยแพ้คดีเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาเพราะหลัก
"กฎหมายปิดปาก" เพราะศาลโลกพิจารณาเห็นว่าไทยมีโอกาสที่จะคัดค้านแผนที่ที่ว่านี้ในหลายกรรม
หลายวาระแต่ไม่ได้คัดค้าน

ท่านอาจารย์ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์บอกว่าเรายอมรับแผนที่ ANNEX 1
ที่ทำให้เราเจ็บปวดทั้งประเทศมาแล้วในปี 2505
ก่อนหน้านั้นแล้วในแผนแม่บทและ TOR ปี 2546 (2003)
สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเอกสารประอบหมายเลข 4
เป็นภาษาอังกฤษ แจกจ่ายในวันที่ 28 ตุลาคม 2551
โดยในเอกสารนี้ที่ผมยังเก็บไว้ถึงขนาดมีวงเล็บไว้ด้วยว่าแผนที่นี้คืออะไร
...เขาวงเล็บไว้ในข้อ 1.1.3 ว่า....

"...hereinafter referred to as the Maps of 1 : 200,000"

จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของพ.ต.ต.ทักษิณ
ชินวัตรที่ทำขึ้นในปี 2546 และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (โดยนายสมพงษ์
อมรวิวัฒน์ รมว.ต่างประเทศในขณะนั้น)
นำมาเสนอเป็นกรอบเจรจาต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 หรอกครับ

มันเป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยตั้งแต่ปี 2543 โน่น !

เพราะแผนแม่บทและ TOR ปี 2546 (2003) ที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า "Terms
of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of
Land Boundary between the Kingdom of Thailand and the Kingdom of
Cambodia" ที่มีระบุประโยคเชิงยอมรับ "the Maps of 1 : 200,000"
ไม่ได้ลอยลงมาจากฟากฟ้าหรือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรคิดขึ้นมาเองหรอก

มัน มาจากเอกสารชื่อเต็ม
"บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร
กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก" ที่เรียกย่อ ๆ ว่า MOU
ปี 2000 ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำกับกัมพูชาในปี 2543 !

เพื่อความเข้าใจง่าย ๆ อยากให้จำเอกสารชิ้นนี้ในนาม MOU 2000
และจำเอกสารปี 2546 ในนาม TOR 2003
เพราะในการต่อสู้กรณีนี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีข้อมูลและมีเหตุมีผล

ใน MOU 2000 ที่ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
บริพัตรขณะดำรงตำแหน่งรมช.ต่างประเทศลงนามร่วมกับนายวาร์ คิม
ฮงของกัมพูชาเมื่อปี 2543 นั้นจำไว้ให้แม่นเลยนะครับว่า "ข้อ 1 (ค)"
หรือในภาษาอังกฤษก็เป็น "Article 1 (c)" นั่นแหละที่เป็นปัญหาใหญ่

ข้อความในฉบับภาษาไทยก็เป็นข้อความเดียวกับในข้อ 3 ของกรอบที่ 2
ที่รัฐสภาอนุมติไปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 เป๊ะ

"แผนที่ที่
จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับ
อินโดจีน ที่จัดทำขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี
ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.
1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส"

มีต่างกันคำเดียวแค่คำว่า "ที่" ที่ใน MOU 2000 ข้อ 1 (ค)
ใช้คำว่า "ซึ่ง" เท่านั้น

หันไปดูข้อความในฉบับภาษาอังกฤษ Article 1 (c) ของ MOU 2000
ก็จะพบข้อความที่เหมือนกันเป๊ะกับ TOR 2003 ข้อ 1.1.3
ซึ่งก็เป็นคำแปลมาจากภาษาไทยข้างต้น

แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ตรงที่ใน TOR 2003 ก่อนประโยค ", and
other documents relating to the..." (แปลมาจาก
"...กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง...")
ทะลึ่งใส่วงเล็บแทรกไว้ให้ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์จับได้...

"...(hereinafter referred to as the Maps of 1 : 200,000)..."

ถ้าเราเห็นว่าการเขียนข้อตกลงกับกัมพูชาในเชิงยอมรับแผนที่ 1 :
200,000 (หรือ ANNEX 1) นี้ผิด ไม่อาจยอมรับได้
มันก็ไม่ได้ผิดแค่รัฐบาลน้องเขยแม้วที่เสนอ 2 กรอบต่อรัฐสภาเมื่อ 28
ตุลาคม 2551 เท่านั้น

แต่ มันต้องผิดมาตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2543
ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคท่านชวน หลีกภัย - โดยม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
บริพัตร - ไปทำ MOU 2000 กับกัมพูชาแล้ว !


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000120118

กว่าผมจะทำความเข้าใจกรณีพฤติกรรมของรัฐบาลที่อาจทำให้ไทยเสียดินแดนให้
กัมพูชามาได้จนถึงระดับที่เขียนไปเมื่อวานนี
ก็ต้องใช้เวลาต่อเนื่องมากกว่า 1 ปี เฉพาะที่คร่ำเคร่งจริง ๆ ก็ประมาณ 1
เดือน และไม่ใช่เฉพาะอ่านเอกสาร แต่เป็นการรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศที่
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งนี้ก็โดยอาศัยฐานภาพของความเป็นสมาชิกวุฒิสภา
เป็นคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง

เมื่อรับรู้แล้วก็นำมาบอกกล่าวกับประชาชน ในฐานะที่ผมก็เป็น
"ผู้แทนปวงชนชาวไทย" แม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็ตาม

เราเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาก็เพราะแผนที่ ANNEX 1 อัตราส่วน
1 : 200,000
แผนที่นี้ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียว
ขณะที่ไทยยังไม่มีความรู้เรื่องแผนที่มากนัก

และในชั้นเชิงการเมืองระหว่างประเทศ เราก็ยังไม่เชี่ยวชาญ
จึงไม่ได้คัดค้านแผนที่นี้เมื่อมีโอกาส
จนกระทั่งมาคัดค้านเมื่อคดีขึ้นพิจารณาในศาลโลกปี 2502
ก็สายเกินไปเสียแล้ว ศาลไม่รับฟัง โดยถือหลักกฎหมายปิดปาก

มติคณะรัฐมนตรีปี 2505 ไม่ยอมรับแผนที่ปัญหานี้ !

ศาลโลกตัดสินให้ไทยแพ้คดี ต้องเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา
เพราะเราไม่ใช้สิทธิคัดค้านแผนที่ ANNEX 1
ในทุกครั้งที่ศาลโลกท่านเห็นว่าไทยน่าจะคัดค้านให้เป็นที่ประจักษ์ได้
โชคดีที่ศาลโลกท่านไม่ได้ให้ใช้แผนที่เป็นหลักเขตแดน
ไทยจึงส่งมอบเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารคืนให้กัมพูชา
โดยล้อมรั้วลวดหนามในปริมณฑลที่ใกล้ชิดติดตัวปราสาทมากที่สุด

ไทยกับกัมพูชามาเริ่มคุยกันใหม่เรื่องเขตแดนจริง ๆ จัง ๆ ในปี
2542 ยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

จนเป็นที่มาให้เกิด MOU 2000 หรือ
"บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร
กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก" เมื่อวันที่ 14
มิถุนายน 2543

MOU 2000 นี้ได้ให้กำเนิด JBC หรือ
"คณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา" ขึ้นมา

MOU 2000 นี้เป็นที่มาของ TOR 2003 หรือ "Terms of Reference and
Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary
between the Kingdom of Thailand and the Kingdom of Cambodia" ในปี 2546
สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย

เป็นที่มาของกรอบการเจรจา 2 กรอบที่เสนอต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551

และเป็นที่มาของบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา
(JBC) รวม 3 ฉบับ
ที่จะเข้าสู่การประชุมร่วมกันของรัฐสภาภายในไม่ช้าไม่นานนี้

ทั้งหมดล้วนเป็นผลต่อเนื่องที่เกิดจาก MOU 2000
ในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล

รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคปัจจุบันจึงต้องตอบคำถามให้ได้ว่าไปลงนาม
ใน MOU 2000 ที่ในข้อ 1 (ค) ไปยอมรับแผนที่ ANEX 1 อัตราส่วน 1 : 200,000
ที่ทำให้คนไทยทั้งชาติเจ็บปวดมาแล้วได้อย่างไร

จะชี้แจงอย่างไร โดยใครบ้าง กรุณาคิดให้ดีให้รอบคอบ
และอย่าได้ชี้แจงอย่างที่กระทรวงการต่างประเทศเคยชี้แจงกับผม
เพราะแม้ผมจะเห็นใจ เข้าใจ
แต่ไม่อาจจะเห็นด้วยกับท่านแม้สักนิดในประเด็นนี้

กระทรวงการต่างประเทศบอกว่าตอนริเริ่มทำ MOU 2000
นั้นวัตถุประสงค์คืออยากจะทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาให้เหมือนกับที่ไทย
ทำกับมาเลเซีย ลาว และพม่า และถึงจะไม่เขียนระบุว่าให้เป็นไปตามแผนที่
โดยกฎหมายระหว่างประเทศก็ต้องหมายรวมถึงแผนที่อยู่แล้ว
เพราะถือว่าแผนที่เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา (ในกรณีนี้คือสนธิสัญญา ค.ศ.
1904 และค.ศ. 1907) ในชั้นแรกก็ไม่คิดว่าเขียนไว้
แต่ทางฝ่ายกัมพูชาไม่ยอม

แน่นอนว่ากัมพูชาต้องการให้เขียนระบุถึงแผนที่ที่เขาได้ประโยชน์ไว้ด้วย

ปัญหาที่ผมเข้าใจไม่ได้ รับไม่ได้ คือเราไปยอมตามเขาได้อย่างไร !

เจอ หลัก "กฎหมายปิดปาก"
จนต้องเสียค่าโง่เป็นปราสาทพระวิหารไปเมื่อปี 2505 ยังเจ็บปวดไม่พอหรือ
มายอมเขียนยอมรับแผนที่แผ่นเดิมเพื่อให้เกิด "กฎหมายปิดปาก"
อีกครั้งในอนาคตและอาจจะต้องเสียค่าโง่เป็นแผ่นดินไทยอีกมหาศาลไปเพื่อหาพระ
แสงอันใด ???

แค่กัมพูชาขู่ในวันนั้นว่าหากเจรจาไม่สำเร็จใน 6 เดือน
จะนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้ง คนไทยเราก็ต้องเร่งร้อนจนลนลานหรือ ????

ถึงขนาดต้องนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อขอมติใหม่ให้ใช้แผนที่
ANNEX 1 อัตราส่วน 1 : 200,000 ได้

โดยถือเป็นการกลับหลักมติคณะรัฐมนตรีปี 2505

กระทรวงการต่างประเทศบอกว่าไม่ต้องห่วง
เพราะแม้จะเขียนยอมรับแผนที่ แต่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
ถือเป็นเพียงส่วนเดียว ต้องพิจารณาร่วมกับสนธิสัญญาและหลักฐานอื่น

และตอนแรกไม่ได้คิดจะจัดทำหลักเขตแดนที่บริเวณพระวิหารก่อนที่อื่น
แต่จะทำในส่วนที่เคยมีหลักเขตแดนแล้ว 73 หลักก่อน
แต่สถานการณ์ในกาลต่อมาผันแปร

รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้ต้องหาเหตุผลที่ดีกว่านี้มาชี้แจง

เพราะเท่าที่ผมพยายามเข้าใจและเห็นใจกระทรวงการต่างประเทศมาเป็น
เดือน ๆ ในการชี้แจงกันหลายครั้งผมพบว่ากระทรวงการต่างประเทศตอบคำถามจนดูเหมือนบาง
กรณีกัดลิ้นตัวเอง

กระทรวงการต่างประเทศมองว่าคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 ยอมรับแผนที่
ถ้ามีเหตุให้ขึ้นศาลโลกอีกครั้งไทยจะเสียเปรียบ ไทยจึงพยายามยึดหลักเจรจา
ไม่ควรให้เป็นกรณีพิพาท แต่ครั้นเมื่อยึดหลักเจรจา
เมื่อกัมพูชาขู่ว่าจะนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก
กระทรวงการต่างประเทศก็กลับไปยอมเขียนเรื่องแผนที่ที่ทำให้คนไทยช้ำใจทั้ง
ประเทศมาแล้วเมื่อปี 2505 เข้าไว้ในบันทึกความเข้าใจปี 2543 พูดไปพูดมา
กระทรวงการต่างประเทศก็บอกว่าเชื่อว่ากัมพูชาจะต้องนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก
อีกครั้งในเวลาเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

แล้วกระทรวงการต่างประเทศก็บอกว่าการเร่งเสนอกรอบ 2 กรอบเมื่อ 28
ตุลาคม 2551 น่าจะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายไทยในการไปสำรวจพื้นที่บริเวณพระวิหารไว้ก่อนหาก
เรื่องต้องขึ้นสู่ศาลโลก

ฯลฯ - ฯลฯ - ฯลฯ

ท่าน นายกฯอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบันก่อนจะชี้แจงอะไรออกมาควร
ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้กับตรรกะของกระทรวงการต่างประเทศที่ผมเห็นว่ายิ่งรับ
ฟังยิ่งไม่ชอบด้วยหลักเหตุผลยิ่งขึ้นทุกที


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000120120

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น