++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประสบการณ์การบวชนั้นทำให้ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของสมาธิภาวนามากขึ้น

ประสบการณ์การบวชนั้นทำให้ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของสมาธิภาวนามากขึ้น และอยากชักชวนให้ผู้คนหันมาใส่ใจกับการทำกรรมฐาน แต่ก็ยังไม่มีความคิดที่จะอุทิศชีวิตเพื่อประโยชน์ตนล้วน ๆ แม้จุดหมายสูงสุดคือพระนิพพานก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่าตนเองควรทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อม ๆ กัน หากว่าชีวิตสมณะทำได้แต่เพียงประโยชน์ตนเท่านั้น ข้าพเจ้าก็คงจะบวชได้ไม่นาน เพราะยังอยากทำประโยชน์ให้แก่สังคมอยู่ ข้อนี้อาจเป็น “วาสนา”ของข้าพเจ้าด้วยก็ได้ ที่มีใจมาทางนี้ตั้งแต่เล็กแล้ว (จำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ อยากเป็นตำรวจ จะได้ช่วยเหลือประเทศชาติ ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่อยากให้ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ดีกว่านั้นเพราะข้าพเจ้าเป็นคนเรียนเก่ง)

ดังนั้นเมื่อบวชแล้ว ยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้อยู่ ข้าพเจ้าจึงไม่รู้สึกอึดอัดกับผ้าเหลืองมากนัก ในเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณหลวงพ่อคำเขียนด้วย ที่ท่านเข้าใจนิสัยใจคอของข้าพเจ้า จึงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปทำกิจในที่ต่าง ๆ ได้ แม้แวดวงที่ข้าพเจ้าเกี่ยวข้อง (คือองค์กรพัฒนาเอกชน หรือที่เรียกในปัจจุบัน NGO)...

ในกรณีของข้าพเจ้านั้น ใช่แต่พรรษาจะมากขึ้นเท่านั้น ชื่อเสียงกิตติศัพท์ก็เพิ่มพูนขึ้นด้วย โดยเฉพาะในช่วงสามปีหลัง หากไม่เป็นเพราะสื่อโทรทัศน์รวมทั้งรางวัลและเกียรติยศต่าง ๆ ที่ได้รับ ก็คงไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย ก่อนหน้านั้นแม้จะเขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม แต่ไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ยกเว้นคนที่เป็นนักอ่าน แต่จู่ ๆก็กลายเป็น “คนดัง”ขึ้นมา ไปไหนมาไหนก็มีคนทักมากขึ้น จนบางท่านทักว่าข้าพเจ้าเป็นพระ “เซเลบ” (celebrity)ไปแล้ว สภาพดังกล่าวไม่ได้ส่งผลให้ข้าพเจ้ามีชีวิตส่วนตัวน้อยลงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมีโลกธรรม คือ ลาภ สักการะเป็นต้น มารุมเร้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะง่ายมากที่จะทำให้กิเลสเพิ่มพูนหรืออัตตาตัวตนใหญ่ขึ้น

อีกสถานะหนึ่งที่เกิดขึ้นควบคู่ก็คือ ความเป็นครูบาอาจารย์ หรือถึงกับถูกยกให้เป็นวิปัสสนาจารย์ บางท่านถึงกับตั้งให้เป็นพระสุปฏิปันโนด้วยซ้ำ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการได้รับนิมนต์ให้ไปบรรยาย อบรมตามที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี ยิ่งระยะหลังผู้คนหันมาสนใจธรรมะมากขึ้น ข้าพเจ้าจึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะดังกล่าว ซึ่งย่อมตามมาด้วยคำสรรเสริญชื่นชมและการเคารพนบนอบ ทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้ามี “งานเข้า” มากขึ้น กล่าวคือมีกิจนิมนต์ชุกขึ้น จนมีเวลาทำกิจส่วนตัวน้อยลง ขณะเดียวกันก็กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องจัดการด้วยความระมัดระวัง หาไม่แล้วก็ง่ายมากที่จะหลงใหลได้ปลื้มกับมัน จนเกิดความหลงตัวลืมตนว่า “กูแน่” หรือคิดว่าตนเองเป็นอย่างที่เขายกให้จริง ๆ

อาการแบบนี้หากเกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นอันตรายต่อชีวิตพรหมจรรย์ นอกจากทำให้ไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติแล้ว ยังกลับจะถอยหลังเสียด้วย อีกทั้งยังเป็นทุกข์ได้ง่ายมาก เพราะอย่าว่าแต่คำวิจารณ์เลย เพียงแค่เขาไม่ชม ไม่กราบไหว้ ไม่เคารพนบนอบ ก็ทำให้ไม่พอใจหรือไม่สบายใจแล้ว ร้ายกว่านั้นก็คือ เมื่อหลงติดในชื่อเสียงแล้ว ก็เลยกลายเป็นคนที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีอยู่เสมอ อย่างน้อยก็เพื่อรักษาความนิยมและคำสรรเสริญเอาไว้ไม่ให้ตก ผลก็คือต้องคอยปกปิดด้านที่ดูไม่ดีเอาไว้ หากทำอะไรบกพร่อง ไม่เก่ง ไม่ฉลาด ก็ต้องปฏิเสธหรือกลบเกลื่อนไว้ก่อน หนักกว่านั้นก็คือโกหกเพื่อสร้างภาพ ดังนั้นจึงง่ายมากที่จะกลายเป็นคนไม่ซื่อต่อทั้งผู้อื่นและตนเอง

ข้าพเจ้าสำนึกอยู่เสมอว่าตนเองยังเป็นผู้ศึกษาที่ต้องเรียนรู้อีกมาก เพราะยังห่างไกลจากมรรคผล แม้พรรษาจะมากแต่ก็ใช่ว่าภูมิจิตภูมิธรรมจะมากตามไปด้วย ข้อบกพร่องก็มีไม่น้อย ไม่ใช่คนดีพร้อม อีกทั้งยังไม่ลืมพื้นเพที่เป็นพระผู้น้อยจากวัดป่าเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เรียนสูงในทางธรรม แต่มีบุญที่ได้อยู่ใกล้และรู้จักครูบาอาจารย์หลายท่านที่ทรงคุณอันประเสริฐ เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตและให้ความรู้ในทางธรรมทั้งในทางปริยัติและปฏิบัติ ใช่แต่เท่านั้นข้าพเจ้ายังมีกัลยาณมิตรที่ใกล้ชิดพอที่จะแนะนำ และทักท้วงตักเตือน แม้เคารพแต่ก็ไม่ได้เชิดชูจนวางไว้บนหิ้ง แต่เท่านั้นคงไม่พอ ข้าพเจ้าจำต้องหมั่นเตือนตนอยู่เสมอไม่ให้หลงไหลได้ปลื้มกับชื่อเสียงเกียรติยศและคำสรรเสริญที่มีอยู่รอบตัว เพราะมันเจือไปด้วยโทษที่สามารถทำให้เสียผู้เสียคนได้ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน อะไรที่มอบให้แก่เราได้ ก็สามารถดึงไปจากเราได้เช่นกัน จึงไม่ควรยึดติดถือมั่นกับมันมาก

บทความในหนังสือ ๓ ทศวรรษ พระไพศาล วิสาโล
จัดพิมพ์โดย ชมรมกัลยาณธรรม
พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม ๒๕๕๖
อ่านทั้งหมด http://www.visalo.org/article/30pansa.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น