++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กองทัพไทยเอ๋ย กับวิธีการแก้ไขสถานการณ์วุ่นวาย

โดย ทวิช จิตรสมบูรณ์ 8 ตุลาคม 2552 15:33 น.
โดย...ทวิช จิตรสมบูรณ์

1. วิธีการแก้ไขสถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองไทย (แบบเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส)

การแบ่งฝักฝ่ายทางการเมืองของคนไทยใน พ.ศ. 2552
นี้นับเป็นวิกฤตรุนแรง
หากเยียวยาแก้ไขไม่ทันกาลก็อาจลุกลามไปสู่วิกฤตที่รุนแรงมากขึ้นจนอาจส่งผล
เสียอย่างร้ายแรงเกินเยียวยา การเร่งสมานฉันท์จึงเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าสมานฉันท์กันแบบยอมความกันง่ายๆ (เช่น โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ)
มันก็จะเป็นการเสียโอกาสอันงาม และยังเสียนิสัยอีกด้วย
ซึ่งจะส่งผลให้คนไทย "ไม่รู้จักโต" ทางการเมืองเสียที

ผู้เขียนเลยขอเสนอวิธีสมานฉันท์แบบเปลี่ยนวิกฤตมาเป็นโอกาส
ด้วยเห็นว่าวิกฤตนี้เป็นสิ่งดีเพราะทำให้สังคมไทยตื่นตัวทางการเมืองอย่าง
ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
โดยเฉพาะเป็นการตื่นตัวในทุกระดับตั้งแต่รากหญ้าจนถึงชนชั้นกลางและชั้นสูง
แต่ทำไมเราไม่ใช้ความตื่นตัวที่หาได้แสนยากนี้ให้เป็นประโยชน์ในการปฏิรูป
การเมือง ตรงข้ามหลายฝ่าย (โดยเฉพาะรัฐบาล)
กลับอยากให้กระแสความตื่นตัวนี้จางหายไปด้วยวิธีการ " สมานฉันท์"
ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งก็ไม่แคล้วกลายเป็น "สมานกะฉัน"
เพราะแต่ละฝ่ายก็ต้องการให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายตนมากที่สุดด้วยกันทั้งสิ้น

วิธีการที่ขอเสนอคือ (ความจริงเสนอมา 2 ปีและหลายครั้งแล้ว)
ให้รัฐบาลจัดเวทีระดับชาติให้แกนนำของทั้งสองฝ่าย (เสื้อเหลือง เสื้อแดง)
ได้มาโต้วาทีการเมืองกัน เช่น โดยผ่านระบบโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
ทั้งนี้โดยมีคนกลางซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันเป็นผู้ดำเนินรายการ
ในแต่ละเวทีก็ให้มีประเด็นร้อนต่างๆ เป็นการเฉพาะ
ส่วนทักษิณนั้นจะโฟนอินเข้ามาก็ย่อมได้
จะได้โต้กันซึ่งหน้าไม่ให้มีอะไรค้างคาใจกันอีกต่อไป
และไม่ต้องไปแทงกันข้างหลัง อ้างข้อมูลเถื่อนกันอีกต่อไป

ควรจัดการโต้เวทีนี้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ครั้งละ 1 ชม.
เป็นเวลาสัก 3 เดือน เชื่อว่าเรตติ้งจะกระฉูด
คนไทยจะเรียนรู้การเมืองมากขึ้น ได้ข้อมูลมากขึ้น ซึ่งความรู้ทำให้เข้าใจ
เมื่อเข้าใจซึ่งกันและกันก็จะหายหรือลดระดับความโกรธเกลียดกันลงไปได้มาก
ก็เป็นการสมานฉันท์
สังเกตดูสิทุกวันนี้ปัจเจกชนธรรมดาที่โกรธเกลียดกันนั้นลองไปสืบดูเถอะเป็น
เพราะเข้าใจผิด หรือได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเสีย 99%
ที่โกรธกันแบบบริสุทธิ์จริงๆ นั้น มีไม่ถึง 1% หรอก

การจัดเวทีนั้นอาจจัดที่สนามกีฬาแห่งชาติไปเลย แล้วมีการถ่ายทอดสด
อัฒจันทร์ทั้งสองฟากก็แบ่งกันคนละครึ่งระหว่างกองเชียร์เสื้อเหลืองเสื้อแดง
พอเสร็จงานอาจจัดงานเลี้ยงต่อเพื่อสังสรรค์กันข้ามสีเสื้อก็ยังได้
หรือจัดให้มีประชุมกลุ่มย่อย ให้พวกแกนนำได้ประชุมกลุ่มย่อยต่อไป
(เพื่อลดโมเมนตัมทางอารมณ์จากการฟังแกนนำโต้วาทีกัน)

นอกจากสมานฉันท์แล้วยังเป็นการปฏิรูปการเมืองไปด้วยในตัว
(เพราะคนมีความรู้ทางการเมืองมากขึ้น) ส่งผลให้การซื้อเสียงลดลง
ซึ่งจะทำให้เราได้นักการเมืองที่ดีขึ้นเข้าสู่สภาและรัฐบาล
ในระหว่างโต้วาทีนี้ก็เป็นการซื้อเวลาให้รัฐบาลไปด้วยในตัว
งบประมาณก็ใช้น้อยมากอีกต่างหาก

2. กองทัพไทย (การลงทุนที่คุ้มค่า?)

กรณีพิพาทเขาพระวิหาร
ทำให้ได้คิดว่าประเทศไทยเราลงทุนสร้างกองทัพด้วยเงินมหาศาลมานานในการเลี้ยง
ดู ฝึกปรือกำลังพล และซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยจำนวนมาก
รวมทั้งสร้างสนามกอล์ฟ สโมสร
ระบบประกันสุขภาพหลังเกษียณและสวัสดิการอื่นๆ ให้กำลังพลของเราอีกมาก

แต่พอถึงเวลาจะใช้ประโยชน์จากกองทัพบ้าง เช่น
กรณีพิพาทเล็กน้อยกับประเทศเล็กๆ ทหารไทยเราก็ไม่ค่อยยอมทำหน้าที่เลย
ผู้นำแต่ละคนออกมาให้สัมภาษณ์ก็เอาแต่จะใช้วิธี "เจรจา" กันหมดทุกคน

โดยทหารพวกนี้หารู้ไม่ว่าการเจรจาที่จะได้ผลดีต่อเรานั้นมันต้องได้
เปรียบทางทหารเสียก่อน เช่น บุกยึดพื้นที่ไว้ให้ได้หมดเสียก่อน (เช่น
ที่อิสราเอลทำกับอาหรับอยู่ตลอดเวลา) แต่ทหารไทย (ที่ส่วนใหญ่พุงพลุ้ย)
อึกอักอะไรก็อ้างการเจรจา...ไม่อยากให้เสียความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน
ปล่อยให้เพื่อนบ้านมันเกทับบลัฟแหลกจนน้ำลายกระเซ็นรดหัวคนไทยไปหมดทั้ง
ประเทศแล้ว

เอ้า... ฝากท่านแม่ทัพนายกองเอาไว้เป็นประเด็นถกกันที่มุมกรีนหลุม
18 หรือที่ห้อง VIP สโมสรหลังแก้วเบียร์เย็นๆ ภายหลังจบเกมก็ได้นะครับ
หรือว่าอาจเจรจาขอปรับพื้นที่รอบเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ร่วมในการสร้างสนาม
กอล์ฟให้ทหารไทยกับทหารเขมรสามารถใช้ร่วมกันได้
ก็คงเป็นการได้นกสองตัวไปเลยนะครับ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000119192

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น