น้องน้ำฝน แสงทอง สาวน้อยวัย 14 ปี ที่มาจากครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นคนพิการทางสายตาด้วยกันทั้งคู่ โดยได้นำเพลง "ค่าน้ำนม" มาร้องให้แม่ผู้พิการทางสายตา ซึ่งถึงแม้แม่จะไม่สามารถมีโอกาสมองเห็นหน้าลูกสาวคนนี้ได้ แต่แม่ก็ปลื้มใจทุกครั้งที่สัมผัสและรับรู้ว่าลูกน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้นมา สามารถเอาตัวรอดและดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบกลมๆ นี้ได้อย่างมีความสุข
น้องน้ำฝน หรือ เด็กหญิงน้ำฝน แสงทอง กำเนิดมาจากความรักของพ่อและแม่ผู้พิการทางสายตา พ่อเฉลิม แสงทอง และ แม่สวัสดิ์ สัจจะมณี ซึ่งพ่อเฉลิมพิการมาตั้งแต่แบเบาะ ส่วนแม่สวัสดิ์เริ่มพิการตอน 4 ขวบ จากอาการตาแดง ปวดตาและไปรักษาไม่ทัน ทำให้สูญเสียการมองเห็นตั้งแต่นั้นมา ทั้งนี้ หลังจากทั้งคู่อยู่กินกันได้ไม่นาน ก็มีโซ่คล้องใจเป็นน้องน้ำฝน โดยน้องน้ำฝนเป็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าชัง และที่มีร่างกายสมบูรณ์ทุกประการ และพอมีอีกชีวิตหนึ่งเพิ่มขึ้น ทั้งสองสามีภรรยาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีที่สุด โดยเฉพาะแม่สวัสดิ์ ที่แม้จะมองไม่เห็นว่าหน้าตาลูกเป็นอย่างไร แต่เธอก็มอบกายและใจ ทุ่มเททุกๆ สิ่งให้กับลูกคนนี้เสมอ โดยเธอจะทุกอย่างต้องทำอย่างระมัดระวังมากกว่าคนปกติ เวลาจะป้อนข้าวป้อนน้ำก็ต้องคลำหาว่าปากของลูกอยู่ตรงไหน แม้ยามลูกป่วยไข้ จะมีก็สองมือแม่เท่านั้นที่จะสัมผัส และรับรู้ได้แทนการมองเห็น
ทุกๆ วัน รายได้ทางเดียวที่จะนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัวจะมาจากการออกไปร้องเพลง ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน บางวันก็ไม่ได้เงินกลับมาเลย แม่ก็ยอมเป็นฝ่ายอดเสียเองเพื่อให้ลูกได้อิ่มท้อง ในวันหยุดเรียนน้องน้ำฝนก็จะไปร้องเพลงกับพ่อแม่ โดยไม่เคยแคร์สายตาใครที่มองว่ามีพ่อแม่เป็นคนพิการ เพราะน้ำฝนรู้ดีว่า ความรักที่แม่มีต่อลูกทำให้แม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องอดทนต่อความลำบากในการเลี้ยงดูลูกมากกว่าคนปกติ น้ำฝนจึงเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แม่ที่พร้อมจะทำทุกอย่างได้เพื่อลูก วันนี้ลูกคนนี้จึงอยากกจะบอกรักแม่ ผ่านทางคำพูด และบทเพลงที่เธอตั้งใจจะมอบให้แม่ผู้มีพระคุณของเธอ
"หนูไม่เคยอายที่มีแม่ที่ตามองไม่เห็น หนูภูมิใจในตัวแม่มาตลอด แม่ร้องเพลงหาเงินเลี้ยงดูหนูตั้งแต่เล็กจนโต หนูจะขอเป็นดวงใจและดวงตาพาแม่ไปตลอดชีวิตของหนู หนูอยากบอกแม่ว่า...หนูรักแม่ค่ะ" นี่คือถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากใจของลูกน้อยคนนี้
ขณะที่ แม่สวัสดิ์ กล่าวว่า ตอนเด็กๆ ที่ลูกยังช่วยตัวเองไม่ได้ เวลาจะป้อนข้าวก็ต้องใช้มือสัมผัส ดูว่าปากเขาอยู่ไหน แล้วค่อยเอาช้อนตักข้าวป้อนใส่ปาก เวลาอาบน้ำก็ยากเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยทำลูกหล่นสักครั้งเดียว โดยจะใช้แขนประคองลูกไว้ให้อยู่ในอ้อมแขน แล้วใช้แขนวัดน้ำว่าอยู่ในระดับไหน คือจะยอมตัวเปียก เพื่อไม่ให้ลูกได้รับอันตราย ทุกวันนี้ก็ซื้อบ้าน เพื่อให้ลูกได้มีที่อยู่อาศัยหลับนอน และต้องเสียเงินเป็นค่าดอกอีกวันละ 700 บาท แต่ถ้าวันไหนที่ฝนตกก็เท่ากับว่าไม่มีรายได้เข้าบ้านเลย แต่อย่างไรแม่คนนี้ก็จะสู้เพื่อลูกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น