++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"มอง พ.ร.บ.เด็ก แบบเด็กๆ"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 ตุลาคม 2552 19:08 น.

โดย...มูลนิธิสยามกัมมาจล

แกน นำสภาเด็กและเยาวชนรวมพลังประกาศเสียงดังในวงเสวนา
"มองพรบ.เด็กแบบเด็กๆ" ปลุกกระแสธรรมาภิบาล
ชวนเด็กและเยาวชนทั่วประเทศอย่านิ่งเฉยใช้สิทธิอย่างสร้างสรรค์ทำกิจกรรมดี
ๆ เพื่อร่วมพัฒนาประเทศ เชื่อวัยรุ่นไทยมีดี
หากได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็กจะช่วยตัดวงจรโคตรโกงในสังคม

แม้ในทางกฎหมายจะเปิดโอกาสให้เด็กเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมและ
พัฒนาเด็กและเยาวชน มาเกือบ 2 ปีแล้วนับแต่มีการประกาศใช้
พรบ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550
และมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551นั้น
ในวันนี้ยังมีข้อติดขัดหลายอย่าง
เยาวชนจากสภาเด็กและเยาวชนแห่งชาติจึงหยิบยกมาพูดคุยกันในวงเสวนาเรื่อง
"มอง พรบ.เด็กแบบเด็ก ๆ" ที่จัดขึ้นในงานมหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคม
"ร่วมสร้างประเทศไทย...ด้วยการให้"ที่
มูลนิธิสยามกัมมาจลและผู้ใหญ่ใจดีจาก 102 องค์กรร่วมกันจัดขึ้นเมื่อเร็ว
ๆ นี้ และมีสมาชิกสภาเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศเข้าฟังจำนวนมาก
โดยมีสาระที่น่าสนใจคือ

นายบุญชัย ฤทธิปัญญาวงศ์ หรือ "เบญ"
อนุกรรมการด้านเด็กและเยาวชนวุฒิสภา
กล่าวถึงความสำคัญของพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ
ว่า เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิที่เด็กและเยาวชนควรจะได้รับอย่างเท่าเทียมเช่นเดียว
กับประชาชนทั่วไป อาทิเช่น การรับรองการเกิด การศึกษา เป็นต้น
ที่สำคัญคือให้มีการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนแห่งชาติขึ้นมา
โดยให้มีคณะทำงานตั้งแต่สภาเด็กระดับตำบล อำเภอ จังหวัดและประเทศ
ซึ่งทำให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมและมีบทบาทมากขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2550 แต่ที่ผ่านมา
สภาเด็กและเยาวชนยังไม่ค่อยมีบทบาทเท่าที่ควร
ปัจจุบันคณะทำงานสภาเด็กและเยาวชนจึงพยายามให้วัยรุ่นทุกคนได้รับรู้รับทราบ
เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามพรบ.ฉบับนี้

นายแบงค์ งามอรุณโชติ
อนุกรรมาธิการด้านตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภาหนึ่งในผู้ร่วมร่างพรบ.ฉบับนี้
กล่าวว่าความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนเกิดขึ้นทุกวัน
แต่บางครั้งต้องดับลงไปเพราะขาดกฎหรือกติกาสาธารณะบางอย่างที่จะทำให้กระบวน
การระหว่างการทำงานของนักกิจกรรมเบาบางลงไป ทั้งเรื่องการสนับสนุน
ทรัพยากรและความร่วมมือ อย่างไรก็ตามเมื่อมี
พรบ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติขึ้นตนอยากเน้นใน
ด้านธรรมาภิบาล หรือความละอายต่อการทุจริต คอร์รัปชั่น
ที่เชื่อว่าต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ

"แต่ ละคนจะมีมาตรวัดอยู่ในใจ เวลาเราทำผิดครั้งแรก
ร่างกายจะตอบสนองว่าไม่ควรทำ เวลาไปดื่มเหล้า สูบบุหรี่ครั้งแรก
จะอาเจียน เมา เหม็น แต่เมื่อไหร่ที่ทำบ่อยๆ จะเกิดความเคยชิน
ดังนั้นเราจะปลูกฝังความละอายเหล่านี้ให้อยู่ในตัวเด็กและเยาวชนได้อย่างไร
เป็นโจทย์หลักที่ต้องการให้เครือข่ายเยาวชนมาร่วมกันทำเรื่องนี้เพื่อให้
หยั่งรากลงไปในจิตใจของเยาวชนไทย" แบงค์ กล่าว

นายเอก วงศ์อนันต์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ซึ่งเคยทำกิจกรรมคลุกคลีกับเยาวชนมานานระบุว่า
มีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน
ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด หรือ พรบ.คุ้มครองเด็ก
พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัว พรบ.คุ้มครองแรงงาน
ล้วนเกี่ยวข้องกับเด็ก แต่ทั้งหมดเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครอง
เยียวยาและช่วยเหลือเมื่อเด็กมีปัญหา ในขณะที่
พรบ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ
ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและการพัฒนาศักยภาพเด็ก
เปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิ มีเสียงอย่างชัดเจนมากขึ้น

นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์ ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย
กล่าวว่า พรบ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ
เป็นกฎหมายฉบับแรกที่ประกาศขึ้นตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติ เด็ก
วัยรุ่นมีสิทธิอย่างเต็มที่ และหมวดหนึ่งที่กำหนดไว้ในมาตรา 33
ระบุชัดเจนว่า เด็กและเยาวชนมีสิทธิในการให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายยุทธศาสตร์
และที่สำคัญเรื่องงบประมาณ
ที่เป็นเรื่องแรกที่กำหนดไว้แล้วรัฐบาลต้องฟังเรา
นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด จึงอยากจะเชิญชวนให้เพื่อนๆ
ทุกคนมาใช้สิทธิในการร่วมสร้างประเทศไทย
ตอนนี้ไม่มีพรบ.ฉบับใดเอื้อประโยชน์ให้กับวัยรุ่นได้มากเท่านี้
ที่สำคัญพรบ.นี้ไม่มีบทลงโทษ
ฉะนั้นวัยรุ่นสามารถเข้ามาใช้ความสร้างสรรค์ที่มีอยู่มากมายให้เป็นประโยชน์
กับประเทศชาติร่วมกัน
ไม่ต้องกลัวว่าหากทำไม่ถูกต้องตามพรบ.จะได้รับบทลงโทษ

นายอรุณฉัตร คุรุวาณิชย์
คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ระบุว่าในอดีตที่ผ่านมา
การส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่เป็นแบบสั่งการ(Top down) ผู้ใหญ่
เป็นคนคิด ในขณะที่เด็กมีบทบาทในการตัดสินใจว่าเห็นด้วยหรือไม่กับสิ่งต่างๆ
ที่เกิดขึ้นน้อยมาก ฉะนั้น พรบ.ฉบับนี้จึงถือเป็นมิติใหม่ของสังคม
ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนสามารถลงมติในการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบาย
ระดับประเทศ ซึ่งในปี 2553
สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยและสภาเด็กและเยาวชน
กทม.จะร่วมกันจัดงานยิ่งใหญ่ โดยจะคัดเลือกเยาวชนจากทั่วประเทศจำนวน 84
คนเข้ามาทำหน้าที่ในการนำเสนอพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่
พระองค์ทรงสอนคนไทยทั้งชาติ
อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดพลังในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง

นี่ คือเสียงสะท้อนของพลังเยาวชนที่ขอใช้สิทธิตามกฎหมายและต้องการให้ผู้ใหญ่
เปิดโอกาสและสนับสนุนให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมใช้พลังมากมายมาช่วยพัฒนาประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น