++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จีน-ไทย : ห่างไกลกันลิบลับ!

โดย แสงแดด 13 ตุลาคม 2552 15:22 น.
ขอควันหลงเกี่ยวกับ "วันฉลองวันชาติจีน" ที่ เพิ่งจะเฉลิมฉลองครบรอบ 60
ปี ไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่ง
ที่การเฉลิมฉลองและการเดินสวนสนามโชว์ความยิ่งใหญ่ของประเทศสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน (The Republic People of China) ด้วยริ้วขบวนของฝ่ายทหาร
(ความมั่นคง) และเจ้าหน้าที่อื่นๆ
ตลอดจนการโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างมากเช่นเดียวกัน

บังเอิญช่วงปลายเดือนกันยายน ก่อนที่จะมีการเฉลิมฉลอง
"วันชาติจีน" "แสงแดด" และ
คณะบังเอิญมีภารกิจที่ต้องเดินทางไปเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
เริ่มตั้งแต่กรุงปักกิ่ง
เลยขึ้นไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เมืองเซินหยาง (Shenyang)
และก็วกกลับลงมาที่มหานครเซียงไฮ้ แล้วก็กลับสู่กรุงเทพมหานคร

การไปเยือนประเทศจีนในครั้งนี้
หลังจากที่เดินทางไปเยือนจีนครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณต้นปี 2549
ช่วงเดือนมีนาคม อากาศเย็นสบาย สวมเสื้อโค๊ตหรือแจ็กเก็ตบางๆ
ก็สามารถเดินเหินได้อย่างสบาย

หลังจากประมาณ 4 ปีกว่าๆ ผ่านไป ต้องยอมรับว่า
จีนเปลี่ยนแปลงประเทศไปอย่างมาก ในกรณีของสภาพแวดล้อม
ความเจริญเติบโตของเมือง ความทันสมัย และที่สำคัญที่สุด
"ความร่ำรวย-มั่งคั่ง" ของบรรดารถยนต์ ยานพาหนะ ตลอดจนถนนหนทาง
ตึกรามบ้านช่อง ที่ผิดแผกแปลกตาไปอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความเจริญทางด้านวัตถุจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว
แต่ปัญหาด้าน "สภาพแวดล้อม มลพิษ (Pollution)"
เป็นปัญหาสำคัญของเมืองใหญ่ในประเทศจีน ที่บรรยากาศจะออกไปทาง
"ขมุกขมัว-สีเทา" ไม่ค่อยเห็นแสงแดดซักเท่าไหร่ เนื่องด้วยหมอกเยอะ
ถึงแม้ว่าตามถนนหาทางจะมีการปลูกต้นไม้ สร้างสวนหย่อมทุกที่ที่มีที่ว่าง

แต่ก็แปลก ที่เมื่อเดินอยู่ภายนอกอาคารหรือในที่แจ้ง
กลับไม่มีกลิ่นเหม็นของมลพิษที่กลิ่นออกไปทางวัตถุไหม้หรือแห้งหืนอะไรทำนอง
นั้น ที่เรียกว่า "สม็อก (Smog)" เป็นคำผสมระหว่าง "Smoke-Fog"

ในประเทศต่างๆ นับวันปัญหาด้าน "Smog"
จะไม่ค่อยมีให้ได้เห็นได้กลิ่นกันเหมือนในอดีต โดยเฉพาะนครนิวยอร์ก
และ/หรือนครลอสแองเจลิส

ปัจจุบันประเทศจีนพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก
มีปัญหารถติดเพราะชาวจีนส่วนใหญ่มีสถานะทางเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าเดิม
พูดง่ายๆ หมายความว่า ประชาชนมีรายได้ดีกว่าเดิมหลายร้อยเท่า
ชาวจีนที่อยู่ในระดับฐานะยากจนจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำประมาณปีละหนึ่ง
แสนกว่าบาท (ประมาณ 20,000 กว่าหยวน) เรียกว่า อย่างต่ำเดือนละ 1
หมื่นกว่าบาท

ทั้งนี้ ทราบมาว่า "การค้าขายใต้ดิน"
นั้นมีเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนมากมายเช่นเดียวกัน
อย่างต่ำก็ประมาณนับสูงถึงหลัก 100,000 หยวนต่อปีเลยทีเดียว
หรืออาจจะมากกว่านั้น

เท่าที่ได้สดับตรับฟังข้อมูลจากนักธุรกิจชาวจีน
ตลอดจนนักธุรกิจต่างชาติต่างเล่าให้ฟังว่า "ธุรกิจใต้ดิน" ของ
"ธุรกิจผิดกฎหมาย" นั้น มีจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์หรือ "สินค้าปลอม" ระบาด
ไปทั่วทุกหัวระแหง ทั้งนี้รัฐบาลตั้งแต่ระดับเมือง ระดับมณฑล
และระดับรัฐบาลกลาง พยายามปราบปรามอย่างต่อเนื่อง
ส่วนจะเอาจริงเอาจังขนาดไหนนั้น ก็ต้องบอกตามตรงว่า
"ไม่ถึงขั้นสะเด็ดน้ำ!"

อย่างไรก็ตาม "ชาวจีนยุคใหม่"
ปัจจุบันไม่นิยมใช้สินค้าปลอมจากสินค้าแบรนด์เนมอีกต่อไปแล้ว ถ้าใครใช้
"สินค้ายี่ห้อปลอม" มักจะถูกดูถูกดูแคลน หรือ "รสนิยมต่ำ (Poor Taste)"
ชาวจีนยุคใหม่จึงนิยมที่จะใช้ "สินค้าแท้" และ "อวดกัน!"

แต่ก็แปลกที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ยังคงนิยมชมชอบที่จะไปซื้อสินค้าปลอม เนื่องด้วยราคาถูก
ตามสถานที่ศูนย์การค้าเดิมๆ ไม่ว่าที่กรุงปักกิ่ง หรือมหานครเซียงไฮ้
แต่ที่เซียงไฮ้นั้น
ได้ถูกจัดให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่เอิกเกริกเหมือนอย่างในอดีต
แต่สินค้าปลอมนั้น ไม่สามารถนำมาวางโชว์อย่างโจ๋งครึ่มเหมือนในอดีต
แต่ปัจจุบันจะแอบๆ ขายกัน
โดยซุกอยู่ใต้ตู้พร้อมมีรูปภาพแคตตาล็อกให้เลือกกันได้ และขอย้ำว่า
"ชาวต่างชาตินิยม" มากกว่าชาวจีนกันเอง!

การเป็น "ซูเปอร์มหาอำนาจ" ทางด้านเศรษฐกิจของจีนนั้น
ต้องยอมรับว่า "ฉุดไม่อยู่!" เสียแล้ว ถึงแม้ว่า
"อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ-ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ"
หรือมักเรียกติดปากกันว่า "จีดีพี (GDP)" ของจีนปี 2009 นี้
ตกมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 8 เท่านั้น ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเมื่อ 2-3
ปีที่แล้ว จีดีพีร้อนแรงมากไปแตะที่ระดับร้อยละ 11-12 ทีเดียว

อย่างไรก็ตาม อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนนับว่าสูงสุด
นำหน้าประเทศมหาอำนาจทั้งหมดทั่วโลก
เหตุผลสำคัญที่ทำให้สภาวะเศรษฐกิจของจีนถดถอยลงไปนั้นเกิดจาก
"ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก" โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญ
อย่างสหรัฐอเมริกาที่พลอยฉุดให้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกพลอย "ดิ่งลงเหว!"
ไปด้วย

ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งและอภิมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น
"ด้านความมั่นคงของแสนยานุภาพ" ทาง
อาวุธยุทโธปกรณ์ของจีนก็ไม่ได้น้อยหน้าอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาแม้แต่น้อย
ประกอบกับกำลังพลกองทัพมหึมาของจีนนับหลายสิบล้านคน ตลอดจนขีปนาวุธ
เครื่องบินขับไล่ เรือดำน้ำนิวเคลียร์ หรือแม้กระทั่ง
"การพัฒนาด้านอวกาศ" ปัจจุบันจีนล้ำยุคไปมากพอสมควร

พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ ก็หมายความว่า กลุ่มประเทศมหาอำนาจของโลก
ไม่ว่าสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี เป็นต้น
ยังต้องให้ความสำคัญ พร้อมพินอบพิเทาต่อจีนอย่างมากก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น
จีนจึงติดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าระดับ "G7-G8-G20"
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่ต้องดูอื่นไกล
"การเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ" ที่มีเพียง 5
ประเทศเท่านั้น จีนยังเกาะติดกลุ่มมาอย่างยาวนาน

ในฐานะที่เราเป็นชาวเอเชียด้วยกัน
และประเทศจีนเปรียบเสมือนประเทศพี่ใหญ่ของไทยเรา
ตลอดจนกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนต้อง "ภาคภูมิใจ" และ "อบอุ่นใจ"
ที่มีจีนคอยโอบอุ้มป้องกันดูแล

เพียงระยะเวลา 60 ปี ของการสถาปนาเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
โดยท่านประธานเหมาเจ๋อตุงเป็น "ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน" เมื่อวันที่ 1
ตุลาคม 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติได้เพียง 4 ปี (ค.ศ. 1945)
ประเทศจีนเจริญรุดหน้ามากมายเพียงนี้
จนมายืนอยู่แถวหน้าของประชาคมโลกได้อย่างสง่างามและน่าเกรงขาม

ระบอบการเมืองการปกครองของจีนเป็น "สังคมนิยม"
และระบบเศรษฐกิจเป็น "ทุนนิยม" ที่ต้องยอมรับว่า
"ความต่อเนื่อง-ความแข็งแกร่ง"
ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ดำเนินและบริหารนโยบายอย่างต่อเนื่อง

"เสถียรภาพทางการเมือง" ต้องยอมรับว่า มีความสัมพันธ์และสำคัญต่อ
"เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ"
ในกรณีนี้จึงทำให้จีนมีเสถียรภาพในการพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งมาตราบเท่าทุกวันนี้

ทั้งนี้ เราจะมากล่าวว่า ประเทศจีนเป็น "ประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จ"
ก็ไม่น่าจะกล่าวได้เช่นนั้น
เนื่องด้วยมีการพัฒนาในการมอบอำนาจสูงสุดขึ้นอยู่กับ "ประชาชน (People)"
โดยกำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่า "จะไม่มีการกดขี่ขูดรีด ไม่แบ่งชนชั้น
และให้ประชาชนมีความร่ำรวยเสมอภาคเท่าเทียมกัน"

และที่สำคัญที่สุดคือ ในปีที่ 5 หลังจากสถาปนาจีนใหม่แล้ว
ได้ประกาศใช้ "รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน"
ซึ่งได้มีการให้ประชาชนจีนนำไปศึกษาและพิจารณาอภิปรายทั่วประเทศเป็นเวลา
3 เดือน และได้รับความเห็นจากประชาชนจำนวน 1 ล้านกว่าข้อ
จึงได้มีการปรับปรุงและประกาศใช้ในที่สุด
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งหมายความได้ว่ามี "การทำประชามติ"

รัฐ ธรรมนูญของจีนเป็นฉบับแรกที่กำหนดขึ้นใช้เมื่อปี 1954
โดยยึดมั่นหลักการสำคัญสองประการ "หนึ่ง กระบวนการยุติธรรมเป็นอิสระ
และสองให้การบัญญัติกฎหมายมีประชาธิปไตย"

"ประชาธิปไตยของจีนเน้นความยุติธรรมและการมีส่วนร่วมจากประชาชนชาว
จีนและเป็นประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์
มิใช่ประชาธิปไตยที่เน้นธุรกิจเหมือนบ้านเรา!"

มิน่า การพัฒนาประเทศของเขาจึงได้เจริญรุดหน้ามาได้เพียง 60 ปี
แต่ของบ้านเรา 76 ปีผ่านไป ยังลุ่มๆ ดอนๆ มีแต่
"เกมการเมือง-ต่อรอง-แก่งแย่งอำนาจ"
จนชาติบ้านเมืองเป๋ไปเป๋มาอย่างเช่นทุกวันนี้!

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000121444

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น