++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฮักเวียงสา เมื่อมาแอ่วน่าน/ปิ่น บุตรี

โดย ปิ่น บุตรี 28 ตุลาคม 2552 15:16 น.
โดย : ปิ่น บุตรี

สนง. เทศบาล ต.เวียงสา อดีตที่ว่าการ อ.สา ซึ่งในหลวงและพระราชินีเคยเสด็จมาประทับ
ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า ณ ที่นั่นนอก"น่าน"
มีคนเรียกปลาให้ขึ้นมาว่ายเหนือน้ำได้

โอ้!?! แม่เจ้า อะไรมันจะออกแนวพระสังข์ปานนั้น

กับเรื่องแบบนี้แค่ได้ยิน มันย่อมสู้การไปพิสูจน์ให้เห็นจะจะกับตาไม่ได้

ว่าแล้วผมก็เดินทางไปพิสูจน์ความจริงกัน ณ จุดต้นทางของเรื่องที่
"เมืองเวียงสา" อ.เวียงสา
ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองน่านไปทางทิศใต้ประมาณ 25 กม.

รู้จักนามเวียงสา

เมืองเวียงสา(อ.เวียงสา) เดิมชื่อ "เวียงป้อ,เวียงพ้อ" หรือ
"เมืองป้อ,เมืองพ้อ" ตามตำนานเล่าว่า ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น
จะมีการเรียกผู้คนที่มีอยู่จำนวนไม่มากนักในบริเวณนั้นมา"ป้อ"(รวม)กัน
ที่ปากแม่น้ำสา

ในอดีตเวียงป้อมีความสำคัญในฐานะเมืองประเทศราชของนครน่าน
จนกระทั่ง พ.ศ. 2440 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่
ร.ศ. 116 ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเวียงป้อไปขึ้นกับแขวงบริเวณน่านใต้
ต่อมาถูกตั้งเป็น"กิ่งอำเภอเวียงสา" แล้วได้รับการยกฐานะเป็น
"อำเภอบุญยืน" ในปี พ.ศ. 2461

ปี พ.ศ. 2482 เปลี่ยนชื่อจากอำเภอบุญยืนเป็น อำเภอสา
ก่อนเปลี่ยนเป็น อำเภอเวียงสาในปี พ.ศ. 2526 ซึ่ง 2 ชื่อหลัง
ตั้งตาม"ลำน้ำสา" ลำน้ำสำคัญของอำเภอที่มีต้นสาขึ้นอยู่เต็ม

อ.เวียงสา เป็นดังประตูสู่เมืองน่าน
เพราะถ้าจะเดินทางสู่น่านไปตามถนนสายหลักนั้น(ทางหลวงหมายเลข 101
กำแพงเพชร-น่าน) ต้องผ่าน อ.เวียงสาก่อน ซึ่งในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.
2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
เสด็จฯเยี่ยมราษฎรภาคเหนือ จากแพร่สู่ที่ว่าการอำเภอสา(ชื่อในขณะนั้น)
ด้วยพระราชพาหนะรถจี๊ป และโปรดเกล้าให้พสกนิกรเข้าเฝ้าฯ ณ หน้ามุขชั้น
2ของที่ว่าการอำเภอสา
จากนั้นจึงเสด็จฯต่อไปยังศาลากลางจังหวัดน่านในขณะนั้น(ปัจจุบันคือ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน)

การเสด็จฯครั้งนั้นของ 2
พระองค์ยังความปลาบปลื้มปีติของชาวอำเภอเวียงสามาจนถึงทุกวันนี้

เด็กๆตีกะหล๊กเรียกปลา
เที่ยวฮักเวียงสา

นอกจากจะเป็นประตูสู่น่าน
เป็นเมืองแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จมาประทับรอยพระบาทแรกในน่าน
เป็นเมืองที่มีคนเรียกปลาได้แล้ว เวียงสายังมีของดี
มีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง

นั่นจึงทำให้ทางกลุ่ม"ฮักเมืองเวียงสา"กับชาวบ้านและภาคส่วนอื่นๆใน
อำเภอ ร่วมแรงร่วมใจกันจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมขึ้น
เพื่อให้ผู้มาเยือนละวางความรีบเร่ง
และได้รับรู้ถึงมนต์เสน่ห์ของเมืองเล็กๆอันเรียบง่าย สงบงามแห่งนี้
โดยขอเป็นแหล่งท่องเที่ยวรองเชื่อมต่อจากเมืองน่าน

"ที่สำคัญกว่านั้น
คือเราอยากให้คนเวียงสารู้จักบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
ซึ่งการท่องเที่ยวจะทำให้คนเวียงสาเกิดการเรียนรู้เพื่ออนุรักษ์ บอกกล่าว
อธิบาย ต่อนักท่องเที่ยวได้"

เฉาก๊วย หนึ่งในผู้มีบทบาทของกลุ่มฮักเมืองเวียงสาบอกกับผม
พร้อมทั้งไม่ลืมที่พูดถึงในสิ่งที่ผมเป็นห่วงว่า
พวกเขากับชาวบ้านจะทำการท่องเที่ยวเป็นอาชีพเสริมแบบพอเพียงเท่านั้น
ด้วยไม่อยากให้เมืองเวียงสาถูกธุรกิจท่องเที่ยวทำลายจนเสียศูนย์
เสียอัตลักษณ์ของชุมชนไป เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นดาบ 2 คม
ที่ต้องรู้จักมันให้ดี

แอ่วของดีเวียงสา

ฟังคุณเฉาก๊วยอธิบายแล้ว
ทีนี้ก็ต้องไปตะลอนๆเที่ยวชมของดีในเมืองนี้กันเสียหน่อย
โดยให้เฉาก๊วยกับกลุ่มฮักเมืองเวียงสาเป็นคนพาชม

จุดแรกนั้นผมมุ่งไปชมสิ่งสนใจที่ติดค้างไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องนั่นก็คือการไปดูคนเรียกปลา
ที่บ้านกะหล๊กน้ำน่านใต้

บ้านนี้เป็นบ้านไม้ใหญ่โตกว้างขวางติดริมแม่น้ำทิวทัศน์สวยงาม
กำลังทดลองจัดทำเป็นโฮมสเตย์
ทุกวันอาทิตย์จะมีการสอนภาษาล้านนาแก่ผู้ที่สนใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่
ใต้ถุนบ้าน ส่วนตรงลานริมน้ำหลังบ้านแขวน"กะหล๊ก"ไว้
มีลักษณะเป็นไม้คล้ายกระดึงผูกคอวัว
สมัยก่อนใช้ในการตีเรียกประชุมชาวบ้านหรือเคาะเรียกยามเกิดเหตุสำคัญ

แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีอื่นเข้ามากะหล๊กจึงค่อยๆเลือนหายไป
แต่ที่บ้านหลังนี้เขาเก็บกะหล๊กไว้เพื่อตีเรียกปลาให้มากินอาหาร
โดยทุกๆวันคนในบ้านจะนำอาหารปลาใส่ตะกร้าที่แขวนไว้กับผูกรอก
แล้วจึงเคาะกะหล๊กเสียงดัง ป๊กๆๆๆ ส่งสัญญาณไปถึงปลา
จากนั้นปลาแถวนั้นจะว่ายน้ำมารออาหารกันที่ผิวน้ำ
เจ้าของบ้านก็ปล่อยอาหารให้ปลากินอย่างสบายใจ
โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาจับเพราะชาวบ้านที่นี่เขาร่วมใจกันอนุรักษ์พันธุ์
ปลาในละแวกนี้ไว้

จักรยานเก่ามากมายที่เฮือนรถถีบ
นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ไม่ต้องใช้คาถาแบบพระสังข์หรือไม่ต้อง
เป็นจอมขมังเวทย์แต่อย่างใด
แต่ภูมิปัญญาแบบนี้แหละสามารถเรียกความสนใจของนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยเลย

อีกจุดหนึ่งในเวียงสาที่แม้กระทั่งคนเวียงสาหลายยังไม่รู้ก็คือ
"เฮือนรถถีบ" ของคุณลุงสุพจน์ เต็งไตรรัตน์
ที่เดิมคุณลุงเปิดร้านซ่อมจักรยาน
ก่อนพัฒนามาเป็นตำแทนจำหน่ายจักรยานยุโรป

ต่อมาด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงคนหันไปใช้รถยนต์ มอเตอร์ไซค์
แทนจักรยาน คุณลุงจึงหันมาเปิดปั๊มแทน
ส่วนจักรยานนั้นด้วยใจรักจึงไม่ทิ้ง
หากแต่นำเก็บสะสมไว้และซื้อหาจักรยานเก่าๆหายากมาเพิ่มเติม อาทิ
จักรยานล้อโต 64 นิ้วที่ซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์เยอรมัน
จักรยานเก่าแบบพับเห็บได้ และจักรยานเก่าจากยุโรปหลากหลายยี่ห้อ เช่น
ราเลย์ กาเซีย โบบินฮูด ฟิลิปส์ นิวฮัทสัน
แล้วเปิดให้ชมในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ให้คนที่สนใจได้ชื่นชมกัน

ไหนๆก็พูดถึงจักรยานแล้ว คุณเฉาก๊วย
บอกว่าเวียงสาเป็นเมืองที่น่าปั่นจักรยานเที่ยวมาก
เพราะจะได้สัมผัสกับวิถีชิวิตอันเรียบง่ายของชาวบ้านอย่างใกล้ชิด
ทั้งอาคารบ้านเรือน การดำรงชีวิต การทอผ้า การทำเรือ การทำสวนผลไม้
ซึ่งที่นี่มีผลได้อร่อยๆหลายอย่าง อาทิ ขนุน กล้วย มะละกอ ลองกอง
โดยใครที่มาเที่ยวเวียงสานั้น
ทางชุมชนเขามีจักรยานเตรียมไว้ให้รองรับได้ประมาณ 100 คนเลยทีเดียว

พระพุทธรูปยืนในโบสถ์วัดบุญยืน
นอกจากของดีตามที่กล่าวมาแล้ว
เวียงสายังมีพระพุทธรูปไม้ตะเคียนที่ใหญ่มาก ณ ศูนย์วิปัสนาสุญญตวิโมกข์
เป็นอีกหนึ่งสิ่งชูโรง และมี"วัดบุญยืน"เป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง

วัดบุญยืน มีอายุกว่า 200 ปีแล้ว ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเทศบาล
ต.เวียงสา วัดนี้มีสิ่งน่าสนใจมากอยู่ที่โบสถ์ทรงล้านนาอิทธิพลสุโขทัย
มีประตูโบสถ์เป็นไม้แกะสลักรูปเทวดาและลวดลายพรรณพฤกษาอย่างปราณีตอ่อนช้อย
ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลกเป็นพระประธาน
มีเสาโบสถ์ขนาดใหญ่ส่วนล่างเป็นปูนนำสายตาเข้าไปดูขรึมขลังเปี่ยมศรัทธายิ่ง
นัก

หลังออกจากการไหว้พระงามในโบสถ์วัดบุญยืน
ก่อนร่ำลาจากเมืองนี้ผมแวะยังจุดน่าสนใจสำคัญที่อยู่ตรงข้ามกับวัดนั่นก็คือ
สำนักงานเทศบาลตำบลเวียงสา เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น รูปทรงสมส่วนกระทัดรัด

เดิมที่นี่คือที่ว่าการอำเภอสาซึ่งในหลวงและพระราชินีเคยเสด็จมา
ประทับ และโปรดเกล้าให้พสกนิกรเข้าเฝ้าฯ ณ มุขหน้าชั้น 2
ของที่ว่าการอำเภอตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

นับได้ว่านี่คือหนึ่งในสถานที่ทรงคุณค่าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีคุณค่าทางจิตใจอย่างสูงยิ่งของชาวเวียงสา

แต่ทว่าในยุคสมัยหนึ่ง
มีข้าราชการจำนวนหนึ่งกลับมองไม่เห็นความสำคัญในจุดนี้
กลับเห็นว่าควรทุบทิ้ง(เพราะเห็นเป็นอาคารไม้ไม่ทันสมัยทั้งที่ยังใช้งานได้
ดี)เพื่อสร้างอาคารตึก(ปูน)ใหญ่โตแทน
แต่ยังดีที่มีชาวบ้านและกลุ่มภาคีคนฮักเมืองน่านทัดทานไว้
เพราะเห็นเป็นอาคารทรงคุณค่า

นั่นจึงทำให้อาคารนี้ยังคงอยู่คู่เวียงสามาจนถึงทุกวันนี้พร้อมกับ
บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สำคัญของเมือง ซึ่ง ณ
วันนี้มีข่าวดีว่าทางเทศบาลตำบลจะปรับปรุงอาคารไม้หลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์
ท้องถิ่นเมืองเวียงสา ที่ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าจะสัมฤทธิ์ผลเมื่อไหร่

อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้
มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเทศบาลตำบลบ่นให้ผมและสาธารณะชนจำนวนหนึ่งฟังว่า
เมื่อครั้งที่ในหลวงและพระราชินีเสด็จมาที่นี่
พระองค์ท่านทั้งสองได้เสด็จประทับบนเก้าอี้ไม้ 2 ตัว
ซึ่งถือเป็นเก้าอี้ทรงคุณค่าที่จะนำมาเป็นไฮไลท์ในการจัดพิพิธภัณฑ์
แต่วันนี้เก้าอี้ 2 ตัวนั้นอันตรธานหายไปนานแล้ว
เพราะถูกนายอำเภอผู้นิยมสะสมของเก่าบางคนฉกไปตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต(ซึ่งแก
ก็ไม่รู้ว่าใคร) นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง

เฮ้อ...ใครหนอช่างกล้าทำได้ถึงเพียงนี้
ซึ่งถ้าเรื่องนี้จริงตามที่เจ้าหน้าที่คนนั้นอ้าง
ก็ให้รู้ไว้ด้วยว่าการกระทำแบบนี้ของมันผู้นั้น
มีคนก่นด่าและสาปแช่งต่อพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมตามไล่หลังอยู่เป็นจำนวนมาก

*****************************************

สอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเวียงสาเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ประสานงานกลุ่มฮักเมืองเวียงสา
08-5864-8920,08-6118-9054

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000128894

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น