++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความซับซ้อนใหม่ของการเมืองไทย

โดย สิริอัญญา 11 ตุลาคม 2552 07:39 น.
หลังการประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองใหม่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552
ประชาชนชาวไทยจะได้เห็นความแตกต่างระหว่างการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่อย่าง
ชัดเจนขึ้นโดยลำดับ
และทำให้ภาพรวมของการต่อสู้ทางการเมืองเป็นการต่อสู้ระหว่างการเมืองเเก่า
กับการเมืองใหม่ที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้นโดยลำดับเช่นเดียวกัน

ทว่าพรรคการเมืองใหม่ยังเยาว์วัย
ยังอยู่ในช่วงระยะเวลาการสร้างพรรคและการเตรียมความพร้อมเพื่อปฏิบัติภารกิจ
ทางการเมืองของตน ทั้งการเมืองเก่าก็ได้เกิดขึ้นและดำเนินมาร่วม 70
ปีแล้ว ดังนั้นแม้กระแสหลักจะเป็นการต่อสู้ระหว่างใหม่กับเก่า
แต่ท่ามกลางการต่อสู้นั้นก็ย่อมมีความซับซ้อนและความสับสนอันเป็นผลตกทอดมา
จากอดีตมากมายนัก

ดัง นั้นจึงเป็นโอกาสอันสมควรที่จะได้มองถึงความเป็นไปของความสลับซับซ้อนที่จะ
เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปสักครั้งหนึ่ง
ซึ่งอาจจะต้องใจหรือไม่ต้องใจใครก็ได้ อาจจะถูกหรือผิดก็ได้
แต่อย่างน้อยก็จะเป็นการจุดประกายความคิดให้ได้พิจารณากัน

ความเป็นจริงของการเมืองไทยในขณะนี้เห็นกันอยู่แล้วว่าแบ่งออกเป็น
3 กลุ่ม คือ

กลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มพรรคการเมืองที่ครองอำนาจรัฐ
ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมใจไทย
และพรรคเพื่อแผ่นดิน

ภายในกลุ่มแรกนี้ก็ยังมีความแปลกแยกกันเป็นอันมาก
มีทั้งเรื่องที่ร่วมกันได้ และเรื่องที่ขัดแย้งกันดำรงอยู่
และมันจะยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะจบสิ้นลงเมื่อใด

แต่ในวิถีดำเนินนั้นทั้งความร่วมและความแตกต่างอยู่ที่สิ่งเดียวเท่า
นั้นคือผลประโยชน์
ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินและผลประโยชน์ทางการเมือง

สถานการณ์ในกลุ่มแรกในปัจจุบันนี้ปรากฏว่าพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดได้
จับมือกันอย่างแน่นหนา
ประดุจว่าเป็นกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งภายในพรรคร่วมรัฐบาล
ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคแกนนำในรัฐบาลก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง
โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นห่วงโซ่ข้อกลาง

แต่เป็นห่วงโซ่ข้อกลางประเภทที่ตึงและพร้อมจะขาดกับพรรคที่ตนเอง
สังกัด ในขณะที่หย่อนและเหนียวแน่นกับพรรคร่วมที่เหลือ
โดยในพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็มีความเห็นต่างกันเป็นสองขั้ว
คือขั้วผลัดใบกับขั้วศตวรรษใหม่

ความร่วมกันและความแตกต่างกันภายในกลุ่มแรกนี้ได้ส่งผลให้การเมือง
และการบริหารบ้านเมืองไม่อาจเป็นไปโดยราบรื่น และมีประสิทธิภาพได้
ทั้งได้สร้างหน่อเนื้อของความแตกร้าวและความแตกแยกโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ขึ้นแล้ว

ทว่า ทุกพรรคในกลุ่มแรกนี้ต่างก็เข็ดหลาบกับการร่วมงานทางการเมืองกับระบอบทักษิณ
เพราะที่เคยร่วมการงานกันมานั้นก็รู้เช่นเห็นชาติกันเป็นอย่างดีว่าระบอบ
นั้นเป็นระบอบผูกขาดของผู้คนในครอบครัวเดียว
ที่ใครอื่นใดไม่อยู่ในสายตาทั้งสิ้น ความผูกขาดนั้นยังมีลักษณะกินรวบ
และมีความเสี่ยงทั้งการรักษาอำนาจและการใช้อำนาจ
จนเข็ดขยาดที่จะต้องเอาอนาคตของตนเองและครอบครัวเข้าไปอยู่ในอุ้งมือ
ของกระบวนการยุติธรรม ที่มีคุกหรือความทุกข์ทรมานเป็นอนาคต

ดังนั้นภายในกลุ่มแรกนี้จึงด้านหนึ่งสามารถประสานผลประโยชน์กันได้
เพราะปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
และสามารถประสานผลประโยชน์ทางอำนาจกันได้เป็นอย่างดีเพราะไม่เคยมีการจัด
ตั้งรัฐบาลชุดใดที่พรรคร่วมมีอำนาจวาสนายิ่งใหญ่ถึงปานนี้มาก่อนเลย

กลุ่มที่สอง คือระบอบทักษิณที่ปัจจุบันนี้มีกองรบใหญ่อยู่ 3 กอง
คือกองรบในสภา ได้แก่พรรคเพื่อไทย กองรบงานมวลชน คือคนเสื้อแดง
และกองรบสื่อมวลชน ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรงพลังแห่งยุคสมัย
ทั้งยังมีทุนรอนมหาศาลและยังมีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่ยังถวิลหาอำนาจและผล
ประโยชน์ซึ่งเคยได้รับเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยครองอำนาจรัฐ

ทว่ากลุ่มนี้กลับมีจุดอ่อนที่ใหญ่หลวง
คือมีศัตรูคู่แค้นมากหลายในขอบเขตทั่วประเทศ ในทุกเหล่าชั้นชน
โดยเฉพาะคนบางกลุ่มที่มีเขี้ยวเล็บอยู่ในมือ
และยากที่จะประสานความเข้าใจหรือร่วมมือต่อกันได้อีกต่อไป

และ ด้วยจุดอ่อนนี้ก็เคยมีบทเรียนที่เด่นชัดมาแล้ว
จากการได้ครองอำนาจรัฐช่วงที่สองในยุคที่ยังเป็นพรรคพลังประชาชนว่า
ถึงแม้จะครองอำนาจรัฐได้ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถรักษาอำนาจรัฐได้

กลุ่มนี้และพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศตนเป็นศัตรูทางการเมืองต่อกัน
อย่างชัดเจนว่า จะไม่มีวันที่จะร่วมมือกันเป็นรัฐบาลได้เลย
แต่มิได้หมายความว่าการร่วมผลประโยชน์บางอย่างจะเป็นไปไม่ได้

กลุ่มนี้หวังนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กลับคืนสู่อำนาจโดยปราศจากความผิด ซึ่งทำได้ก็แต่โดย 2 ทางเท่านั้น
คือโดยการปฏิวัติรัฐประหาร หรือโดยการเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากเด็ดขาด

ใน วันนี้หนทางรัฐประหารสำหรับกลุ่มนี้คงยากจะเกิดขึ้นได้
เพราะย่อมไม่มีผู้มีอำนาจทางทหารคนใดที่จะยอมตนเป็นผู้รับจ้างยึดอำนาจเพื่อ
ผู้อื่น ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มนี้ย่อมมีบทเรียนมาแล้วอย่างน้อย 2-3 ครั้ง
ในห้วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

คงเหลือก็แต่หนทางรัฐสภา ซึ่งต้องได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
และดูเหมือนว่ากลุ่มนี้จะรู้ดีว่ายากจะดึงพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วมได้
เพราะวิบากกรรมอันทำไว้แต่อดีตที่ทำให้เกิดความขยาดมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นจึงต้องมุ่งมั่นที่จะเอาชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเป็นเสียงข้างมาก
แต่พรรคเดียว

ความเป็นไปได้มีอยู่น้อยมาก
เพราะในวันนี้พรรคภูมิใจไทยได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
มีพลังอำนาจครบเครื่องทุกด้าน
และวางเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์เลือกตั้งไว้ที่ภาคอีสาน
จึงก่อรูปการกำหนดให้กลุ่มนี้ต้องเสริมกำลังจนต้องไปเชื้อเชิญพลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ เข้ามานำทัพ

ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้กลุ่มนี้ได้กำหนดให้พรรคภูมิใจไทยเป็นศัตรูตัวเอก
และพรรคประชาธิปัตย์เป็นศัตรูตัวรองในสมรภูมิรบทางการเมือง

สถานการณ์ในปัจจุบันบ่งชี้ว่าถ้ากลุ่มนี้ไม่สามารถได้รับชัยชนะเด็ด
ขาดในการเลือกตั้ง ก็ยากที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้
และจะต้องกลายเป็นฝ่ายค้านไปอีกนานเท่านาน ในขณะที่เวลาได้พร่ากำลังรบของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้อ่อนลงโดยลำดับ
ดังนั้นจึงต้องทำการแข่งกับเวลาแม้ว่าจะต้องสุ่มเสี่ยงก็ตามที

กลุ่มที่สาม คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งในวันนี้ก็มีกองรบในเครือข่ายหลายกอง
ไม่ว่าพลังมวลชนของกลุ่มพันธมิตรฯ เอง องค์กรแนวร่วม
เครือข่ายสื่อที่มีเอเอสทีวีเป็นศูนย์กลาง
ระบบเศรษฐกิจการเมืองใหม่ที่มีรูปธรรมในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าในขอบเขต
ทั่วประเทศ และพรรคการเมืองใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น

ในวันนี้กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีนักรบในสภา
และไม่มีทุนรอนเป็นกอบเป็นกำ จึงได้แต่อาศัยพลังของมวลชนเป็นที่ตั้ง
แต่เพราะการต่อสู้ด้วยความเสียสละ ซื่อสัตย์ และกล้าหาญ
จึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง และดูแคลนไม่ได้

พรรคพลังประชาชนล้มคว่ำไป 2 รัฐบาล
ก็เพราะดูแคลนว่ากลุ่มที่สามนี้ไม่มีพลังแล้ว
แตกแยกแตกความสามัคคีกันแล้ว จึงฮึกเหิมลำพองทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
และไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ แม้ในวันนี้กลุ่มแรกมีอำนาจรัฐ
ก็มีอาการที่มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พรรคพลังประชาชนเคยมีความคิด
มาแล้ว

กลุ่ม ที่สามเป็นตัวแทนของการเมืองใหม่
ในขณะที่กลุ่มแรกและกลุ่มที่สองเป็นตัวแทนของการเมืองเก่า
เพราะเหตุนี้จึงกล่าวว่าในภาพรวมการต่อสู้ในทางการเมืองจะเป็นการต่อสู้
ระหว่างใหม่กับเก่า

ดังนั้นกลุ่มที่สามจึงต้องรับมือกับการโจมตีของกลุ่มแรกและกลุ่มที่
สอง กลายเป็นสองรุมหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน
ภายในภาคส่วนของการเมืองเก่าก็มีความขัดแย้งและมีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่ม
แรกและกลุ่มที่สอง จึงก่อเกิดสภาพร่วมและแยกกันของทั้งสามกลุ่มดังนี้

กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลอาจร่วมผลประโยชน์กับกลุ่มระบอบทักษิณได้
แต่ยากที่จะร่วมอำนาจกันได้ เว้นแต่จะไม่มีทางเลือกอย่างอื่นเท่านั้น

ภายในพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมอำนาจกันได้ และร่วมผลประโยชน์กันได้

กลุ่มพันธมิตรฯ ในขณะนี้ไม่มีผลประโยชน์ที่จะร่วมกับใครได้
และด้วยแนวทางการเมืองใหม่ย่อมยากที่จะร่วมผลประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์กับ
กลุ่มใดๆ ได้ จึงมีแต่ต้องมุ่งสร้างพรรคให้ได้รับชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการเลือกตั้ง
เช่นเดียวกัน

ทว่าในทางยุทธวิธีนั้น ก็ใช่ว่าจะร่วมมือกันเฉพาะเรื่องเฉพาะราวไม่ได้

ดัง นั้นการกำหนดและยึดมั่นในปัญหายุทธศาสตร์ทางการเมืองและความพลิกแพลงทาง
ยุทธวิธีของทุกกลุ่มนับแต่นี้ไป จึงมีแต่พิสดาร ซับซ้อน
และเข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าทุกระยะที่ผ่านมา
และเป็นเหตุให้ประชาชนเราต้องทำความเข้าใจด้วยความรู้เท่าทันอยู่เสมอ.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000120219

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น