++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กินแล้วเพิ่มพลังทางเพศ : หนึ่งเหตุแห่งการล่า

ดินดีเพราะหญ้าปก ป่ารกเพราะเสือยัง
เสือมีเพราะป่าบัง หญ้ายังเพราะดินดี”

โดยนัยแห่งกลอนบทนี้ ผู้ประพันธ์ (ซึ่งจำไม่ได้ว่าเป็นใคร และอ่านจากหนังสือเล่มไหน) บอกไว้อย่างชัดเจนว่า เสือกับป่า และหญ้ากับดินเป็นของคู่กัน ในลักษณะต่างฝ่ายต่างอิงอาศัยกัน ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้ดินคงมีความอุดมสมบูรณ์ ก็จะต้องปล่อยให้พืชปกคลุมหน้าดินไว้ และในทางกลับกัน ถ้าเราจะดูว่าที่ดินใดสมบูรณ์ ก็จะต้องสังเกตจากการที่มีหญ้าปกคลุม

ในส่วนของเสือกับป่าก็ทำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการจะอนุรักษ์เสือไว้ก็จะต้องอนุรักษ์ป่าให้มีศักยภาพพอที่เสือจะอยู่อาศัยได้โดยไม่ถูกคนไปรบกวน และในทางกลับกัน ป่าที่มีเสือก็พอจะทำให้คนทั่วๆ ไปที่ไม่มีอาวุธซึ่งมีสมรรถนะสูงพอจะต่อสู้กับเสือได้เข้าไปบุกรุกทำลายป่า เว้นแต่จะได้รับความคุ้มครองจากกลุ่มคนที่มีอาวุธ และมีความชำนาญในการเดินป่าคอยคุ้มกันและปกป้อง

นอกจากกลอนบทที่ยกมาข้างต้นแล้ว ยังมีกลอนอีกบทหนึ่งที่มีเนื้อหาในทำนองเดียวกัน คือ

“ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ
รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ”

ในทำนองเดียวกับบทต้น ผู้ประพันธ์ได้มุ่งเตือนใจผู้อ่านให้คำนึงถึงการอยู่ร่วมกันโดยที่จะต้องพึ่งพาอาศัยกัน จะต้องรักกันไว้ อย่าอยู่ร่วมกันด้วยความเกลียดชัง

จากกลอนสองบทที่ว่ามา ก็เพื่อให้ท่านมองเห็นความจำเป็นที่สิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือพืช จะต้องอยู่ร่วมกันในลักษณะอิงอาศัยกัน และเกื้อกูลกันเพื่อให้โลกเกิดความสมดุล เพื่อรองรับการเกิด และการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข

แต่วันนี้และเวลานี้ คนซึ่งเป็นหนึ่งในสามของสิ่งมีชีวิต เป็นผู้ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตด้วยกันมากที่สุด เมื่อเปรียบกับสิ่งมีชีวิตสองสิ่งที่เหลือ

เริ่มตั้งแต่คนทำลายคนด้วยกัน ไปจนถึงทำลายสัตว์และพืชอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอด และความสุขสบายของตัวเอง แต่สุดท้ายผลจากการทำลายล้างที่คนทำขึ้นส่งผลกระทบถึงคน จะเห็นได้จากการที่คนทำลายป่าและล่าสัตว์เพิ่มขึ้นจนถึงขั้นระบบนิเวศโดยรวมถูกทำลาย เป็นเหตุให้ภัยธรรมชาติ ทั้งแห้งแล้งและอุทกภัยเกิดขึ้น ทั้งพร้อมกันแต่ต่างพื้นที่หรือสลับกันมาในพื้นที่เดียวกันต่างเวลากัน

แต่ที่ยิ่งกว่านี้ ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่โลภ หลง และเห็นแก่ตัว ทำลายชีวิตสัตว์เพื่อเอาเนื้อมากิน เอาหนัง เขา และงามาประดับบ้านเพื่อแสดงถึงสถานภาพทางสังคมว่าเป็นคนมีบารมี และที่น่าจะถูกประณามที่สุดเห็นจะได้แก่กลุ่มคนที่ล่าสัตว์ป่า แล้วนำมาขายเพื่อสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง โดยมีกลุ่มคนที่มีความเชื่อว่าการกินเนื้อและอวัยวะบางส่วนของสัตว์บางชนิด เช่น อุ้งตีนหมี หรือแม้กระทั่งอวัยวะเพศของเสือและช้าง เป็นต้น เป็นการเพิ่มพลังทางเพศได้ เป็นลูกค้า

จะเห็นได้จากข่าวที่ว่ามีการฆ่าช้างแล้วตัดงวงตัดงา และอวัยวะเพศ รวมไปถึงข่าวที่ตำรวจบุกจับแหล่งชำแหละซากสัตว์ป่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งล้วนแล้วแต่โยงใยกับความเชื่อของคนกลุ่มที่ว่ามานี้ และที่สำคัญคนกลุ่มนี้นอกจากจะมีอิทธิพลในพื้นที่แล้ว ยังมีกำลังซื้อของตลาดรองรับด้วย จึงยากที่จะปราบปรามด้วยการจับกุมเพียงอย่างเดียว

อะไรคือเหตุจูงใจให้มีการล่าสัตว์ป่า และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร

เพื่อให้ท่านผู้อ่านมองเห็นประเด็นแห่งปัญหา และเป็นการปูทางนำไปสู่การแสวงหาแนวทางแก้ไขและป้องกัน ผู้เขียนใคร่ขอย้อนไปสู่การล่าสัตว์ในอดีตเปรียบเทียบกับการล่าสัตว์ในปัจจุบัน ก็พอจะอนุมานความเหมือน และความต่างในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. การล่าสัตว์ป่ามีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว จะเห็นได้จากวรรณกรรมเก่าๆ ปรากฏว่าการออกล่าสัตว์ป่าเป็นกีฬาประลองการใช้อาวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนู หรือศรในภาษาไทย เกาทัณฑ์ในภาษาจีน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นปกครองนับตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมาถึงเสนาบดี หรือแม้กระทั่งเศรษฐีผู้มีอันจะกิน

แต่การล่าในลักษณะนี้มิได้มุ่งทำลายสัตว์ป่าอย่างจริงจัง เพียงแค่เป็นการใช้สัตว์เป็นเป้าทดลอง ความเก่งกาจในการใช้อาวุธและอยู่ในวงจำกัดในการออกล่าแต่ละครั้ง จึงไม่ก่อให้เกิดความหายนะแก่วงจรชีวิตของสัตว์ป่าจนถึงกับทำให้สูญพันธุ์แต่อย่างใด

2. แต่การล่าสัตว์ในปัจจุบันมิได้กระทำกันในลักษณะเป็นเกมกีฬา แต่กระทำกันในรูปธุรกิจค้าเนื้อสัตว์และอวัยวะให้แก่ผู้บริโภคที่แสวงหา ด้วยความเชื่อว่าถ้าได้บริโภคเนื้อสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวัยวะของสัตว์บางชนิด เช่น อุ้งตีนหมี อวัยวะเพศของเสือ และช้างจะทำให้มีพลัง ทั้งคนกลุ่มนี้ก็มีกำลังซื้อสูง จึงทำให้นักล่ากล้าเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกระทำสิ่งที่กฎหมายห้ามเพื่อหวังรวย ประกอบกับในยุคปัจจุบันนักล่ามีความพร้อม ทั้งในด้านอาวุธและยานพาหนะ อีกทั้งป่าใน ก็ไม่รกพอที่จะช่วยให้เสือหรือช้างอยู่ได้อย่างปลอดภัยจากการคุกคามของสัตว์กินเนื้อที่ฉลาดกว่าสัตว์กินเนื้อด้วยกันทุกชนิด นั่นก็คือ คน และนี่เองคือจุดจบทั้งของสัตว์ป่าและป่าไม้ซึ่งเป็นที่อิงอาศัยกันตลอดมา

ส่วนประเด็นว่าจะแก้ไขและป้องกันอย่างไรนั้น สามารถกระทำได้ 2 ระดับ คือ

1. บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยมุ่งไปที่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยนักล่า และจบลงที่พ่อค้าสัตว์ป่า โดยใช้มาตรการเด็ดขาด และทำให้หนักกว่าที่เป็นอยู่

2. ใช้การปลูกฝังอบรมให้คนรักสัตว์ และอยู่ร่วมกันเหมือนเสือกับป่า หญ้ากับดิน

การปลูกฝังในทำนองนี้จะต้องเริ่มตั้งแต่ในระดับครอบครัว โรงเรียน และวัด โดยกำหนดให้สวนสัตว์แต่ละแห่งจัดกิจกรรมคนรักสัตว์ วัดสอนคน และสังคมโดยรวม เปิดรับคนที่รักสัตว์ โดยการยกย่องและร่วมมือในการช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่อุปการะเลี้ยงดูสัตว์ ดังที่คนไทยได้ช่วยกันบริจาคเงินเพื่อช่วยหมาที่ถูกจับไปขายเมื่อไม่นานมานี้ และเมื่อคนรักสัตว์เลี้ยง ต่อไปคนก็จะเริ่มรักสัตว์ป่า เพราะสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันก็คือสัตว์ป่าในอดีตนั่นเอง จะเห็นได้จากการที่ปางช้างนำช้างป่ามาเลี้ยงจนกลายเป็นสัตว์เลี้ยง และอยู่ร่วมกับคนได้อย่างกลมกลืน และเกื้อกูลกันและกันได้เป็นอย่างดี

เพียง 2 ประการนี้ก็จะช่วยให้สัตว์ป่าถูกล่าน้อยลง และนานวันเข้าเชื่อว่าสัตว์ป่าหลายชนิดจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยง และอยู่ร่วมกับคนได้ในลักษณะต่างฝ่ายต่างอิงอาศัยกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น