@..มาอ่านเรื่อง2พระอริยะเจ้า
หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ
ออกธุดงค์พบปีศาจอสุรกาย..@
ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ
ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า มี 4-5
หลังคาเรือน ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วย
ความดีใจ เพราะนานๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที
ชาวบ้านถามว่า พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน
หลวงปู่บอกว่าจะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น
แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร)
ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ พร้อมทั้งทัดทานว่า
อย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่
คอยทำร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น
หลวงปู่ทั้งสอง กล่าวขอบใจในความหวังดี
และบอกว่าท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิต
ให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย
แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว
หลวงปู่ออกเดินทางโดยข้ามลำน้ำสองแห่ง
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าแถบนั้นเงียบกริบ
ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ เลย แม้แต่นกก็ไม่มี
ดูผิดประหลาดมาก
พอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสอง ก็มาถึงยอดเขาสูง
ที่มีลักษณะประหลาดมาก คือยอดเป็นสีดำ
คล้ายถูกไฟเผา รูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำ
คล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง
แปลกไปจากเขาลูกอื่นๆ
หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลำธาร
ที่มีน้ำใสไหลผ่านอยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลด
ห่างกันประมาณ 10 เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่น
แล้วต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน
ทั้งสององค์ตระหนักในความประหลาดของ
สถานที่นั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแค่
นั่งสงบอยู่ภายในกลด
ประมาณ 5 ทุ่ม หลวงปู่แหวน ก็ออกจากกลด
เตรียมจะเดินจงกรม หลวงปู่ตื้อ ออกมาตาม
และพูดว่า “ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ”
หลวงปู่แหวน ตอบ “ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”
พูดกันแค่นี้แล้วต่างองค์ต่างก็เดินจงกรมในทางของตน
ต่อจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็น
ดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น
เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึก
เสียวลงไปถึงรากฟันทีเดียว
หลวงปู่ตื้อ ถามพอได้ยินว่า
“ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม”
หลวงปู่แหวน ตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า
“ผมกำลังฟังอยู่”
เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามาทุกที
ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งสององค์
คงเดินจงกรมอยู่เงียบๆ ตามปกติเหมือน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ป่านั้นเงียบสงัดจริงๆ เสียงนกเสียงแมลงก็ไม่มี
ครั้นแล้วเกิดพายุปั่นป่วนมาอย่างกระทันหัน
ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรง
ราวกับจะถอนรากออกมา อากาศพลันหนาวเย็น
วิปริตขึ้นมาทันที
พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง
ตัวดำมะเมื่อม สูงราว 7 ศอก มีขนยาว
รุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย
ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน มันก้าว
เข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองประมาณ
10 เมตรเห็นจะได้
สัตว์ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น
พลันพายุนั้นก็สงบลง แสดงว่ามันมีอำนาจ
เหนือธรรมชาติ สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง
ร้ายกาจเหมือนกลิ่นศพที่กำลังขึ้นอืด
มันกระทืบเท้าสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน
หลวงปู่แหวนเล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว
แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์
ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจ
หรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กำหนดสติไม่ให้ใจ
คอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น
กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น
สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น
แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ
ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้
ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน
หลวงปู่ตื้อ พูดพอได้ยินว่า “ท่านแหวนทำดีมาก”
พร้อมทั้งเดินมาสมทบ แล้วพูดว่า “
เขาแบกหามบาปหาบทุกข์อันมหันต์
เขามาหาเรา เพื่อให้ช่วยปลดทุกข์ให้เขานะ
เขาสร้างกรรมไว้มาก เมื่อตายจากมนุษย์แล้ว
ต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่”
หลวงปู่แหวน ได้กำหนดจิตถามดูก็ได้ความว่า
สมัยเป็นมนุษย์เขามีการกระทำที่มากล้นด้วยตัณหา
และความโลภ คือละเมิดศีลข้อ 2 และข้อ 3 อยู่เสมอ
จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย รับทุกข์อยู่ที่นั่นมากว่าร้อยปีแล้ว
ปีศาจอสุรกายนั้นดูท่าทางอ่อนลงมาก
มันร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสาร ขอความ
เมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสองให้เขาได้
พ้นทุกข์ทรมานนั้นด้วยเถิด
หลวงปู่แหวน ได้พิจารณาเห็นว่า เขาสร้างกรรม
ซับซ้อนเหลือเกินใครจะช่วยเขาได้ พลันหลวงปู่ตื้อ
ตอบมาในสมาธิว่า
“กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ก็จริง
บางทีพระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเช่นท่านแหวน
ก็อาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ ลองอ่านพระคาถา
หรือเทศนาธรรมให้เขาฟังดูสิ”
หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตว่าพระคาถา
แล้วเทศนาให้เขาสำนึกบาปบุญคุณโทษ
เขาค่อยๆ คลายความกังวลลง ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง
“พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตพิจารณาตาม
กระแสธรรมของท่านแล้ว เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้า
อย่างมหัศจรรย์ และข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรม
คือ ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นทุกข์เป็นธรรมดา
ของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วพระคุณเจ้า”
สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้น ก้มลงกราบหลวงปู่
ทั้งสององค์ แล้วร่างนั้นก็หายไป
จากหนังสือ “หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ”
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
(โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม3)
เกเก้ ธัญชรินทร์
สอนให้คนละอายและเกรงกลัวต่อการทำบาป สาธุๆๆ
ตอบลบ