++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

(คำต่อคำ) คำสอนท่าน ว.วชิรเมธี จากรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ฉบับเต็ม

วู้ดดี้ : มีหลายคนพูดว่าวู้ดดี้ไม่เหมาะสมที่จะสัมภาษณ์พระ
ท่านมองว่าอย่างไรครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี :
ก็คงต้องย้อนกลับไปถามว่าคุณเอาอะไรมาวัดว่าคนอย่างวู้ดดี้ไม่เหมาะที่จะ
คุยกับพระ พระอาจารย์มองในเวลานี้ไม่มีใครเหมาะเท่าวู้ดดี้เลยนะ
ถ้าวู้ดดี้ไม่มาสัมภาษณ์พระ เกิดมาคุยไม่สมบูรณ์แบบ

วู้ดดี้ : ก้าวร้าว พูดตรง ถามตรง มีความรุนแรงบ้างในวาจา ไม่เหมาะสมกับพระ
ท่าน ว.วชิรเมธี :
พระอาจารย์คิดว่าพระไม่ได้หมายความว่าต้องเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้
เราไปดูที่เนื้อหาสาระได้มั้ย
หลายครั้งที่พระอาจารย์เปิดไปเจอวู้ดดี้สัมภาษณ์
บางทีบางตอนดีกว่าพระบางรูปเทศน์
เพราะฉะนั้นถ้าเราก้าวข้ามรูปลักษณ์ภายนอก
เจาะไปที่เนื้อหาสาระก็ไม่มีปัญหาที่วู้ดดี้จะคุยกับพระไม่ได้

วู้ดดี้ : งั้นในวันนี้ผมสามารถที่จะถามพระอาจารย์ได้ทุกเรื่อง
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็แล้วแต่จะถาม
แต่พระอาจารย์จะตอบทุกเรื่องหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

วู้ดดี้ : พระอาจารย์บวชตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นเณรอายุ 12
ท่าน ว.วชิรเมธี : 13


วู้ดดี้ : แล้วเป็นพระมาตลอดชีวิต
ทุกวันนี้ที่ผ่านมาท่านจะเทศน์เรื่องของแฟน เรื่องของชีวิต การมีกิ๊ก
การไม่มีกิ๊ก แต่ท่านไม่ได้คุ้นเคยกับทางโลกเลย
ท่านสามารถที่จะเข้าใจโลกและเทศน์กลับไปสู่โลกได้อย่างไรในเมื่อท่านอยู่กับ
วัดตลอดเวลา
ท่าน ว.วชิรเมธี : เอางี้ วู้ดดี้เคยเห็นคนที่ติดยาเสพติดมั้ย


วู้ดดี้ : เคยเห็นครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าคนติดยาเสพติดมันอันตรายมาก
คุณไม่เคยลองสักนิดนึง


วู้ดดี้ : ก็เห็นผลมัน เห็นว่าเขาไม่ไปโรงเรียน
สุดท้ายเขาต้องเข้าโรงพยาบาลและตาย
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็นั่นไง พระอาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องไปลองมีกิ๊ก
พระอาจารย์ก็เห็นผลของมันเหมือนกัน พระอาจารย์ก็อนุมานเอาได้

วู้ดดี้ : แต่พระอาจารย์อยู่ในวัด พระอาจารย์ไม่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับเขา
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยู่ในวัด
แต่ไม่ได้หมายความว่าพระอาจารย์ถูกปิดหูปิดตา
ตรงกันข้ามอยู่ในวัดบางทีรู้ดีกว่าชาวโลกด้วยซ้ำไป
เพราะชาวโลกเปรียบเสมือนนักมวยที่อยู่บนเวที คุณชกสะเปะสะปะ
คุณถูกต่อย คุณถูกน็อก คุณมึนไปหมด
คนอยู่ข้างเวทีเห็นชัดที่สุดว่าคุณชกยังไง
พระไม่จำเป็นต้องไปตะลุมบอนกับกิเลสเหมือนคุณหรอก แต่พระอยู่ข้างเวที
พระรู้ว่ากิเสลมันร้ายแค่ไหน

วู้ดดี้ : งั้นมีกิ๊กผิดมั้ยครับถ้าเต็มใจทั้งคู่
ท่าน ว.วชิรเมธี : เต็มใจทั้งคู่ กิ๊กไม่ใช่ชู้
แต่ถ้าแฟนรู้ต้องเลิกใช่มั้ย นี่นิยามของกิ๊ก

วู้ดดี้ : แต่ถ้าแฟนไม่รู้และทั้งคู่เต็มใจที่จะเป็นกิ๊กกัน
ท่าน ว.วชิรเมธี :
ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติในระบบความสัมพันธ์แบบนี้ทำไมคุณต้องเลิก
คุณก็คบกันต่อไปสิ

วู้ดดี้ : ก็คงรู้สึกผิดไงฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็นั่นแหละ ถ้ามันรู้สึกผิดก็แสดงว่ามันชอบธรรมมั้ยล่ะ

วู้ดดี้ : ไม่
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็มันไม่ชอบธรรม คำตอบมันอยู่ในตัวอยู่แล้วว่ามันไม่ดี

วู้ ดดี้ : งั้นสำหรับผู้ชายบางคนมีภรรยาสองสามคน
แล้วภรรยาอยู่บ้านหลังเดียวกัน กินนอนด้วยกันได้ โอเคไม่มีปัญหา
เมียคนที่หนึ่งคนที่สองคนที่สามยอมรับซึ่งกันและกัน
อย่างนี้ครอบครัวนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำบาป
ท่าน ว.วชิรเมธี : กิ๊กหมายถึงความสัมพันธ์ที่ละเมิดจริยธรรมทางเพศ
แต่ที่คุณโยมวู้ดดี้เล่ามาน่ะ เขารู้เห็นเป็นใจกันทั้งหมดใช่มั้ย
ถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดใช่มั้ย


วู้ดดี้ : ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะไม่มีกฎหมายรองรับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : แต่เขาบริหารจัดการได้มั้ยล่ะ

วู้ดดี้ : ได้ครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วภรรยาทั้งสามคนเขายอมรับได้มั้ยล่ะ
วู้ดดี้ : ยอมรับหมดครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ถ้ารับได้หมดก็ไม่เป็นปัญหา

วู้ดดี้ : ท่าน ว. ตั้งแต่โตขึ้นมาผมสังเกตว่าคนมักจะชวนผมเข้าวัด
ไปทำบุญกันเถอะ ไปนั่งสมาธิในวัด ไปไหว้พระแล้วคุณจะมีความสุข
แต่ผมเห็นหลายคนเขาไปเพราะเขามีความทุกข์เรื่องเพื่อน เรื่องงาน
เรื่องแฟน ชีวิตเป็นทุกข์เลยต้องเข้าไปในวัด แต่ผมเอง
ผมมีความรู้สึกว่าผมไม่มีตรงนั้น ผมไม่ได้มีความต้องการที่จะไปไหว้พระ
ไม่มีความต้องการที่จะไปเข้าวัด
ถามว่าแล้วสุดท้ายวู้ดดี้จะต้องเข้าวัดทำไมล่ะครับพระอาจารย์
ท่าน ว.วชิรเมธี : จริงๆ วัดก็ไม่เคยเรียกร้องให้ใครมาเข้านะ
พระอาจารย์ก็ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าบอกว่ามาเข้าวัดกันเถอะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะแล้วพระองค์ก็เดินไป
ใครอยากฟังธรรมก็มาฟังเท่านั้นเอง
ก็มีแต่เราคนไทยนี่แหละที่บอกว่าเข้าวัดๆๆ

วู้ดดี้ : ต้องไปไหว้วัดนี้อยู่บนภูเขา วัดนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
ต้องบินไปถึงเชียงใหม่ ต้องมาเชียงราย ต้องลงมาภาคใต้ ต้องวัดนี้
โห...สุดยอดมาก อยู่ใต้น้ำ พระธาตุนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก คนก็ต้องบินไป
แล้วบางทีเราก็คล้อยตามไปด้วย อ๋อเหรอ ถ้าไหว้พระวัดนี้ที่องศาแบบนี้
ไหว้ทิศอย่างนี้แล้วกราบอย่างนี้
คุณจะมีบุญมากกว่าทุกคนในประเทศชาตินี้ จริงหรือเปล่า
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์ฟังดูมันยิ่งไม่ใช่ไหว้พระตามแนวพุทธเลยนะ
เพราะว่าไหว้พระตามแนวพุทธมันไหว้ที่ใจ ฉุดเข้าวัดนี่ประเสริฐมั้ยล่ะ
วู้ดดี้ : ครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี :
เพราะฉะนั้นโชคดีขนาดไหนที่มีคนชวนคุณเข้าวัดมาตลอดเวลา
คนที่โชคร้ายก็คือ ไป...คืนนี้ไปผับมั้ย คืนนี้ไปอาร์ซีเอมั้ย


วู้ดดี้ : แต่ถ้าไปแล้วไม่ดื่มเหล้าล่ะพระอาจารย์
ไปแล้วมันเต้นแล้วมีความสุข ผมก็มีความสุข มันร้องเพลงไปด้วย
แล้วมันได้ปลดปล่อย นั่นมันคือความสุข
มันไม่ใช่ความทุกข์ไม่ใช่เหรอพระอาจารย์
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยากจะบอกว่านั่นเป็นความทุกข์ที่รอเวลาอยู่
วู้ดดี้ : ยังไงครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ผลไม้ทุกผลมีโอกาสที่จะหล่นมั้ย
วู้ดดี้ : มีครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : คนทุกคนก็เหมือนผลไม้
ขณะที่มันมีความสุขก็มีความทุกข์แฝงอยู่ในนั้นตลอดเวลา
แต่ถ้าคนที่ไม่เคยเข้าวัดไม่เคยเรียนธรรมะเลยนะ วันนี้คุณจะสุข
พรุ่งนี้คุณจะทุกข์ ชีวิตคุณจะสุขๆ ทุกข์ๆ กระเด็นกระดอน

วู้ดดี้ : เพราะมีอบายมุขล้อมรอบเหรอ
ท่าน ว.วชิรเมธี : คุณมีโอกาสที่จะทุกข์ได้ตลอดเวลา
วันนี้ทุกข์ยังไม่มาถึงแต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มา
ทุกข์ไม่ได้เกิดจากข้างนอก ทุกข์เกิดจากในนี้ เมื่อเรามีความเห็นผิด
คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ทุกข์อยู่ตรงนั้น นรกก็อยู่ตรงนั้น

วู้ดดี้ :ตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ท่านพูดสักเท่า ไหร่นัก
ทำไมคนเรามีความสุขแล้วต้องมีทุกข์รออยู่
คิดแบบนั้นก็ไม่ต้องมีกันพอดีสิครับ
ผมชักจะหวั่นไหวแล้วล่ะครับว่าวันนี้ผมจะได้อะไรกลับไปหรือเปล่า

เมื่อ วู้ดดี้เดินเข้ามาที่ศูนย์วิปัสสนาอาศรมอิสรชน จ.เชียงราย
ผมแปลกใจเลยล่ะครับ เพราะจะมีป้ายติดตามต้นไม้เต็มไปหมด ท่าน
ว.วชิรเมธีบอกผมว่า เหล่านี้คือต้นไม้พูดได้

วู้ดดี้ : พึงชนะคนชั่วด้วยความดี มีให้อ่านทุกต้น
ท่าน ว.วชิรเมธี : มี คุณโยมเดินไป คุณโยมจะเห็นทุกหนทุกแห่ง
อาตมามีความรู้สึกว่าเวลาเดินมาถ้าพระอาจารย์ไม่อยู่
ต้นไม้เทศน์แทนก็ได้


วู้ดดี้ : ผมกลัวมากว่าที่แห่งนี้ห้ามฆ่าสัตว์ แต่มดมันเยอะมาก
ถ้าผมเหยียบมดตายผมจะตกนรกมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : เจตนาจะเหยียบมีมั้ยล่ะ
วู้ดดี้ : ไม่มี
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ไม่บาปก็แค่นั้นเอง วัดกันที่เจตนา กรรมไม่มี
บาปไม่มีแก่ผู้ไม่เจตนาแค่นั้นเอง
วู้ดดี้ : ขับรถบนไฮเวย์เหยียบ 180 เพราะจะรีบไปหาภรรยาที่กำลังคลอดลูก
แต่ดันไปชนคนแก่ตาย ไม่มีเจตนา บาปมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็เป็นแค่กิริยาไม่ถือเป็นกรรม แต่อย่าทำบ่อยๆ
วู้ดดี้ : โอเค อันนั้นผมแค่ยกตัวอย่างมันไม่เกี่ยวกับผมนะครับพระอาจารย์
ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร


รายการของผมจะเสนอประเด็นหนึ่งอยู่บ่อยๆ ล่ะครับ
ผมก็เลยอยากจะรู้ว่าท่าน ว. คิดยังไง
วู้ดดี้ : พระอาจารย์เคยดูหมอดูมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่จำเป็น
พระอาจารย์คิดว่าคนที่รู้จักตัวเองไม่มีใครไปหาหมอดู
วู้ดดี้ : พระอาจารย์เชื่อเรื่องหมอดูมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่เชื่อ พระอาจารย์เชื่อกฎแห่งกรรม
กฎแห่งการกระทำ กฎที่บอกว่าชีวิตของเราจะเป็นอะไร ยังไง ขึ้นอยู่กับเรา
ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว

วู้ดดี้ : แต่บางทีที่หมอดูแม่นมาก พระอาจารย์ จนบางทีทำให้เราหวั่นไหว
โอ้โห...มันเป๊ะว่ะ เราจะเอาชนะตรงนี้ได้ยังไง
ท่าน ว.วชิรเมธี : มันก็แล้วแต่เรานะ ถ้าคุณเลือกที่จะเชื่อ
หมอดูก็จะมีอิทธิพลกับคุณ ถ้าคุณเลือกที่จะไม่เชื่อ
หมอดูก็จะไม่มีอิทธิพลกับคุณ เพราะฉะนั้นมันไม่เป็นปัญหา
มันอยู่ที่เรานะ
แต่พระอาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าพระอาจารย์รังเกียจหมอดู
หมอดูก็เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง
อาจจะเรียกว่าเป็นสถิติศาสตร์เพราะว่ากว่าที่จะประมวลองค์ความรู้
ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ แล้วมาฟันธงให้ใครมันมีที่มาที่ไป
พระอาจารย์ก็เคยเรียนวิชานี้ แต่พระอาจารย์ไม่ได้ใช้เท่านั้นเอง

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าหมอดูทายแม่นหรือไม่แม่นนะ
ปัญหามันอยู่ที่หมอดูไปทายให้คนที่เต็มใจให้ทายหรือเปล่า
ถ้าเขาเต็มใจให้ทาย คุณทายไปเหอะ
แต่ถ้าเขาไม่อยากให้คุณดูแล้วคุณดัดจริตไปดูให้เขา
คุณละเมิดสิทธิมนุษยชนนะรู้มั้ย

วู้ดดี้ : นี่พระอาจารย์ไม่ได้แขวะใครใช่มั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่ได้แขวะเลย
พระอาจารย์ไม่ได้พูดถึงใครเลยในประโยคนี้
เป็นประโยคที่ไม่มีประธานไม่มีกรรมมีแต่กิริยาล้วนๆ
วู้ดดี้ : 5555555555

วู้ดดี้ : การห้อยพระเลยดีกว่าฮะ
เขาสามารถที่จะทำให้ตัวเขาเองพ้นจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทางอากาศ
ทางน้ำได้หมด ต้องหลวงพ่อนี่ หลวงพ่อนั่น คือเต็มไปหมดเลย
อันนี้มันจริงมั้ย
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ถ้ามันจริงอย่างนั้น
กฎแห่งกรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นหมันน่ะสิ
แสดงว่าการห้อยพระไปง้างกฎแห่งกรรม
มันมีกฎอีกกฎหนึ่งที่เหนือกฎแห่งกรรมนะเนี่ย
คือการห้อยพระแล้วมันไม่เป็นอะไรเลย ถ้ามันจริง
ประเทศไทยผลิตพระยี่ห้อนี้ส่งออกนอก แล้วส่งคนไทยไปสงครามโลกเลยนะ
เราจะเป็นมหาอำนาจโลก เพราะอะไรทำอะไรเราไม่ได้เลย
ไม่ต้องไปวิจัยวิจารณ์อะไรแล้ว เอาพระรุ่นนี้ไป รับรองนะ

วู้ดดี้ : มันบาปมั้ยสำหรับคนทำธุรกิจตรงนี้ คือพิมพ์พระเยอะๆ
แล้วก็ต้นทุนอาจจะซัก 5 บาทแต่อัพราคาเป็นค่าเช่ารูปละ 1,500
แล้วก็ได้กำไรเป็นล้าน สุดท้ายเขาช่วยคนไทยจริงมั้ยฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : บาปไม่บาปมันวัดกันที่เจตนา คุณห้อยพระ
คุณปั๊มพระให้คนบูชา คุณอยู่กับพระนะ
แต่บางทีคุณอาจจะไม่ได้อยู่กับพุทธ
ถามว่ามันทำแล้วดีหรือไม่ดีให้วัดที่เจตนา
ถ้าเขามีเจตนาว่าอยากให้พระที่เขาปั๊มออกมาเยอะๆ
เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นสัญลักษณ์ของความมีศีลมีธรรมนี้ไม่บาป
แต่ถ้าเขาคิดแต่ว่าที่ฉันปั๊มออกมารุ่นนี้แล้วฉันจะรวยเป็นร้อยล้านเป็นพัน
ล้าน เขากำลังทำธุรกิจพุทธพาณิชย์ 100% น่าเป็นอย่างนี้ไม่ได้บุญ


วู้ดดี้ : มาพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่าครับพระอาจารย์ เรื่องของกรรม
ช่วงนี้จะมีคนพูดถึงเยอะมาก แปลกนะทำไมมันกลายเป็น trend
เมื่อปีที่ผ่านมา แก้กรรม จนกระทั่งศาสนาพุทธเองหลายๆ วัดผมก็ยังเห็น
อ้าว...มาที่วัดนี้แล้วเราจะมาแก้กรรมได้ ชาติที่แล้วคุณมีกรรม
ชาตินี้คุณจะต้องแก้แล้วชาติหน้าคุณจะได้ดีขึ้น
ถามนะครับว่าตกลงมันจริงมั้ย การแก้กรรมด้วยการตัดกรรม
ท่าน ว.วชิรเมธี : คนไทยนี่ชอบแก้กรรม
ก็ทำเหมือนว่าเรากำลังถูกมัดเอาไว้ก็เลยต้องมาแก้
หรือบางทีก็ต้องทำพิธีตัดกรรม
ก็เหมือนกันว่ากรรมมันเป็นผ้าผืนหนึ่งหรือยังไง
เป็นเชือกเส้นหนึ่งหรือยังไง กรรมก็คือตัวความคิดของเรานั่นเอง
ฉะนั้นมันง่ายนิดเดียวนะถ้าจะตัดกรรมก็เปลี่ยนความคิด

วู้ดดี้ : แล้วมันมีกรรมจริงมั้ยครับ โลกใบนี้ มันมีเวรมันมีกรรมมั้ย
ถามจริงๆว่ามันมีชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า มันมีจริงมั้ย
ท่าน ว.วชิรเมธี : คือตามหลักพุทธมันมี
วู้ดดี้ : แต่มันพิสูจน์ไม่ได้น่ะพระอาจารย์
ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วมันจะเสียหายตรงไหนถ้ามันพิสูจน์ไม่ได้

วู้ดดี้ : วู้ดดี้มีความรู้สึกว่าเวลาคนเราตาย มันก็แค่กลายเป็นผงธุลี
แล้วมันก็ลงไปฝังในดินหรือเป็นขี้เถ้า มันจะไปชาติหน้าได้จริงเหรอ
มันมีจริงเหรอ
ท่าน ว.วชิรเมธี : มี หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเอาเข้าห้องแล๊ปไม่ได้นะ
มันก็มีจริงๆ ฉะนั้นเราอย่าไปคิดว่าความจริงมันต้องเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้เท่านั้น
อย่างความรักก็ดี ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี
อิจฉาตาร้อนก็ดี เอาเข้าห้องแล็ปได้มั้ย
วู้ดดี้ : ไม่ได้
ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วมันมีมั้ย ความรักมีมั้ย ความโลภน่ะมีมั้ย
กามารมณ์น่ะมีมั้ย
วู้ดดี้ : เยอะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : เอาไปพิสูจน์ได้มั้ยของพวกนี้
วู้ดดี้ : ไม่ได้
ท่าน ว.วชิรเมธี : นั่นสิ แต่มันมี
เพราะฉะนั้นชาติหน้าเราก็ไม่ต้องไปคิดว่าพิสูจน์ยังไง
พิสูจน์ไม่ได้แล้วมันจะมียังไง

วู้ดดี้ : อาจารย์ไม่เคยเห็นใช่มั้ยฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ของพวกนี้เขาไม่เห็นด้วยตา ต้องเห็นด้วยปัญญาสิ
ใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้คุณจะสงสัยก็ได้ไม่ได้ทำให้พุทธศาสนาสูงขึ้นหรือ
ต่ำลง สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่โลกหน้ามีหรือไม่มีนะ
มันอยู่ที่ว่าโลกนี้มันมีแล้วคุณใช้ชีวิตในโลกนี้ยังไง

เป็นครั้งแรกน่ะครับที่แขกรับเชิญทำให้ผมอึ้ง
เพราะหลายเรื่องที่ผมถามคำถามยากๆ ท่านก็ตอบออกมาได้ง่ายๆ เสียเหลือเกิน
แต่ผมก็ยังไม่ได้เห็นด้วยกับท่านทั้งหมดนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาตินี้ชาติหน้าและอีกหลายเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้
ผมอดคิดไม่ได้นะครับว่ายังไงธรรมะก็ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจะตัวผมอยู่ดี

ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมสงสัย พุทธศาสนิกชนก็ต้องทำใจหน่อยนะครับ
เพราะคำถามที่ผมจะถามนี้อาจทำผมกำลังจะท้าทายท่าน


วู้ ดดี้ : ขอพูดถึงพุทธพาณิชย์หน่อยดีกว่า ท่านเคยได้ยินมั้ยฮะ
ถ้าบางคนจะบอกว่าพระเดี๋ยวนี้จะเริ่มค้าขายกันมากขึ้น ออกตามทีวี
ออกตามรายการต่างๆ ขายหนังสืออะไรมากมาย ท่านเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ท่าน ว.วชิรเมธี : มันจะเป็นพุทธพาณิชย์หรือไม่ มันไปวัดที่เจตนาสิ
ถ้าพระอาจารย์เขียนหนังสือขาย
มีเงินมีทองร่ำรวยมหาศาลแล้วก็ทำตัวเป็นหลวงเสี่ย
พระอาจารย์กำลังทำพุทธพาณิชย์
แต่การเทศน์แต่ละครั้งฟังได้แค่คนเดียวเหมือนวู้ดดี้มาคุยกับพระอาจารย์ที่
เชียงราย ถ้าเราถอดบทสนทนานี้พิมพ์เป็นหนังสืออ่านกันทั่วโลกทั้ง
ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาอะไรก็ได้ คนเปิดหูเปิดตาและเรียนรู้ธรรมะ
พระอาจารย์ไม่ได้คิดถึงเงินที่จะได้ คิดถึงแต่ประโยชน์ที่จะได้แก่ชาวโลก
อย่างนี้เรียกว่าพาณิชย์ได้มั้ย ไม่ได้
เพราะฉะนั้นจะเป็นพุทธพาณิชย์ก็ต่อเมื่อเรามุ่งไปที่กำไรคือเม็ดเงิน
แต่ถ้าเรามุ่งไปที่กำไรคือสติปัญญา คือความเฉลียวฉลาด คือความรู้
คือความหายโง่งมงาย ไม่มีทางเป็นพุทธพาณิชย์

วู้ดดี้ : แล้วส่วนใหญ่กำไรที่ได้จากการตีพิมพ์อะไรต่างๆ
หรือว่ากับหลายๆ อย่างที่เราทำ ท่านเอาเงินนั้นไปบริจาคต่อยังไง
หรือว่าเอาไปใช้ลงทุนต่อยังไง
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์ใช้เป็นทุนการศึกษาทั้งหมด
ไม่เชื่อไปดูได้เลย
พระอาจารย์สร้างโรงเรียนให้สามเณรที่วัดบ้านเกิดของพระอาจารย์
มีนักเรียนที่รับทุนจากพระอาจารย์ตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้นะ
ทั้งพระทั้งเด็กทั้งเยาวชนเป็นพันคน


วู้ดดี้ : อย่างนึงที่ค้างคาใจก็คือเรื่องของเรต
เอางี้ดีกว่ามีคนบอกว่าพระเดี๋ยวนี้ออกตามรายการต่างๆหรือว่าจะนิมนต์ไปไหน
ต่อไหน ไปสถานที่บางสถานที่ที่พิเศษจะต้องมีเรต เป็นแสนบ้าง
เป็นล้านบ้าง วันนี้ผมมาเองยังถามทีมงานเลยว่าคุยกับท่าน
ว.วชิรเมธีกี่บาท จริงมั้ยฮะว่ามันเป็นล้านๆ เลยหรือมันยังไง
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์คิดว่าคนคิดอย่างนี้ต่ำนะ
ไม่ใช่ว่าเรตมันต่ำ คือพระอาจารย์คิดว่า เขาคิดว่าพระเป็นดารา


วู้ดดี้ : ท่านมีสังกัดมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มี วันก่อนมีคนโทรศัพท์มาหาพระอาจารย์
ขอโทษนะครับต้องขออนุญาตสังกัดพระอาจารย์มั้ย พระอาจารย์บอกว่า
โยม...อาตมาเป็นพระนะ ไม่ได้เซ็นสัญญากะค่ายไหนเลยนะ
ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ เพราะฉะนั้นจะมีใครสูงไปกว่าอาตมา อยากนิมนต์อาตมา
อาตมาเป็นต้นสังกัดของตัวเอง เวลานิมนต์อย่ามาถามเรต
ถามอย่างนี้ถือว่าดูถูกกันมากเลย
แต่อาตมาต้องทำความเข้าใจเพราะคนมักจะถาม เพราะฉะนั้นนิมนต์มาเลยนะ
ถ้าพระอาจารย์ 1. ว่าง 2. เห็นว่ามีประโยชน์ ได้เจอกันแน่นอน

วู้ดดี้ : มีงานไหนที่ไปแล้วงงมั้ยฮะ แบบว่าเอ๋อเลย มีมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ครั้งหนึ่งพระอาจารย์ไปบรรยายงานแห่งหนึ่งที่โรงแรม
ถัดจากพระอาจารย์เขากำลังจะเดินแบบกัน
แล้วเขาก็ขี้เกียจตั้งธรรมาสน์ต่างหากก็ให้เทศน์บนแคทวอร์ค


วู้ดดี้ : 555555555 จริงรึเปล่าฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : จริง...รู้สึกว่าวันนี้มาผิดฝาผิดตัว นางแบบทั้งนั้น
วู้ดดี้ : แล้วท่านก็มายืนกลางแคทวอร์คเหรอครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่สถานที่นะ
ถ้าใจคุณพร้อมที่ไหนก็ได้ ไม่เป็นปัญหา

วู้ดดี้ : วัดอยู่ที่ใจใช่มั้ย
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง ถ้าคุณเป็นคนดีแล้ว
นั่นแหละคุณบรรลุวัตถุประสงค์ของการมีวัด วัดอยู่ในใจคุณแล้ว
วู้ดดี้ : ชีวิตผมทุกวันนี้ต้องเข้าวัดก่อน ชัวร์
ท่าน ว.วชิรเมธี : อาการอย่างนี้มันต้องเข้าแหละ
วู้ดดี้ : ท่านชมใช่มั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ชม มั่นใจว่าชม

วู้ ดดี้ : วู้ดดี้มี twitter ไว้ล่าสุดเพื่อที่จะมีการโต้ตอบ real time
กับคุณผู้ชมทางบ้าน
วู้ดดี้ได้ฝากหัวข้อเอาไว้ว่าวู้ดดี้จะได้มีโอกาสเจอกับท่าน ว.
ใครอยากจะฝากอะไรไว้บ้างมั้ย ประเด็นหรือว่าคำถาม
ปรากฎว่ามีคนตอบมาเป็นหลักร้อย เยอะมาก คำถามน่าสนใจมาก
วู้ดดี้ขอคัดออกมาซักคำถามสองคำถามแล้วกันนะครับ
มีอยู่คนหนึ่งถามมาว่า
เราไม่เคารพพระที่เราไม่ชอบหรือที่ประพฤติมิชอบแต่ยังเป็นพระ
บาปมั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ไม่บาป
คนจะเคารพใครสักคนหนึ่งอย่างน้อยเขาต้องดีกว่าคุณใช่มั้ย
ก็ถ้าคุณตระหนักว่าเขาไม่ได้ดีกว่าคุณ
คุณไม่เคารพก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ฉะนั้นเป็นเรื่องปกติ
ถ้าไม่มีความดีให้เราเคารพ ท่านก็ไม่ได้รับการเคารพ

วู้ดดี้ : แม้ว่าท่านจะห่มผ้าเหลืองก็ตามที
ท่าน ว.วชิรเมธี : มันก็สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ใช่มั้ยล่ะ
ตรงกันข้ามถ้าเราไปเคารพในคนที่ไม่ควรเคารพสิ อันนี้จึงบาป

วู้ดดี้ : ถ้าหากให้เอานักการเมือง หรือแกนนำเหลืองแดงมาให้ท่านเทศน์
ท่านจะเทศนาอะไรครับให้เขายอมจับมือกัน
ท่าน ว.วชิรเมธี : หนึ่ง...อยากจะฝากประโยคสั้นๆ
ว่าอย่าเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวประเทศไทย
ประโยคที่สองพระอาจารย์จะบอกว่าต้องยอมถอยเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า
คือถอยนี้ไม่จำเป็นต้องถอยหลังนะ
พระอาจารย์คิดว่าเราสามารถถอยไปข้างหน้าได้
ถ้าถอยแล้วทำให้ประเทศชาติของเราราบรื่นแล้วก็เดินต่อไปได้
ก็ขอฝากสองเรื่อง

วู้ดดี้ : ทุกวันนี้คนไทยเกิดอาการจิตตก จิตตกมาก
ผมเลยถามว่าคนเราถ้าจิตตกจะมีวิธีแก้ยังไง ผมไปไหนเจอจิตตกๆ
ท่าน ว.วชิรเมธี : จิตตกก็ต้องยกจิตนะ คนส่วนใหญ่จิตตกก็ปล่อยให้ตกใช่มั้ย
วู้ดดี้ : ครับ มันจะยกยังไงฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ยกจิตหมายความว่า ต้องออกจากสภาพแวดล้อมอย่างนั้น
คุณไปคุยกับคนๆ นี้แล้วมันคุยแต่การเมืองๆๆ จนคุณรู้สึกแย่ไปเลย
คุณก็เลิกคุยสิ ไปคุยกับคนอื่น อย่างน้อย 3 ปี 5 ปีใช่มั้ยที่ผ่านมา
วู้ดดี้ได้เรียนรู้มั้ย ได้รู้เช่นเห็นชาตินักการเมืองไทยมั้ย
นี่คือสิ่งดีมากนะที่นักการเมืองสายพันธุ์นี้ได้มอบให้แก่เรา
เขากำลังทำทุกอย่างให้เห็นว่านักการเมืองสายพันธุ์นี้จะเลวได้ถึงที่สุด
ขนาดนี้ พอเราเรียนรู้ถึงที่สุดแล้ว เชื่อมั้ย จากนี้ไป 100
ปีข้างหน้า เมืองไทยจะไม่กลับมาตรงนี้อีก

วู้ดดี้ : เพราะว่าคนเรามีความรู้มากขึ้นถูกมั้ย
ในการที่จะดูออกว่าคนนี้เป็นคนเลว
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้ามองโลกในแง่ดี
พระอาจารย์กลับรู้สึกว่าวันเวลาช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งใน
ประวัติศาสตร์ไทย เพราะเราได้เรียนรู้ครั้งใหญ่พร้อมกันทั้งประเทศ
ห้องเรียนประชาธิปไตยเปิดให้เราได้ไป take course พร้อมกัน

ท่าน ว. ได้พาผมเดินขึ้นมาถึงยอดเขาของอาศรมแห่งนี้แล้วผมก็ได้พบกับหลวงพ่อยิ้มที่งามที่สุดครับ

วู้ดดี้ : จริงๆ วู้ดดี้มาจากวุฒิธรใช่มั้ย ทีนี้วุฒิชัยชื่อของท่านแปลว่าอะไร
ท่าน ว.วชิรเมธี : วุฒิชัยใช่มั้ย ก็แปลว่าเจริญด้วยชัยชนะ
วุฒิธรของคุณโยมคือทรงไว้ซึ่งชัยชนะ
เวลาไปเมืองนอกฝรั่งเขาไม่เรียกพระอาจารย์ว่าพระมหาวุฒิชัย
เขาออกเสียงไม่ได้ เขาเรียกว่ามาสเตอร์วู้ดดี้


วู้ดดี้ : มาสเตอร์วู้ดดี้
ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร ก็พระอาจารย์วู้ดดี้
วู้ดดี้ : โห...ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าผมไปบวชมั่ง ก็จะมีสองวู้ดดี้สิ
ท่าน ว.วชิรเมธี : 2 ว.
วู้ดดี้ : ก็มี ว.หนึ่ง ว.สอง
ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร
วู้ดดี้ : ถ้าผมเป็นพระ ผมโทรหาท่านก็ ว.หนึ่ง นี่ ว.สอง ได้มั้ยครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ได้
วู้ดดี้ : 55555 น่าจะเป็นอะไรที่ดี

ขึ้นมาทั้งทีก็ต้องไหว้พระขอพร และขออีกหลายอย่างที่ผมจะอยากขอ
ซึ่งผมเพิ่งรู้ตอนนี้แหละครับว่า

ท่าน ว.วชิรเมธี : มาหาพระพุทธเจ้าอย่าขอ
แต่บอกว่าพระองค์จะเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของเรา
วู้ดดี้ : อยากจะได้เงินเยอะๆ วันนี้ขอให้เงินไหลมาเทมา ไม่ใช่
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มีทาง พระพุทธเจ้าไม่ได้มีหน้าที่มาหาเงินให้ใคร
ท่านมีหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา พระธรรมทำหน้าที่เป็นแผนที่ให้เรา
พระสงฆ์ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้เรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ถ้านับถือให้ถูกต้อง ต้องเป็นแบบนี้นะ

วู้ดดี้ : ขอให้พ่อแม่พ้นจากทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ
หรือขอให้ครอบครัวมีความสุข อันนี้ก็ไม่ใช่
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถ้าคุณขอให้โลกนี้จะมีคนผิดหวังมั้ย
พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ เป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ
คุณอยากได้อะไรดีๆ คุณทำเหตุให้ดีแล้วผลที่ดีจะตามมา
คุณมาขอท่านแต่คุณไม่ได้ทำอะไรให้พ่อให้แม่เลย ท่านจะดีมั้ย

วู้ดดี้ : วู้ดดี้ก็จะบอกว่าผมจะเริ่มจากการเป็นคนดี
ผมจะมีสติในการใช้ชีวิต
ผมจะดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงเพื่อที่จะได้มีสติในการช่วยเหลือชาวโลก
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง
เรามาหาพระองค์ท่านเพียงเพื่อขอให้พระองค์ท่านเป็นสักขีพยานให้เรา
การลงมือทำเป็นเรื่องของเราทั้งหมด เคยได้ยินมั้ย อัตตาหิ อัตตาโน
นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน


วู้ดดี้ : แสดงว่าตั้งแต่เกิดมาผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยว่าเวลาเจอพระคือขอๆๆๆๆ
อย่างเดียว
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่ใช่แล้ว พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ
เราเป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ ไม่ใช่ให้มาหาแล้วก็ขอๆๆๆ


วู้ดดี้ : แล้ววู้ดดี้ควรจะตั้งจิตแล้วก็อธิษฐานว่ายังไงครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี :
ตั้งสัตยาธิษฐานว่าวันนี้ข้าพระพุทธเจ้ามาอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์
แล้ว พระองค์เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้วยความเพียรพยายามของพระองค์เองฉันใด
ข้าพเจ้าจะขอเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้วยความเพียรพยายามของข้าพระ
พุทธเจ้าฉันนั้นเหมือนกัน นี่เป็นการขอที่ถูกต้องนะ
ขอให้ตัวเองได้ทำอย่างที่พระองค์ทำสำเร็จมาแล้ว
ไม่ใช่มาขอให้พระองค์มาทำให้เรา

อยู่บนโลกนี้มา 32 ปี
เพิ่งรู้วันนี้แหละครับว่าการที่คนเราจะทำอะไรได้หรือจะประสบความสำเร็จ
นั้น คนเดียวที่เราจะต้องพึ่งคือตัวเราเอง

ท่าน ว. พาผมมาที่กุฏิส่วนตัวของท่านด้วยครับ
ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริงเพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
ก็สมกับที่ใครๆ ยกย่องว่าท่านเป็นพระนักปราชญ์
ผมอยากรู้ว่าบุคคลต้นแบบหรือไอดอลของท่านนั้นคือใครครับ


ท่าน ว.วชิรเมธี : แน่นอนที่สุดเบอร์หนึ่ง แล้วไม่มีเบอร์สองด้วยนะ
ต้องพระพุทธเจ้า อันนี้ยกไว้เลยนะ
เป็นพระถ้าไม่ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นไอดอลก็คงไม่ใช่พระแล้วนะ
ทีนี้ในแง่คนทั่วไป พระคือท่านพุทธทาสภิกขุ
เป็นแรงบันดาลใจให้พระอาจารย์ในแง่ของการเป็นพระที่กล้าที่จะคิดนอกกรอบ
และมีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะเทศน์ที่จะสอน
ท่านยินดีที่จะพูดความจริงโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องตาย
รูปที่สองพระพรหมคุณาภรณ์ ได้เปรียญธรรม 9
ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร มีความแม่นยำในทางพระธรรมวินัยสูงมาก
เป็นพระไทยรูปแรกที่ไม่ได้เรียนเมืองนอกแต่มีปัญญาพอที่จะไปสอนอยู่ที่
มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด
สาม หลวงพ่อชา สุภัทโท
เพราะพระอาจารย์อยากเจริญรอยตามหลวงพ่อชา สุภัทโท
อาศรมอิสรชนจึงเกิดขึ้น
มิฉะนั้นพระอาจารย์ไม่มาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545
เพราะพระอาจารย์ฝันที่จะเป็นอย่างท่าน
ต่อไปรูปที่สี่ ท่านดาไลลามะ เป็นพระที่มีชีวิตชีวามาก
ความรู้ทางโลกดีมาก ความรู้ทางธรรมดีมาก
แล้วเป็นพระที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ชาวตะวันตกยอมรับ
ท่านเป็นพระของวันนี้ที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กับชาวโลกแล้วชาวโลกสัมผัสได้
แล้วก็รูปที่ห้า พระเซ็นชาวเวียดนามชื่อท่านติช นัท ฮันห์
เป็นพระวิปัสสนาญาณสายเซ็นที่ได้รับการยอมรับสูง
หนึ่งในสองรูปของโลกนี้

วู้ดดี้ : พระพุทธเจ้าบอกว่ากิเลสเป็นตัวทำให้เกิดทุกข์
แต่ถ้าวู้ดดี้เองไม่มีกิเลส เช่น ไม่อยากทำรายการ
ไม่อยากมีรถยนต์เพื่อเดินทางมาหาท่าน ไม่อยากขึ้นเครื่องบินมาหาท่าน
แล้วเราจะมีวันนี้ได้ยังไงครับท่านอาจารย์ มันต้องมีบ้างไม่ใช่เหรอ
ท่าน ว.วชิรเมธี : คนไทยมักจะเข้าใจผิดนะ
แท้ที่จริงถ้าคุณไม่มีความอยากอย่างนี้ คุณก็สามารถทำอะไรดีๆ
และยิ่งกว่านี้ได้ ฉะนั้นความอยากจึงมีสองอย่าง 1.
อยากเพราะถูกผลักดันโดยตัวกิเลส 2. อยากเพราะถูกผลักดันโดยตัวปัญญา
ทีนี้ถ้าปัญญามันผลักดันคุณ มันจะให้คุณมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง
เช่นอย่างพระอาจารย์อยากแสดงธรรม ปัญญามันพาทำนะ
ปัญญามันจะบอกว่าทำเถอะ เพราะว่าธรรมะช่วยเปิดหูเปิดตาให้คนพ้นทุกข์
ทีนี้ถ้าความอยากคือกิเลสมันพาทำนะ ทำเถอะไปออกทีวีเถอะแล้วท่านจะดัง

วู้ดดี้ : ถ้าวู้ดดี้อยากจะเป็นนายก วู้ดดี้จะ manage กิเลสยังไงฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ต้องถามดูว่า คุณอยากจะเป็นนายกเพื่ออะไร
วู้ดดี้ : เพื่อเปลี่ยนประเทศนี้ให้มันดีขึ้น
ท่าน ว.วชิรเมธี : ถ้าอย่างนี้นะ คุณไม่ได้ทำเพราะกิเลส
คุณทำเพราะปัญญาเป็นความอยากที่ถูกต้อง
วู้ดดี้ : ถ้าผมอยากจะเป็นนายกเพราะผมอยากจะโกงกินประเทศนี้
อยากเอาเงินเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองให้ครอบครัวเรารวย
ท่าน ว.วชิรเมธี : อันนี้คุณทำเพราะตัณหา
แสดงว่าคุณเป็นนายกที่มีโอกาสจะเป็นทรราชย์สูงมาก

วู้ดดี้ : ถ้าผมอยากจะเป็นนายกเพราะว่ามีคนแบ๊คแล้วก็สั่งให้ผมต้องเป็นนายก
ท่าน ว.วชิรเมธี : อันนี้คุณทำเพราะตัณหา คุณเป็นตัวแทนของกิเลส
หัวหน้าพรรคของคุณคือกิเลสไม่ใช่ปัญญา
เพราะฉะนั้นวัดได้หรือยังว่าความอยากมันมีสองอย่าง อยากทำอะไรดีๆ
เพราะมีปัญญาเป็นความอยากที่ถูกต้อง อยากทำอะไรดีๆ
เพราะมีตัณหาเป็นความอยากที่ไม่ถูกต้อง ฉะนั้นวันหนึ่งคุณโยมทำรายการนะ
แต่คุณโยมมีเงินมากแล้วมีชื่อเสียงมากพอแล้ว
คุณอยากจะให้แต่สาระประโยชน์แก่คนไทยล้วนๆ นี่แหละความอยากของคน
เป็นความอยากที่ถูกต้อง

วู้ดดี้ : ตอนนี้คนไทยทั้งประเทศมีความทุกข์เยอะ
บางทีหาทางไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย
วู้ดดี้ออยากจะให้คนที่ดูอยู่และมีความรู้สึกแบบนั้น ได้มีโอกาสในการคิด
อยากจะให้พระอาจารย์ช่วยให้เขามีสติหน่อย
ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยากให้เขาลุกขึ้นมา
เดินออกจากสภาพแวดล้อมอย่างนั้น
แค่คุณเดินออกไปพลังงานด้านลบก็จะหายไปจากตัวคุณแล้ว
ถ้าคุณมีแนวโน้มกำลังจะฆ่าตัวตาย คุณพูดให้เพื่อนฟังนะ
โทรศัพท์ไปหาเพื่อน เพื่อนจับสัญญาณได้ เพื่อนจะได้ช่วยคุณได้

วู้ดดี้ : ถ้าคนที่ไม่มีเพื่อนล่ะครับ ไม่มีเพื่อนไม่มีครอบครัว อยู่คนเดียวล่ะ
ท่าน ว.วชิรเมธี : คุณก็สร้างขึ้นมาใหม่ให้มันมีได้นี่
เปิดโทรทัศน์ก็ได้ ไปหาเทปธรรมะมาฟังก็ได้ เพื่อนมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ขึ้นอยู่แต่ว่าคุณเปิดหูเปิดตาเปิดใจหรือเปล่า เคยได้ยินคำนี้มั้ย
โลกของวู้ดดี้ต้องไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้แน่ๆ "กัลยาณมิตร"
อีกคำหนึ่ง good friend เพื่อนแท้
แต่คนไทยไม่ชอบหรือบางทีไม่ให้ความสำคัญกับกัลยาณมิตรนะ
บางทีเราไม่รู้จักด้วยซ้ำ เรามีสิ่งหนึ่งมากเกินไปนั่นคือ ปาปมิตร
เพื่อนชั่ว เพื่อนเลว ชวนกันไปกิน ชวนกันไปเที่ยว
วู้ดดี้ : สนุกมาก
ท่าน ว.วชิรเมธี : ชวนกันไปเล่น
วู้ดดี้ : โห...มันมันส์
ท่าน ว.วชิรเมธี : ชวนกันไปเมา
วู้ดดี้ : สนุกเลย
ท่าน ว.วชิรเมธี : ปาปมิตรทั้งหมด เขาเรียกเพื่อนชั่ว คบแล้วต่ำลงๆๆๆ
บางทีหน้าตาดีแต่ใจต่ำ

คำถามสุดท้ายที่ผมจะถามท่าน ว.วชิรเมธี เป็นคำถามที่หลายคนบอกว่า
เราไม่ควรถามพระ แต่ผมเชื่อว่าท่านมีคำตอบครับ

วู้ดดี้ : ท่านเป็นเพศชายแน่นอน ท่านเข้ามาอยู่ในโลกของธรรมะ
ท่านสามารถระงับอารมณ์ทางเพศได้อย่างไร
ท่าน ว.วชิรเมธี : เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่เรา
จะไปให้ความสำคัญกับมันมากหรือน้อย คนทุกคนมีนะ
อารมณ์ทุกอย่างที่มีในปุถุชนก็มีในพระทั้งหมด
แต่พระเราจะถูกสอนให้เรียนรู้ที่จะไม่ต่อยอดสิ่งเหล่านี้

วู้ดดี้ : แสดงว่าเวลาเกิดกำหนัดเราก็แค่ไม่ต่อยอด...จบ
ท่าน ว.วชิรเมธี : เราก็เดินหนี แค่นั้นเอง กามารมณ์เกิดจากความคิด


วู้ดดี้ : งั้นเวลาสมมติว่าท่านท่องเน็ต
แล้วดันเผอิญไปคลิกผิดแล้วมีไซต์โป๊ขึ้นมา เคยมีมั้ยฮะ
ท่าน ว.วชิรเมธี :
มันแย่มากเพราะอาตมาไม่ไปท่องเว็บที่ไร้สาระแบบนั้นอยู่แล้ว
แต่ถ้ามันเข้ามาก็ไม่เป็นปัญหาถ้าเราไม่ต่อยอด
แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วหลังตรัสรู้ว่ากามารมณ์ก็คือความคิด
ถ้าคุณไม่คิด ความรู้สึกเชิงกามารมณ์ไม่เคยมีตัวตน

วู้ดดี้ : มนุษย์เราต้องมีเพศสัมพันธ์ใช่มั้ยฮะ
มันก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความสุขทางโลก
ถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์ก็ไม่มีเราทุกวันนี้ เราจะอธิบายได้ยังไง
เราจะแยกแยะได้ยังไง ไม่งั้นโลกทั้งโลกใบนี้
ผู้ชายทุกคนก็ควรต้องเป็นพระสิครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มีใครพูดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่พูดอย่างนั้น
เรามักจะคิดว่าความสุขที่เข้มข้นที่สุด
ถึงอกถึงใจที่สุดคือความสุขเชิงกามารมณ์ใช่มั้ย หยิบจับสัมผัสได้
แต่คุณลืมไปว่าความสุขมันเป็นขั้นบันไดนะ
แต่มนุษย์ติดอยู่บันไดขั้นแรกคือสุขจากกามารมณ์แล้วก็คิดว่าถึงที่สุดแล้ว
หลวงพ่อไม่เท่าฉันหรอกน่า
ไอ้พวกนี้มันอยู่ในมูตรในคูถแล้วมีความสุขที่สุด
แล้วมันไปสงสารคนอื่นที่ไม่มีความสุขเหมือนตัวเอง
คิดว่าความสุขจากกามารมณ์เป็นสุขที่วิเศษที่สุด
หลวงพ่อหลวงพี่ทั้งหลายไม่มีโอกาส สู้เราไม่ได้


วู้ดดี้ : เราถึงจุดสุดยอดแต่พระไม่ถึง
ท่าน ว.วชิรเมธี : ใช่
เราลืมไปว่าจุดสุดยอดไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเกิดจากกามารมณ์เท่านั้น
มันอาจจะเป็น Spiritual Orgasm ก็ได้
วู้ดดี้ : มันมี Orgasm หลายแบบ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ใช่ ทำไมคุณไปคิดว่ามันมีแค่ไหนล่ะ

วู้ดดี้ : งั้นความสุขทางโลกของเราจริงๆ
แล้วในหลักของพระพุทธศาสนามันไม่ใช่อย่างนั้นเลยใช่มั้ย
ท่าน ว.วชิรเมธี :
คือความสุขที่มนุษย์บอกว่าสุขที่ถึงที่สุดแล้วก็ทุกข์ถึงที่สุดก็เพราะความ
สุขชนิดนี้ คือสุขเพราะกามารมณ์
พระอาจารย์อยากจะบอกว่ามันเป็นแค่ความสุขขั้นต่ำที่สุด
จุดสุดยอดในวงการพุทธศาสนาคือการเป็นพระอรหันต์
การบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเหมือนที่พระพุทธเจ้าบรรลุ
พอเราไปถึงที่สุดทุกข์เราบรรลุมรรคผล
เราวิวัฒนาการถึงจุดสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ มีความสุขตลอดกาล
ยังมีขั้นที่สองนะ ปัญญาสุข สุขจากการแสวงหาปัญญา

วู้ดดี้ : แล้วขั้นต่อไปล่ะครับ
ท่าน ว.วชิรเมธี : ขั้นที่สาม สมาธิสุข สุขจากการที่หลับตานั่งนิ่งๆ
ตามดูลมหายใจ พอจิตสงบร่างกายก็สดชื่นเบิกบานหลั่งสารเอนโดฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออก
มานะ เท่านั้นแหละวู้ดดี้จะรู้สึกว่ามันชุ่มเย็นมันเบิกบานทั้งเนื้อทั้งตัว
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า เวลาสารแห่งความสุขหลั่งออกมา
ไม่มีตรงไหนตั้งแต่หัวจรดเท้าที่รังสีแห่งความสุขแผ่ไปไม่ถึง
นี่เรียกว่าสมาธิสุข วันหลังลองนั่งสมาธินานๆ ซักครั้งละครึ่งชั่วโมง
แล้ววู้ดดี้จะเห็นว่าสุขจากกามารมณ์ที่ตัวเองเคยผ่านพบมันเป็นแค่อะไรที่
เล็กที่สุด ต่ำต้อยที่สุด
แล้วเธอจะหันไปมองความสุขชนิดนั้นเหมือนคนที่ถ่มน้ำลายทิ้งแล้วไม่เสียหาย
เลย แล้วคุณจะรู้ว่าคุณไปหลงอยู่ตรงนั้นเสียตั้งนาน
สุขที่สูงกว่านั้นยังมีอยู่ทำไมไม่มอง บางครั้งมาดูถูกด้วยนะ
นี่แค่ขั้นที่สามเองนะ สมาธิสุขจนน้ำหูน้ำตาไหล นี่ขั้นที่สาม
สุขที่สี่ สุขสุดท้ายที่ปลายทางชีวิตมนุษย์ทุกคนควรไปให้ถึง นิพพานสุข
เป็นความสุขที่เราเป็นอิสระจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง

ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยเสียน้ำตาแต่มีความสุขมากขนาดนี้ครับ
อาจเป็นเพราะว่าผมได้คำตอบแล้วในที่สุด
สุดท้ายเรื่องที่ผมคิดว่าไกลตัวผมมากกลับกลายเป็นสิ่งที่ใกล้มากกว่าที่คุณ
คิด เพราะทั้งหมดคือเรื่องของใจและตัวเราเอง
และแล้วแขกรับเชิญที่ผมคิดว่าไม่ใช่มากที่สุดกลับกลายเป็นแขกที่ใช่ที่สุด
สำหรับผม


จากคุณ : autumn whispers เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 52 08:21:43
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8400019/A8400019.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น