++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก : คบคนทั้งโลกเป็นมิตร

มีคนจำนวนมากที่รักกัน รู้สึกดีต่อกัน แต่พอมีปัญหานิดเดียวเท่านั้น ทำให้เราต้องเลิกร้างห่างเหินกันไป แล้วมีความทรงจำที่ไม่งดงาม นั่นก็เพราะทิฐิมานะที่ปิดกั้นไว้ เพราะฉะนั้น พยายามอย่าใช้ชีวิตด้วยทิฐิมานะ คบกับคนทั้งโลกให้เป็นมิตร เหมือนสุภาษิตจีนที่ว่า “มีเพื่อน 500 คน ยังน้อยเกินไป มีศัตรู 1 คน ก็นับว่ามากเกินพอ” ฉะนั้น คนที่เรากำลังปฏิสัมพันธ์ด้วย เราจะทำอย่างไรให้เขาประทับใจ และต้องทำด้วยความจริงใจไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำ ถ้าเสแสร้งแม้จะประทับใจก็จริง แต่ก็ทำให้อยู่ในใจเขาให้ได้

ครั้งหนึ่ง ในหลวงเสด็จฯ ต่างจังหวัด พลบค่ำวันนั้นพระองค์ทรงถามข้าราชบริพารว่า “ใครถูกบึ้งกัดบ้าง” เพราะวันนั้นพระองค์ท่านถูกตัวบึ้งกัด ข้าราชบริพารนับ 10 คน ถูกบึ้งกัดเหมือนกันหมด ข้าราชบริพารคนหนึ่งบอกว่า “ข้าพระพุทธเจ้า” พระองค์ทรงเดินไปที่รถ หยิบตลับยาหม่องลงมา ควักยาหม่องออกมาทาให้ข้าราชบริพารคนนั้นที่ฝ่ามือพร้อมกับทรงนวดให้เสร็จสรรพ

ข้าราชบริพารคนนั้นรู้สึกปลื้มปีติมาก ฝ่ามือเดียวในโลกนี้ที่ในหลวงทั้งทายาและนวดให้ แทบจะงดอาบน้ำไปหลายวัน เพราะอยากจะรักษาความรู้สึกที่เป็นมือประวัติศาสตร์นั้นเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนไทยรักในหลวง คนไทยทั้งประเทศรักพระองค์ยิ่งชีพ โครงการทุกโครงการได้รับความร่วมมือทั้งหมด ในหลวงปกเกล้าโดยไม่ปกครอง ด้วยการให้ความสำคัญกับคนทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร ถ้าไปอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์พระองค์แล้ว ทรงให้ความสำคัญเหมือนกันหมด

อีกครั้งหนึ่ง ในหลวงเสด็จฯ ต่างจังหวัด มีเด็กคนหนึ่งขอให้พระองค์ทรงเป่าศีรษะ พระองค์เป่าให้ครั้งหนึ่ง ขณะจะเสด็จพระราชดำเนินต่อ เด็กคนนั้นทูลขออีก พระองค์ก็ทรงเป่าให้อีก วันเวลาผ่านไป ในหลวงอาจจะทรงลืมไปแล้ว แต่เด็กคนนี้จำได้ตลอดเวลา ว่าครั้งหนึ่งในหลวงเป่ากระหม่อมให้ตน เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ผมตายเพื่อในหลวงได้ ตั้งแต่วันที่ในหลวงเป่าหัวให้แล้ว ก็ในหลวงรักผมแล้วจะไม่ให้ผมรักในหลวงได้อย่างไร”

นี้คือการให้ความสำคัญกับคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย ดังนั้น เราได้มาพบกันชั่วครั้งชั่วคราว หากเป็นไปได้อย่าสร้างศัตรูกับใครทั้งสิ้น ถ้ามีศัตรูอยู่แล้วต้องทำศัตรูให้เป็นมิตร เหมือนกับที่ในหลวงให้ความสำคัญกับคนทุกคน เราอยู่ด้วยกันไม่ว่าเขาจะสูงหรือต่ำต้อยขนาดไหน ในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์ แค่นั้นก็มากมายพอแล้วที่เราจะให้เกียรติกับเขา

ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ตาม ขอให้เป็นปฏิสัมพันธ์เชิงบวก อย่าให้เป็นปฏิสัมพันธ์ในเชิงลบ ปฏิสัมพันธ์เชิงบวกก็เหมือนแม่ไก่อยู่กับลูกไก่ แม่ไก่คุ้ยหาอาหารได้แล้วเรียกลูกไก่มากินก่อน เวลามีภัยก็กางปีกปกป้องลูก

ปฏิสัมพันธ์แบบเม่น : เวลาพบกันสั้นนิดเดียว

ความสัมพันธ์เชิงลบก็เหมือนกับ “เม่น” ตัวเม่นเวลาใครไปเข้าใกล้มันจะสยายขนพองไปทั้งตัว ใครเข้าใกล้ไม่ได้ เผลอเมื่อไหร่เป็นต้องเจ็บตัวทุกครั้ง ก็เหมือนกับคนบางคน เมื่อมีผู้อื่นเข้ามาใกล้ ชอบทำให้เขาเจ็บปวดกลับไปทุกครั้ง

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าให้ใช้ “ปิยวาจา” ปิยะ แปลว่า น่ารัก วาจา แปลว่า คำพูด คือมีคำพูดที่น่ารัก บางครั้งทรงใช้คำที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น คำว่า เปยยวัชชะ แปลว่า วาจาที่ดูดดื่มซาบซึ้งใจ เราทุกคนปฏิสัมพันธ์กับใครก็ให้เป็นอย่างนั้น คือ สีหน้าท่าทางก็ดี การให้ความสนใจก็ดี การพูดจาก็ดี ควรจะให้เป็นเชิงบวกทั้งหมด เพราะครั้งเดียวที่เขาไม่ประทับใจเรา เขาอาจจะเดินหายไปจากชีวิตเลยก็ได้ คนบางคนเจอกันครั้งเดียวแล้วไม่ได้เจอกันอีกเลย เพราะไม่ประทับใจ

เช่น ผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เขาโชคดีมาก เขาเป็นคนแรกๆ ที่ได้พบพระพุทธเจ้า แต่แล้วความโชคดีนั้นทำให้ในชีวิตเขาไม่ได้พบพระพุทธเจ้าอีกเลยตลอด 45 ปี เพราะแรกเจอเขาก็รู้สึกอคติกับพระพุทธเจ้า แต่พอชีวิตเขาเจอแต่ความระทมทุกข์ ผู้ชายคนนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ครั้งแรกเขาเดินผ่านพระพุทธเจ้า เห็นผิวพรรณวรรณะพระองค์ผ่องใสมาก จึงถามว่า “สมณะ ทำไมผิวพรรณท่านผ่องใสเหลือเกิน ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นครูของท่าน”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เราเป็นสัมมาสัมพุทธะ ไม่มีใครเป็นครูของเรา”

ผู้ชายคนนี้ก็กล่าวว่า “ท่านสมณะ ท่านพูดโอ้อวดเกินไปหรือเปล่า ที่ว่าไม่มีครูเลย” แล้วก็เดินจากไป

ผู้ชายคนนั้น ทั้งที่ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นคนแรก แต่กลับไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย อคติเท่านั้นยังไม่พอกลับไปสัพยอกพระองค์ท่านอีก ผู้ชายคนนั้นหายไปจากประวัติศาสตร์ 45 ปี ไปแต่งงานมีลูก ถูกภรรยาด่าเช้าด่าเย็นได้เจอสัจธรรม ช่วงหลังโปรโมชันจึงได้รู้ว่าชีวิตคู่มันทุกข์อย่างนี้นี่เอง แต่ยังดีที่เขามีลูกอยู่คนหนึ่ง จึงเรียกลูกชายมา แล้วบอกกับลูกชายว่า “ลูกเอ๋ย พ่อจำได้ว่า ครั้งหนึ่งพ่อเคยพบสมณะรูปหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะ ลูกไปเฝ้าพระองค์หน่อยสิ บางทีธรรมะที่ลูกได้จากพระองค์ อาจจะช่วยถอนลูกศรในใจพ่อออกได้บ้าง”

ลูกชายออกเดินทางไปพบพระพุทธเจ้าในคืนสุดท้ายก่อนปรินิพพาน ลูกชายของพราหมณ์คนนี้ก็คือ สุภัททะปริพาชก สาวกคนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ได้สนทนากับพระพุทธเจ้าไม่ถึง 10 นาที บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็เดินทางกลับมาแสดงธรรมโปรดพ่อตนเอง

นี่แหละบางครั้งเราเจอคนคนหนึ่ง แล้วก็ไหลหายไปในอนันตจักรวาล บางครั้งเราไปเจอคนคนหนึ่ง ต่อมาก็ได้เวียนกลับมาพบกันอย่างมีความหมายอีกครั้ง เหมือนผู้ชายคนหนึ่งได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งตอนไปเวียนเทียนวันวิสาขบูชา ฝ่ายผู้ชายบังเอิญถือธูปไปทิ่มหลังผู้หญิง เมื่อขอโทษขอโพยกันเรียบร้อยแล้ว ท้ายสุดก็แลกเบอร์โทรศัพท์กัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มนุษย์มีสิทธิที่จะประทับใจกันได้ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ และเช่นเดียวกัน มนุษย์มีสิทธิที่จะชิงชังรังเกียจกันตั้งแต่แรกพบ บางคนเจอกันก็รู้สึกไม่ชอบทันที “ไม่ถูกชะตาเลย ตัดผมทรงนี้มาได้อย่างไร” เช่นนั้นก็ยังมีให้เห็นอยู่

เมื่อเรามีเวลาสั้นนิดเดียว ต้องดีต่อกันเข้าไว้ ทำไมบอกว่านิดเดียว เพราะกาลและอวกาศ มันยืดยาวจน “ไอน์สไตน์” นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะยังระบุไม่ได้เลยว่าอวกาศนั้นกว้างขวางขนาดไหน วันเวลานั้นยาวนานขนาดไหน เวลาที่เรามาเจอกันนั้นสั้นนิดเดียว ทำไมเราไม่ทำให้มันเป็นโมงยามที่งดงามด้วยกัน

ดังนั้น เวลาที่เราคบกันอย่าไปมีความสัมพันธ์แบบเม่น ที่สลัดแต่ด้านไม่ดีเข้าใส่คนที่อยู่ตรงหน้า จงมีความสัมพันธ์แบบเชิงบวก เจอกันให้รู้สึกอบอุ่นใจ ให้มีด้านที่งดงามหันเข้าหากันและกัน ทำอย่างนี้ได้ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข ประเทศชาติก็จักสงบร่มเย็นไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน เพียงเพราะสาเหตุที่มาจากบุคคลคนเดียวเฉกเช่นกาลปัจจุบันนี้


จาก:โพสต์ ทูเดย์ (Post Today)
รายงานโดย :::ว. วชิรเมธี::: วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น