คำว่า "มหาวิทยาลัย" ใน
ความเข้าใจของหลายคนคงอาจจะคิดว่าต้องได้รับการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่
กำหนดไว้เท่านั้น แต่ในความคิดของผม การเรียนรู้นั้น
ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในตำราเรียนอย่างเดียว และการเรียนรู้ไม่มีวันจบ
แม้ว่าชีวิตตัวเองจะจบไปก็ตาม....."
มหาวิทยาลัย (เรือ)สำราญ
นี้คือ เสียงบอกเล่าของ "โอม" สมรัชนะ มูลสาย กูรูบริกรอินเตอร์
ตัวแทนประเทศไทย ผู้มีรายได้เรือนแสนบาทต่อเดือน
วันนี้เขากลับมาเยี่ยมบ้านเกิด Life On Campus จึง ไม่รอช้า
คว้าตัวหนุ่มสำราญคนนี้มาร่วมพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตการทำงานบนเรือสำราญ
ด้วยตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟมืออาชีพคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
พร้อมกับข้อมูลเกี่ยวกับการไปทำงานบนเรือสำราญทั้งหมด แบบทุกเม็ด
ทุกหน่วยมาฝากเพื่อนๆ ชาวไลฟ์ ออน แคมปัส
ย้อนกลับไปในวัยเด็กของโอม ที่เติบโตจากบ้านนอกคอกนา
ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ดินแดนเหนือสุดของประเทศ จากจังหวัดเชียงราย
จบประถมและมัธยมต้น ณ โรงเรียนทุ่งยั้งหัวฝายวิทยา โรงเรียนแม่จันวิทยาคม
โรงเรียนดอนศิลาผางามวิทยาคม และจบมัธยมปลาย ณ
โรงเรียนดำรงค์ราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย
อีกทั้งในเป็นอดีตนักเรียนทุนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ รุ่นที่ 1
ในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมทั้งจบปริญญาตรี 3 ปี จากคณะรัฐศาสตร์
รุ่นที่ 23
"โอม" สมรัชนะ มูลสาย กูรูบริกร อินเตอร์ ตัวแทนประเทศไทย
ผู้มีรายได้เรือนแสนบาทต่อเดือน
** จุดเริ่มต้นของ "หนุ่ม(สำราญ)
เมื่อสิบปีที่แล้ว หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากรั้วพ่อขุนรามคำแหง
ไปพร้อมๆ กับทำงานด้วยเรียนด้วยตลอดหลักสูตร
โดยเป็นพนักงานประจำทำงานในโรงแรมหลายแห่งในกรุงเทพ ซึ่งตอนนั้นโอม
บอกว่า ชีวิตเริ่มไขว้เขว
เพราะไม่รู้ว่าจะเรียนต่อหรือว่าจะไปทำงานที่ต่างประเทศ
"ได้ ข่าวจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งเขาเปิดรับสมัครไปทำงานบนเรือสำราญ
ผมจึงรีบตาลีตาเหลือก แต่ก็ไม่ได้การตอบรับ จึงไปสมัครอีกบริษัทหนึ่ง
ก็ผ่านการสัมภาษณ์และเห็นความฝันอยู่ร่ำไร แต่ด้วยความที่รักเรียน
และอยากเรียนให้จบปริญญาตรี จึงขอเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยไป
และอีกอย่างตำแหน่งที่ได้มาตอนนั้นจากคนที่ไม่มีประสบการณ์ หรือมีน้อย
เขาจะให้ทำงานปัด กวาด เช็ดถู เท่านั้น
บวกกับข้อมูลที่ได้มาเราแทบจะนึกไม่ออกเลยว่า งานเป็นอย่างไร
จึงอยากเก็บข้อมูลเยอะๆก่อนที่จะทำงานจริง"
** เดินตามฝัน งาน(เรือ) สำราญ
โอมไม่สามารถฝืนชะตาได้ ต้องไปตามหัวใจเรียกร้อง
โดยเจ้าตัวเริ่มทำงานในช่วงปลายปี 2542
ซึ่งเป็นการทำงานบนเรือสำราญที่ค่อนข้างหนัก
เพราะต้องใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม จากหลากชาติ หลายภาษา
อีกทั้งยังต้องจากบ้านไปไกล ซึ่งอยู่คนละซีกโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งทาง
International Labour Organization (ILO)
ได้กำหนดหนดมาตรฐานของลูกเรือทั่วโลกว่า ต้องทำงานไม่เกิน 12 ชั่วโมง
หรือไม่เกิน 84 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
"ก่อน จะหลับตานอนต้องเตรียมตัวตั้งเวลาทำงาน
หลังเลิกงานก็ต้องเตรียมนอนเพื่อจะไปทำงานต่อไปอีก แม้ว่าจะทำงานทุกวัน
และด้วยความใหญ่โตของเรือและแผนผังสร้างความหลงทิศให้กับลูกเรือใหม่อย่างผม
จำไม่ได้ว่าห้องนอนตัวเอง ห้องอาหารพนักงานอยู่ที่ไหน
เกือบสัปดาห์กว่าจะจับต้นชนปลายถูก
ผมรู้ ทันทีเลยว่าอาการ "Homesick" เป็นอย่างไร คุณจะรู้ดี
ถ้าหากต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนไกลๆ แต่คิดถึงคนที่บ้าน น้ำหู
น้ำตาไหลมาไม่ขาดสาย ยิ่งกว่าแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน
ต่อให้ชายชาติทหารหรืออกสามศอกก็ร้องไห้ไม่แพ้กัน สำหรับชั่วโมงการทำงาน
เฉลี่ยวันละ 14-16 ชั่วโมง โดยจะทำหน้าที่ของพนักงานห้องอาหาร ทำเช้า
บ่าย เสริฟ์น้ำชาตอนบ่าย และเสริฟ์อาหารเย็น กว่าจะเลิกงานเกือบห้าทุ่ม
ต่อด้วยเข้าทำงานตอนเช้าตรู่ หมุนเวียนไปเหมือนเดิมทุกๆ 7 วันต่อสัปดาห์
บรรยากาศในห้องอาหารครั้งแรกที่ผมทำเป็นบริกร บุฟเฟต์
จะมีลูกค้ามาจากมุมใดของโลกบ้างก็ยังไม่อาจหยั่งรู้ได้ เพราะสำเนียงต่างๆ
ปนเปกันจนแยกไม่ออก และด้วยตำแหน่ง "น้องใหม่" ต้องรู้จักทำงานให้ว่องไว
รับคำสั่งแล้วต้องรีบปฏิบัติตาม
ถึงจะเคยทำงานกับชาวต่างชาติสมัยอยู่โรงแรมห้าดาวของเมืองไทย
แต่ศัพท์บางคำ แค่เปล่งออกมา ตาผมแทบจะทะลัก เพราะจับใจความไม่ได้
ต้องสะกดคำว่า "เรียนรู้" อีกนานกว่าจะตั้งตัวได้"
งานบริกรในเรือ พร้อมกับลูกค้าชาวต่างชาติ
** เสื้อ ผ้า หน้า ผม ต้อง "เป๊ะ" ทุกวัน
การทำงานบนเรือสำราญ
ก็เหมือนกับทำงานโรงแรมทั่วไปที่มีกฎระเบียบตามมาตรฐานของแต่ละบริษัท
โดยเฉพาะเครื่องแบบ การแต่งกายที่บ่งบอกถึงบุคลิก
ลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคล
"โดย ปกติแล้ว
ชุดพนักงานทางบริษัทจะแจกให้ฟรีในการเริ่มต้นทำงานครั้งแรก
ถ้าจะซื้อเพิ่มก็จะมีขายในราคาที่กำหนด
ราคาก็ตกอยู่ที่หลักหมื่นเหมือนกัน ส่วนเรื่องซักรีด
จะมีห้องเสื้อผ้าคอยดูให้
นอกเหนือจากชุดส่วนตัวก็จะมีเครื่องซักผ้าให้บริการฟรีให้กับพนักงานทุกคน
การ แต่งหน้าของพนักงานนั้น พอประมาณไม่เข้มมาก และไม่จืดจนเกินไป
ผู้ชายก็พองามไม่ปล่อยหน้าโทรม ส่วนผู้ชายพิเศษ แต่งได้แต่อย่าให้หน้าลอย
สำหรับการทำผมของผู้หญิงจะต้องใส่เน็ตให้เรียบร้อย
ส่วนผู้ชายไม่ควรทำผมรุงรัง เดตร็อคให้ลืมไปก่อน
จะโกรกสีผมให้เหมือนฝรั่งก็ได้ แต่อย่าให้มาก บางคนหน้าเอเชียสุดๆ
แต่ทำผมแดง หรือบางคนเครียดจัดจนต้องระบายด้วยการทำผมเถื่อนๆ
ก็จะถูกลงโทษด้วยการพักงานหน้าม่านไปขลุกตัวอยู่ด้านหลัง
ไม่ต้องพบกับลูกค้าก็มีเหมือนกัน"
บรรยากาศของห้องทำงานบนเรือ
** มหาวิทยาลัย "เรือสำราญ
มหาวิทยาลัยเรือสำราญเป็นสถานที่ที่สอนให้เราศึกษาในเรื่องต่างๆ
แต่จะมีใครสักกี่คนที่คิดว่า เรือสำราญ คือมหา'ลัยแห่งชีวิต
ที่มีนักศึกษามาจากทั่วสารทิศรอบโลก หลากวัฒนธรรม อยู่บนเรือสำราญ
"บริษัทที่ผมทำงาน มีโครงการที่เรียกว่า "Princess U" ย่อมาจาก
Princess University เป็นหลักสูตรพัฒนาบุคคล หลักการทำงานด้านบริการ
และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้ประสิทธิภาพในการทำงานเป็นผลดี
สร้างทีมบุคคลให้เป็นมืออาชีพ
โดยหลายหลักสูตรนั้นจะมาจากสถาบันชั้นนำของอเมริกา
โดยใช้หลักสูตรเดียวกับปริญญาโท
ซึ่งนอกจากจะได้เรียนฟรีแล้วยังได้ความรู้ติดตัวไปด้วย
พร้อมกับใบประกาศนียบัตรจากบริษัท โดยไม่จำเป็นต้องไปศึกษาต่างประเทศ
เพราะผมเชื่อว่า การ ศึกษานั้นเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของคนเรา คำประณาม
"คนไม่มีการศึกษา" จะไม่เกิดขึ้นกับเรา ขอเพียงใฝ่รู้ รักเรียน
ไม่ว่าจะเป็นวิชา สาขาไหน ล้วนแต่ให้สาระและประโยชน์ทั้งนั้น
สักวันหากเรา "จำเป็นต้องใช้"
ความรู้และประสบการณ์ทั้งหลายจะช่วยให้เราแก้ไข ปัญหาและเอาชนะอุปสรรคได้
แม้ว่ามันจะมาจากดีกรี "มหา'ลัยชีวิตก็ตาม"
ความวุ่นวายของการทำงานที่ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว
** ถามจริ๊ง..รายได้เดือนแสน
หลายคนอยากรู้ว่า ทำอย่างไรถึงได้เงินเดือน เดือนละ แสนบาท
เป็นความจริงหรือ ทำงานเป็นแค่พนักงานเสริฟ์ จะทำรายได้เดือนละแสน
ไม่อยากจะเชื่อ!!
"ผมทำงานบริการกับผู้โดยสารตรง ซึ่งตำแหน่งงาน คือ "บ๋อย
อินเตอร์" หรือความเข้าใจของผม คือ ผมเป็นนายแบก
แบกถาดอาหารและเครื่องดื่ม แค่เดินทางไปหลายประเทศ
มีเพื่อนร่วมงานต่างชาติ
พอหมดรอบการท่องเที่ยวลูกค้าทั้งหลายเกิดความประทับใจ หยิบยื่นน้ำใจ
ที่หลายคนเรียกว่า "ทิป" ให้ตามจิตศรัทธาและเมตตา
ผมโชคดีที่มีหัวหน้าเมตตา จัดลูกค้าที่ยิ่งกว่า
วีไอพีให้เป็นประจำ ถ้าถามว่า งานหนักไหม ตอบได้เลยว่า
หนักกว่าเสริฟ์ธรรมดาหลายเท่า เราจึงต้องเป็นตัวของตัวเอง ทำตามสเต็ป
และให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด
สำหรับ ข้อเท็จจริงของเงินเดือนที่ได้จากบริษัท แค่ 50
เหรียญต่อเดือน แต่เงินที่ได้นอกจากทิปแล้ว ยังได้จากจำนวนของผู้โดยสาร
บวกกับเงินที่ผู้โดยสารจ่ายเป็นค่าบริการแล้ว
นำมาหารแบ่งกันตามตำแหน่งและเปอร์เซ็นต์
จึงทำให้รายได้ต่อเบ็ดเสร็จต่อเดือนที่พอทำได้ อยู่ที่เงินจำนวนนั้น"
โฉมหน้าของผู้ร่วมงาน
** ประสบการณ์นั้น สำคัญไฉน
หลายคนที่มองหาอาชีพในฝัน และจังหวะของชีวิตที่อยากจะโกอินเตอร์
คงต้องมีคุณสมบัติง่ายๆ คือ ต้องมีประสบการณ์เท่านั้น
"บางตำแหน่งจะรับคนที่ประสบการณ์ หรือบางบริษัทกำหนดไว้เลยว่า
"ต้องมีประสบการณ์เท่านั้น" หรือรับเฉพาะคนที่มีประสบการณ์โดยตรง
จึงขอแนะนำว่า คุณควรสมัครตำแหน่งล่างๆ ที่เค้าไม่เน้นประสบการณ์ เช่น
พนักงานทำความสะอาดบนเรือสำราญ คล้ายสจ๊วตบนเครื่องบิน
ตำแหน่งนี้ขอบอกว่า ต้องใช้ทักษะและความอดทน อึดสูงถึงสูงมาก
เพราะการทำความสะอาดนั้น จะรวมไปถึงห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องโถง
ห้องสารพัดห้องที่อยู่ในเรือสำราญ
ข้อนี้ขอแนะนำน้องๆ ที่เพิ่งเรียนจบ
ควรจะหาประสบการณ์เก็บชั่วโมงบิน เมื่อครั้งที่อยู่เมืองไทยก่อน
หากมีโอกาสควรไปทำงานโรงแรมห้าดาว เพื่อโอกาสในการผ่านการสัมภาษณ์
ไม่มีประสบการณ์แล้วไปลำบากมากหรือไม่ก็ได้แค่ตำแหน่งล่างๆ
ซึ่งงานจะหนักแบบเลือดตาแทบกระเด็น ผมคิดว่า ถ้าเรายังไม่พร้อม
ก็ต้องหาหนทาง หาประสบการณ์ต่อไป"
** เหมาะสมกับตำแหน่งไหน
บางครั้งทฤษฏีที่เรียนมา กลับนำมาใช้ไม่ได้กับการทำงานจริง
บางคนจบปริญญาโท ด้านแฟชั่นดีไซต์จากสถาบันชั้นสูงของเมืองไทย
บางคนเรียนจบวิทยาศาสตร์ จบสัตวแพทย์
ยังเคยเลือกที่จะไปลงเรือหาความสำราญ ท่องล่องแดนไกล ให้ตัวเองทำงานระบม
"ผม ขอแนะนำให้ทำงานในสาขาอาชีพที่ตรงกับที่เราต้องการ เป๊ะ เป๊ะ
เพราะถ้าหากเราทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ มันจะเกิดความขัดแย้งภายในจิตใจ
ส่งผลกระทบต่อสมองและความคิด ยกตัวอย่าง ถ้าให้คุณบางคนไปเอาใจ ลูกค้า
ปากหวานก้นเปรี้ยว สอพลอ อ้อล้อเอาใจลูกค้า บางคนก็ทำไม่ได้
หรือจะให้ทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถู ก็อยู่ไม่ไหว ดังนั้น
เราควรทำงานที่เราถนัดและตัวเองชอบ
เพราะว่าถึงแม้มันจะหนักหนาสาหัสขนาดไหนแต่ใจรัก
มันก็ทำให้ผ่านวิกฤตินั้นได้โดยง่าย"
** ประวัติส่วนตัวที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ในแต่ละเดือน
แต่ละปีมีจำนวนผู้สนใจเข้าสมัครงานในเรือสำราญกว่าพันคน
แต่เนื่องจากตำแหน่งและจำนวนที่เค้าต้องการจำกัด จึงต้องการมีแข่งขัน
หากประวัติและคุณสมบัติของผู้สมัครยังไม่เป็นที่ต้องการของบริษัทก็คงยากที่
จะเข้าทำงาน
"น้องๆ ต้องเตรียมประวัติส่วนตัว อย่าเขียนด้วยลายมือตัวเอง
เพราะมันไม่เวิร์ก คนอ่านก็อ่านยาก
จำเป็นและสมควรอย่างยิ่งที่จะพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษตามหลักแกรมมาร์
ไวยากรณ์ รวมทั้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่ถูกต้อง ชัดเจน
ไม่ควรมีมากกว่า 2-3 หน้า
ประวัติควรถูกต้องตามวัตถุประสงค์ ของตำแหน่งงานที่จะสมัคร
อธิบายประสบการณ์การทำงาน ทักษะ การศึกษา หน้าที่และความรับผิดชอบ
การศึกษาที่ได้รับ รวมถึงรางวัล ประกาศนียบัตรต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง ไม่ใช่แค่เรียงลำดับเยอะแยะมากมาย
แต่ไม่เกี่ยวข้องกับสายงานที่จะสมัคร"
** ค่าสมัคร ค่าใช้จ่ายก่อนไป
การลงทุนหรือทำอะไรก็ต้องมีเงินสำรอง
แม้แต่จะเช่าห้องก็ยังต้องมีเงินประกันไม่อย่างนั้นก็เข้าอยู่ไม่ได้
เช่นเดียวกับค่าสมัคร ค่าใช้จ่ายก่อนที่จะเข้าทำงาน
"บางบริษัท
เรือสำราญที่จัดส่งไปทำงานด้วยมีเงินค่าใช้จ่ายเกือบครึ่งแสน หรือเกือบๆ
ล้าน ซึ่งมันขึ้นอยู่กับเรือที่จะไปทำงานว่าเขามีเงื่อนไขอย่างไร
บางบริษัทต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเอง บางบริษัทออกให้ฟรี
เพียงแค่ทำงานครบกำหนด
เพราะฉะนั้น คูณต้องเตรียมไว้ เลยเกือบๆ ห้าหมื่นบาท
หรือมากกว่านั้น เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตตัวเอง แต่ก็อย่างที่บอกว่า
มันแล้วแต่คุณว่าจะลงทุนให้ได้กำไร หรือลงทุนหายกำไรหด
หากทำงานไม่ครบสัญญา ก็อาจจะหมดสูญเปล่าโดยไม่รู้ตัว
สิ่งสำคัญที่สุด ก่อนที่จะตัดสินใจ
ควรศึกษาข้อมูลและสอบถามให้ระเอียดก่อน ว่าต้องเตรียมเงินในการเดินเรื่อง
ค่าทำวีซ่า ค่าพาสปอร์ต ค่าอบรม ค่าตรวจร่างกายเท่าไร
ให้รู้แจ้งเห็นจริงก่อน"
....ติดตามเรื่องราวประสบการณ์ความสนุกกับชีวิตบนเรือสำราญของ
"โอม" สมรัชนะ มูลสาย ในหนังสือ "โหด มันส์ ฮา ประสาลูกเรือ (สำราญ)
ได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป
** ขอบคุณภาพประกอบข่าว โดย คุณโอม และสำนักพิมพ์ปิ่นโต พับลิซซิ่ง
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000122033
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น