ก็คือ เตือนใจว่าชีวิตของเรานั้นไม่เที่ยง
สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากโลกนี้ไป
วันนั้นจะมาถึงเมื่อไร เรามิอาจรู้ได้
อาจเป็นปีหน้า เดือนหน้า สัปดาห์หน้า หรือวันพรุ่งนี้ก็ได้
ใครจะไปรู้คืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายของเรา
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงควรถามใจตนเองว่า
เราพร้อมที่จะไปจากโลกนี้หรือยังหากวันนั้นมาถึง
หากยังไม่พร้อม
เพราะยังห่วงผู้คนและติดยึดสิ่งต่าง ๆ มากมาย
เราควรใช้ช่วงเวลาก่อนนอนนี้
ฝึกใจปล่อยวางผู้คนและสิ่งต่าง ๆ
เสมือนว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเรา
ใหม่ ๆ อาจทำได้ยาก
แต่เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะปล่อยวางได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันหากมีสิ่งใดที่ยังปล่อยวางได้ยาก
เพราะยังจัดการไม่แล้วเสร็จ
หรือยังมีภารกิจสำคัญบางอย่างที่ยังค้างคาอยู่
ก็ควรตั้งใจว่าหากพรุ่งนี้ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป
จะเร่งรีบทำสิ่งนั้นให้แล้วเสร็จ
แต่อย่าเผลอหมกมุ่นกับเรื่องนั้นจนนอนไม่หลับ
ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้
สุดท้ายก็ควรแผ่บุญกุศลและความปรารถนาดี
ไปให้แก่ผู้มีบุญคุณกับเรา
ไม่จำเพาะพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือผู้ใหญ่เท่านั้น
แต่ควรรวมไปถึงมิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน
ไปจนถึงผู้ที่มีสถานะต่ำกว่าเรา
ทั้งโดยวัย ความรู้ หรือการงาน
รวมทั้งแผ่ไปยังสรรพชีวิต
ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลให้เรามีชีวิตได้อย่างผาสุกสวัสดี
นอกจากนั้นควรแผ่เมตตาไปยังคู่กรณี
หรือผู้ที่ทำความขุ่นข้องหมองใจแก่เรา
ไม่ว่าเป็นคนใกล้หรือไกล
ขอให้เขาเหล่านั้นมีความสุข
ปลอดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
เมตตาที่ปลุกขึ้นมาในใจ
จะช่วยดับความเร่าร้อนในจิตใจ
ระงับความโกรธเกลียดที่ติดค้างมาตลอดวัน
ช่วยให้เราสงบเย็นและสามารถหลับได้อย่างมีความสุข
พร้อมจะตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่
ด้วยกายที่สดชื่นและใจที่แจ่มใส
แหล่งที่มา : พระไพศาล วิสาโล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น