++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"เอาไม้ซีกจะไปงัดไม้ซุง"


"เอาไม้ซีกจะไปงัดไม้ซุง" ในปัจจุบันสำนวนนี้มักถูกใช้เพื่อเป็นการเตือน "คนตัวเล็ก" ว่าอย่าได้คิดไปต่อต้าน "คนตัวใหญ่กว่า" ในขณะที่ พระครูประโชติธรรมาภิรมย์ กลับกล่าวไว้อย่างตรงกันข้ามในการให้โอวาท ณ เวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น ครั้งที่ 1 "ปมปริศนาของการพัฒนากับสุขภาพของชาวระยอง" เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2550 ณ โรงเรียนวัดป่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง

แต่เดิมทีนั้นคนโบราณใช้ไม้ซีกงัดไม้ซุงเพื่อเอาไม้ในป่า คนตัดไม้ไม่ได้ใช้แม่แรงหรือเครื่องมืออะไร แต่ใช้ต้นไม้เล็กๆ งัดขอนซุงใหญ่ ในเรื่องการจัดการกับปัญหาจากการขยายอุตสาหกรรมนี้ก็เช่นเดียวกัน "เมื่อมันมีอะไรเกิดขึ้นในสังคม ถ้าเรามีน้ำใจ ถ้าเราร่วมใจกัน ก็สามารถงัดไม้ซุงให้ปลิ้นได้"

เดี๋ยวนี้คนเราขาดสำนึก สู้แมลงผึ้งยังไม่ได้ หลายท่านทราบดีว่า เมื่อแมลงผึ้งบินออกไปหากินสถานที่ใดไม่เคยทำให้สถานที่นั้นชอกช้ำ หรือบอบช้ำ ในทางตรงกันข้าม เป็นไปเพื่อเกื้อกูลต่อสถานที่นั้นๆ ซึ่งท่านทั้งหลายทราบดีว่า มันจะเกิดการผสมเกสร และลักษณะการไปหากินนั้นนิ่มนวล

โลกมนุษย์พ่อแม่ปู่ยาตายายสอนลูกหลานไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของจักรวาลหรือส่วนไหนของโลก จงพยายามทำตัวเหมือนแมลงผึ้ง แล้วทรัพยากรต่างๆ มันจะเหลือกินเหลือใช้ อย่างที่รู้ๆ กัน ต่อไปขอใช้คำว่า ความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิ คิดอะไรเกิดมาจะเอาลูกเดียว ไม่เคยคิดว่าถ้าลมหายใจเข้าแล้ว ให้เราถามตัวเองว่าในเมื่อเราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นั้น ถึงที่สุดแล้ว ถึงจุดจบของชีวิตถามดูว่าต้องการอะไร? ต้องการชีวิตหรือไม่? เวลาหายใจออกเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ต้องการลมหายใจเข้า

สรรพสิ่งในโลกนี้มีความเปลี่ยนแปลง ถ้าเรามีของดี ๆ เอาเข้าไป เอาเข้าไป ๆ ถามว่าอนาคตร่างกายดี ๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตนี้หรือไม่ เราทราบดีว่า แม้ว่าระบบย่อยดี แต่ระบบขับถ่ายไม่ดี อะไรจะเกิดขึ้น หากคนในสังคม ในโลกมนุษย์ปัจจุบัน มีบุคคลบางคนที่เอาเข้าจนเกินไป ระบบย่อยไม่ดี ขับถ่ายไม่ดี แล้วปรากฏว่าเป็นอย่างไร...... ความหายนะเกิดขึ้นกับชีวิต

มันเป็นสัจธรรมของมันอย่างนั้นเอง ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรที่ไหนอยู่ เราไม่ได้มีพันธะต่อโลก มีความละอายต่อใจ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อบาปว่า เรานั้นเป็นก้อนทรัพยากรที่ไม่มีคุณค่า หากินไปวันๆ ลองกลับมามองชีวิตของคนก็ดี ไม่มีความละอายเลยใช่หรือไม่ ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่เห็นบาปเป็นผลกระทบ ไม่กลัวบาปที่อยู่ในตัวว่าอย่างนั้น

ผู้ว่าราชการจังหวัดได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่ว่าจังหวัดไหนล้วนมีหน้าที่บำรุงให้สงบ ปรับทุกข์ของประชาราษฎร์ จำใส่หัวสมองเลย ถ้ามีจังหวัดไหนที่จะผิดจากผู้ว่าฯ อย่างนั้น ภาษาพระเขาเรียก เอาเปรียบ ว่าเราไม่อยู่ตรงนี้จะไปเอาอะไรตรงนั้น ย่อมมีแต่เอา เค้าเรียกว่า เอาเปรียบ

เวลาคนเรามีน้ำอยู่ เมื่อคิดจะให้แล้วก็เบาสบาย บรมครูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า จิตคิดจะให้ เป็นจิตที่เบาสบาย จริงหรือไม่ จิตที่คิดว่าจะให้ เมื่อเราคิดจะให้น้อยให้มาก เราก็คิดแต่ว่า วันนี้จะให้อะไรแก่กันดีหนอ รับรองว่าไม่มีปวดหัว แต่หากใครตื่นนอนแล้วคิดว่า วันนี้จะเอาอะไรจากกันดีหนอ ทรัพยากรตรงไหนมี มนุษย์ย่อมจะเอา ระวังเถิด! ไปเช็คประสาทสมองมาให้ดี มันจะหนัก มีแต่ความอยากขึ้นสมอง มีแต่ความต้องการอะไรก็ดี

ความคิดที่เป็นอาวุธที่ลับ เมื่อแต่ก่อนนี้เคยเลื่อมใสในถ้อยคำนี้มาก่อน ว่ามีมันสมอง มีถ้อยคำที่จะเอาเป็นอารมณ์ ถ้อยคำที่ว่า โลกนี้อะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่ดีงาม คือการศึกษาว่า โลกนี้อะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่ดีงามสำหรับชีวิต ไม่ต้องปวดหัวด้วยความคิดที่จะเอา มาคิดว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความรู้จากความจริง เมื่อรู้แล้วก็อยากจะให้

วิญญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราถามว่า ถ้าสิ่งเหล่านั้น สมบัติเหล่านั้นเป็นของดีจริงแล้ว ถามว่าพระพุทธเจ้าจะตัดสินใจออกบวชหรือไม่ แต่ถ้าไม่ได้ดีจริง ก็เพราะความดีที่ว่านี้มันมีขอบเขต เมื่อมีดีแต่ก็มีขอบเขตกลับไปครอบมัน มันก็ไม่ได้ดีจริง

เพราะฉะนั้นเราก็คิดกันต่อไปว่า ธรรมะอะไรในโลกนี้ที่ในสังคมมี ที่เรามีอยู่คือ ปัญญา รู้จักพยายามมีความสำนึกว่า สัพเพสัพตาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน สมบัติในโลกนี้เค้ามีให้ใช้ ไม่ได้มีให้เอา แต่ถ้าทรัพยากรที่เอื้อเฟื้อกันในชาตินี้ เราต้องรู้จักและใช้ให้เป็น เค้าไม่ได้มีให้ใครครอบครอง ขออภัย..กฎหมายบ้าๆ ให้คนหาว่า คนนี้มีนี้ไว้ในครอบครอง แล้วทีนี้คนจะไม่บ้าอยากมีงั้นหรือ? มันก็เปลืองทรัพยากรธรรมชาติ คนก็ถูกครอบงำด้วยความโกรธความโลภความหลง ท่านทั้งหลายทราบดีว่า ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ถามว่ามันเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกับใครหรือไม่ มันอยู่ที่ไหนก็ทำลายที่นั่น ในเมื่อทำลายตัวเองไม่พอ บางทีก็ไปทำลายคนอื่น ทำลายสิ่งอื่น มันเป็นพลังงานแห่งการทำลาย แต่พลังงานในการสร้างสรรค์ความสามัคคี ความเมตตาจะยั่งยืนนานในชีวิต

เราไม่ต้องรู้หนังสือมาก เวลาถามใครว่าเราสามารถฝ่าฟันอะไรได้ด้วยเหตุใด ด้วยความสามัคคีจึงฝ่าฟันได้ อาวุธนิวเคลียร์ก็คงไม่ต้องสร้าง ลูกกระสุนมากมายมหาศาลก็คงจะอยู่ในฝักดี ๆ แน่ บางทีถ้าทุกคนมาหันหน้าคุยกัน มาจับมือคุยกันปรึกษาทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย มาศึกษาว่าชีวิตนี่จะยืนยาวได้อย่างไร


พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทรัพย์ย่อมฆ่าผู้มีปัญญาทราม ทรัพย์มีเพื่อรับใช้ชีวิต เงินทองมีเพื่อรับใช้ชีวิต มีแต่ชีวิตที่ดีงามที่มีไว้ตรึกตรอง ถ้าใครยังคิดว่าเอาเงินทองมาเป็นนายเหนือหัวชีวิต มันก็มีมากกว่าสิ่งอื่น ...วันนั้นไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีท่านหนึ่งบอกว่า .... มันไม่มารับใช้ชีวิตมันจึงไม่ดีงาม ไม่มารับใช้สังคมในครอบครัว ไม่มารับใช้ในวงสังคมหนึ่ง ประเทศหนึ่ง อยู่แต่ของตน มีแต่ระบบทุนนิยม บางคนมีร้อยล้านพันล้านก็เอาไปกินซะหมด เคยได้ยินโครงการเผาเอาเงินไปกินไหม มันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วไม่เปลืองทรัพยากรหรือ? ถามหน่อยว่าทรัพยากรที่เราเอามาถลุงเอามาใช้กันนี่ มันกลายเป็นมลภาวะแล้วมันคุ้มค่ากันหรือไม่


อย่างประเทศเราที่ยังด้อยพัฒนา และกำลังพัฒนา ประเทศที่มีความรู้ความสามารถรู้ทันเขา เรามองดูว่าเขามีแซนวิชหน่อยมีขนมหน่อยซองละ5-10 บาทแค่นี้ก็เป็นมลภาวะเต็มไปทั้งโลก เป็นขยะอยู่นี้ คนเราจะเหลืออะไรเมื่อเราตาย เหมือนเวลาเราซื้อเสื้อยืด เคยได้ยินเค้าเปิดเผยข้อมูลว่าคนเสียเงินซื้อ 5-10 ปีรวมๆ กันเป็น 50,000 ล้านบาท 20 ปีกลายเป็น 100,000 ล้านบาท นี่เราต้องสูญเสียให้กับแค่ส่วนประกอบ หากเรากิน น้ำอัดลม 1 ขวด เท่ากับว่าเรากินน้ำตาลไปกว่า 20 เท่า กินน้ำตามไป 20 แก้วถึงจะล้างสารพิษในร่างกายออกหมด เรารู้ไม่เท่าทันเขา เขาฉลาดกว่าเรา เขาจึงติดฉลากหลอกหูหลอกตาเราหน่อยและเป็นขยะเต็มไปทั้งโลก เป็นขยะเท่านั้นไม่พอ ยังก่อมลภาวะกับเรา ทำให้เราเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เดี๋ยวนี้มีปัญหากันเกี่ยวกับ เด็กอ้วนเพิ่ม

วันนั้นก็ไปถามนักศึกษา หนูขอถามหน่อยได้ไหม เด็กเค้าก็นั่งมองกัน เราก็ถามต่อ.... ถามนักศึกษาสามคนว่า ทำอะไรเวลาดูโทรทัศน์ เด็กสามคนตอบกลับต่างก็มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน สังคมนี้เช่นเดียวกัน ตาเราดู หูเราได้ยินเสียง แต่ถ้าเรามีเครื่องหมายรู้อยู่กับตัวเรา เครื่องหมายรู้ก็ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกัน ที่สำคัญคือ พื้นฐานที่ทำให้คุณค่าอะไรแตกต่างกัน ถ้าเรารู้พื้นฐานเราจะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เราตามแต่สิ่งที่เป็นมูลค่า หารู้ไม่ว่าทุกสิ่งมันมีคุณค่า แต่เราต้องการมูลค่าจนทำลายคุณค่าที่ดีไปในธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม ถ้าหนูเห็นว่าชีวิตของหนูมันมีคุณค่ามากมาย คือเป็นที่รักของพ่อแม่ ของเพื่อนบ้าน ถ้าหนูเห็นว่าชีวิตต้องการมูลค่าก็เอาชีวิตไปเทียบมูลค่า ถามว่าใครเสียหาย? ทรัพยากรต่างๆ มันมีคุณค่าหลงเหลือ แต่ใครก็ตาม มองเห็นแต่มูลค่าอย่างเดียว ปรารถนาแต่เพียงสิ่งเดียว อย่างเช่นเห็นต้นไม้เป็นมูลค่าไม่มองเห็นเป็นคุณค่า ฉะนั้นเราต้องหาวิธีดูธาตุแท้หาคุณค่า

สุดท้ายนี้ต้องขออนุโมทนาสาธุในความมีน้ำใจของทุกท่านที่ได้มาร่วม ในเมื่อมีผู้รู้ได้ออกกฎหมายบัญญัติเกี่ยวกับสุขภาพมาแล้ว ก็ลองเอาไปใช้ดู และจงเป็นเชือกเล็กๆ แต่สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ งัดท่อนซุงให้พลิกกลับ



สุดท้ายขออนุโมทนาสาธุในความมีน้ำใจของท่านอีกครั้ง





ที่มา
http://www.modothai.com/news/read.php?id=001489


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น