++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บทเรียนทางการเมืองและการพัฒนาประเทศจากจีน

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน 7 ตุลาคม 2552 14:58 น.
การเฉลิมฉลองวันชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยการเดินสวนสนาม
การแสดงถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ ความพร้อมเพรียงในการแสดงชุดต่างๆ
รวมทั้งดอกไม้ไฟที่ตระการตาเป็นที่ประทับใจของคนทั่วไป กล่าวได้ว่าภายใน
3 ทศวรรษที่ผ่านมานี้การเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาของจีนได้นำไปสู่ความสำเร็จ
อย่างยิ่งใหญ่ในทางอุตสาหกรรม เกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รวมทั้งการป้องกันประเทศ ดังที่นโปเลียน โบนาปาร์ต ได้เคยรับสั่งว่า
"ปล่อยให้จีนหลับต่อไป เพราะถ้าจีนตื่นขึ้นโลกจะสะเทือน"
แต่ความสำเร็จดังกล่าวนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากการเรียนรู้ทางการเมืองและการ
พัฒนาประเทศในอดีต ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล
โดยมีเหตุการณ์ 3 เหตุการณ์ที่จะยกมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง

ตัวอย่างที่หนึ่ง ใน ค.ศ. 1958 เหมา เจ๋อตุง
มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถลุงเหล็กเพื่อแข่งขันกับประเทศในยุโรป
และเพื่อการนี้ได้มีนโยบายอันสำคัญยิ่งคือนโยบายก้าวกระโดด (the great
leap forward) โดยมีคำสั่งให้ทุกหมู่บ้านนำเหล็กที่ได้จากเครื่องมือเครื่องใช้
และเศษเหล็กต่างๆ
ถลุงเป็นเหล็กเพื่อนำไปใช้ในทางอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง

ในช่วงเวลานั้นตั้งแต่ 20.00 - 22.00 น.
จะมีแสงไฟสว่างไสวในทุกหมู่บ้านทั่วแผ่นดินจีน
ประชาชนในชนบทต่างทำการถลุงเหล็กตามคำสั่งของรัฐ
โดยเรียกการถลุงเหล็กนั้นว่าเตาถลุงเหล็กสวนหลังบ้าน (the backyard
furnace) ในขณะที่ทำการถลุงเหล็กนั้นเกษตรกรจำนวนมากควรที่จะต้องใช้เวลาทำการเพาะ
ปลูกในไร่นา เลี้ยงสัตว์ ต้องเสียเวลาถลุงเหล็กตามคำสั่งของรัฐ
ผลที่ตามมาก็คือ ความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
นโยบายก้าวกระโดดกลายเป็นนโยบายที่หกล้มตีลังกาถอยหลัง
เหล็กที่ถลุงนั้นขาดคุณภาพกลายเป็นเศษเหล็กจำนวนล้านๆ ตัน

ขณะเดียวกันเกิดปัญหาการขาดแคลนผลผลิตทางเกษตรจนนำไปสู่การอดอยากและ
เสียชีวิตหลายล้านคน
จนต้องมีการสั่งนำเข้าข้าวสาลีจากแคนาดามาชดเชยกับผลผลิตที่ขาดหายไป
นโยบายก้าวกระโดดเป็นนโยบายที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เหมา เจ๋อตุง
ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในที่ประชุม
สิ่งที่เรียนรู้ได้จากปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือ
การมุ่งเน้นถึงความมุ่งมั่นและพลังของมนุษย์ และความขยันหมั่นเพียร
โดยขาดวิทยาการหรือวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอาจจะไม่สามารถทำการผลิตบางสิ่ง
บางอย่างที่ไม่ได้อาศัยจากความขยันขันแข็งหรือความมุ่งมั่นแต่เพียงอย่าง
เดียว นอกเหนือจากนั้นการไม่คิดอย่างรอบคอบ
ไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจนนำไปสู่การอดอยาก
แสดงถึงความหละหลวมในการกำหนดนโยบายของคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น

(เหตุการณ์ ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อผู้เขียนอยู่โรงเรียนมัธยม
ญาติของครอบครัวที่อยู่เมืองจีนได้เขียนจดหมายมาเล่าเหตุการณ์
และขอให้ส่งเงินไปช่วยเหลือเพื่อบรรเทาปัญหาเรื่องความยากจนและความอดอยาก)

ตัวอย่างที่สองคือ การปฏิวัติวัฒนธรรมในปลาย ค.ศ. 1960 จนถึงกลาง
ค.ศ.1970 โดยเหมา เจ๋อตุง
ปลุกระดมมวลชนที่เป็นคนรุ่นเยาว์ที่เรียกว่าเรดการ์ด
ทำการคุกคามศัตรูทางการเมือง เช่น นายหลิว เส้าฉี และเติ้ง เสี่ยวผิง
ซึ่งหลิว เส้าฉี ถูกกักขังและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนเติ้ง เสี่ยวผิง
ถูกถอดออกจากตำแหน่งยกเว้นการเป็นสมาชิกพรรค เหมา เจ๋อตุง
รณรงค์ต่อต้านขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี
ปล่อยให้เรดการ์ดสร้างความปั่นป่วนขึ้นทั้งเมือง
เปลี่ยนแปลงมาตรฐานของสังคม สัญญาณไฟจราจรสีแดงซึ่งปกติหมายถึงหยุด
ยามแดงบางส่วนก็บอกให้ไปเพราะสีแดงเป็นสีแห่งความรุ่งเรืองของคอมมิวนิสต์
ส่วนไฟเขียวหมายถึงให้หยุด เป็นต้น

นอกเหนือจากนั้นยังทำลายวัดวาอาราม ทำลายศาลเจ้าและพระพุทธรูป
ใช้ค้อนทุบโบราณวัตถุ มีการวิพากษ์วิจารณ์ครูบาอาจารย์ บิดามารดา
และถือโอกาสกำจัดศัตรูทางการเมืองหรือคนที่ตนไม่ชอบ
สังคมจีนตกอยู่ในสภาวะกลียุค นำไปสู่อนาธิปไตยไปทั่วทุกหัวระแหง
จนต้องมีคำสั่งให้กองทัพปลดแอกประชาชนเข้าควบคุมสถานการณ์และสั่งให้เหล่า
ยามแดงหรือเรดการ์ดเดินทางไปสู่ชนบท ขณะเดียวกันการก่อสร้างใหม่ๆ
การวิจัยทางวิชาการก็ไม่คืบหน้า
ครูบาอาจารย์ต่างถูกส่งไปใช้แรงงานในชนบทเพื่อดัดนิสัยที่ยังมีการตกค้างของ
ลัทธิทุนนิยมและค่านิยมศักดินา

ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้ได้ก่อให้เกิดความชะงักงันของการพัฒนา
ประเทศจีน เพราะจุดมุ่งเน้นอยู่ที่การกำจัดศัตรูทางการเมืองโดยใช้การปฏิวัติวัฒนธรรม
มาอ้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบั้นปลายชีวิตของเหมา เจ๋อตุง ใน ค.ศ. 1976
ความผิดเพี้ยนต่างๆ กลับทวีคูณขึ้นเนื่องจากนางเจียง ชิง
ซึ่งเป็นภรรยาของเหมา
กับพวกทั้งสามคนที่เรียกว่าแก๊งทั้งสี่ใช้ยามแดงและนโยบายซึ่งอ้างว่าสั่ง
โดยเหมา เจ๋อตุง กำจัดศัตรูทางการเมืองเพื่อให้สิ้นซาก

ปรากฏการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมนอกจากสร้างความเสียหายในด้านต่างๆ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือความเสียหายทางจิตใจ
ผู้นำพรรคที่เคยต่อสู้ปลดแอกประเทศจีนหลายคนต้องถูกข่มเหงรังแกอย่างไม่เป็น
ธรรม โดยมีคนคราวลูกหลานเป็นเครื่องมือของศัตรูทางการเมือง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ประเทศจีนชะงักงันในการพัฒนา
ทั้งในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ
เป็นแผลทางจิตวิทยาและเป็นจุดด่างดำทางประวัติศาสตร์ที่ยังส่งผลถึงปัจจุบัน
ในหมู่คนจำนวนร้อยๆ ล้านคน

(ผู้ เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปกับคณะนักวิชาการ นำโดย ศ.ดร.เกษม
สุวรรณกุล และ ศ.ดร.เขียน ธีระวิทย์
ไปเยี่ยมเยียนจีนในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม
ได้เห็นการรณรงค์และการเดินขบวนของพวกเรดการ์ด และการโจมตีเติ้ง
เสี่ยวผิง โดยคณะนักวิชาการไปถึงกรุงปักกิ่งวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1976
อีกสองวันต่อมาคือวันที่ 7 เมษายน เติ้ง เสี่ยวผิง
ก็ถูกถอดจากทุกตำแหน่งเหลือเพียงสมาชิกภาพของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
จึงได้เห็นบรรยากาศของการรณรงค์ปลุกเร้ามวลชนโจมตีฝ่ายเติ้ง เสี่ยวผิง)

ตัวอย่างที่สามคือ เหตุการณ์เทียนอันเหมินใน ค.ศ. 1989
มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งทำการประท้วงทางฝ่ายรัฐ
โดยขอให้ทางรัฐเปิดให้มีเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น
และเรียกร้องให้เปิดเสรีประเทศมากกว่าที่เป็นอยู่
แต่รูปการณ์กลับกลายเป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างนายจ้าว จื่อหยาง
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน (ก่อนนั้นคือนายหู เย่าปัง
ซึ่งมีความคิดในทางเสรีนิยม) กับฝ่ายของนายจาง

เจ๋อหมิน หลี่ เซียนเนียน และหลี่ เผิง เป็นต้น โดยเติ้ง
เสี่ยวผิง ผู้อาวุโสเป็นผู้เฝ้าดู
การประท้วงของนักศึกษาได้ถูกประณามว่าเป็นพวกต่อต้านพรรคและต่อต้าน
สังคมนิยมทำให้เหตุการณ์บานปลายออกไป ขณะที่นายจ้าว จื่อหยาง
พยายามยุติการประท้วงของนักศึกษาและขอให้ถอนคำประณามดังกล่าวแต่ก็ไม่เป็นผล
ทางฝ่ายเติ้ง เสี่ยวผิง
หวั่นเกรงว่าจะเกิดความปั่นป่วนและนำไปสู่สภาวะการขาดเสถียรภาพทางการเมือง
ก็เอนเอียงไปในทางกลุ่มตรงกันข้ามกับนายจ้าว จื่อหยาง
ข้อผิดพลาดก็คือนายจ้าว จื่อหยาง ได้เดินทางไปราชการที่ประเทศเกาหลีเหนือ

ในขณะเดียวกันนั้นทางฝ่ายตรงกันข้ามนายจ้าว จื่อหยาง
ก็สามารถจูงให้ฝ่ายเติ้ง เสี่ยวผิง
เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้ความรุนแรงกับนักศึกษา
เหตุการณ์กลับรุนแรงขึ้นเมื่อนายกอร์บาชอฟ
เดินทางมาพบกับนักศึกษาและมิไยที่นายจ้าว จื่อหยาง
จะพยายามพูดจูงใจให้นักศึกษาสลายการชุมนุมแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
ผลสุดท้ายก็เกิดกรณีนองเลือดจัตุรัสเทียนอันเหมิน

เหตุการณ์นี้น่าจะหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้
แต่ทุกฝ่ายต่างยืนกรานในจุดยืนของตน
ที่สำคัญคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมทำให้เกิดรอยแผลทาง
จิตวิทยา ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยจึงมีมาตรการที่รุนแรง
และเป็นที่น่าเสียดายว่าเหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นแผลทางการเมืองของ
สาธารณรัฐประชาชนจีนมาจนปัจจุบันนี้ กล่าวกันว่ามี 3T
ที่จีนไม่อยากให้กล่าวถึง คือ เทียนอันเหมิน (Tiananmen) ไต้หวัน
(Taiwan) และทิเบต (Tibet) ข้อที่น่าเรียนรู้คือนายจ้าว จื่อหยาง
ไม่น่าจะเดินทางไปราชการที่เกาหลีเหนือ น่าจะอยู่ใกล้ชิดกับนายเติ้ง
เสี่ยวผิง แทนที่จะออกจากฐานที่มั่นทางการเมือง
ทำให้ฝ่ายศัตรูทางการเมืองสามารถพลิกเกมได้

(ผู้เขียนได้เดินทางไปประเทศจีน 29 ครั้ง
และเคยบรรยายที่มหาวิทยาลัย เหริน หมิน ต้า เสว ที่กรุงปักกิ่ง
และเคยบอกกับอาจารย์ที่นั่นว่าการเปิดประตูประเทศจีนเพื่อสี่ทันสมัย คือ
อุตสาหกรรม เกษตร วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ
จะต้องนำไปสู่การขยายการศึกษาและการส่งนักเรียนจีนออกไปเรียนยังต่างประเทศ
สังคมจีนก็ต้องเปิดกว้างขึ้น ย่อมจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตื่นตัวทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมือง
แต่ถ้าระบบการเมืองไม่เปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมก็จะเกิดการเสียดุลและ
อาจจะนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดได้ โดยผู้เขียนยกตัวอย่าง 14 ตุลาคม 2516
และ 6 ตุลาคม 2519 ให้นักวิชาการจีนได้ทราบ หลังจากนั้น 6 เดือน
ก็เกิดปรากฏการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน)

จีนทุกวันนี้ประสบความสำเร็จ แต่จีนก็มีบทเรียนราคาแพงและขมขื่น
บทเรียนดังกล่าวนี้น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับประเทศอื่นด้วย

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000118515

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น