++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชัยชนะของพระพุทธเจ้าต่อจอมโจรองคุลีมาล

๔. องคุลีมาล

อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

โจร ชื่อ องคุลีมาล มีฝีมือเก่งกล้า
ถือดาบเงื้อวิ่งไล่พระองค์ไปตลอดทาง ๓ โยชน์
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยการกระทำปาฏิหาริย์
ด้วยเดชะอันนี้ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

larndham.net/index.php?showtopic=29488&st=121
พุทธชัยมงคลคาถาบทที่ ๔ กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้า
ที่มีต่อองคุลีมาล ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจอมโจร ฆ่าคนมาแล้วถึง ๙๙๙ คน
แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงเอาชนะได้โดยไม่ต้องใช้อาญาและศาสตราวุธใดๆ
คาถาบทนี้นิยมใช้สำหรับการเอาชนะโจรภัยที่มาของชัยชนะครั้งนี้ มีดังนี้
องคุลีมาล เดิมชื่อ อหิงสกกุมาร เป็นบุตรนางมันตานีกับคัคคะพราหมณ์ ราชปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล วันที่นางมันตานีคลอดอหิงสกะนั้น บรรดาสรรพาวุธทั้งหลายในพระนครก็ปรากฎแสงดุจเปลวไฟ พราหมณ์ปุโรหิตผู้เป็นบิดาจึงรีบออกจากเรือนไปดูดาว เห็นว่าบุตรของตนเกิดในฤกษ์ของดาวโจร ต่อไปจะเป็นภัยต่อราชสมบัติ จึงเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลให้ประหารกุมารนี้เสีย
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตรัสทัดทานว่า “โจรเพียงคนเดียวเปรียบเหมือนข้าวสาลีรวงเดียวที่มีอยู่ในนากว้างจักทำอะไรได้ ท่านจงเลี้ยงทารกนั้นไว้เถิด อย่าได้ฆ่าทารกน้อยคนนี้เลย” ท่านปุโรหิตจึงแก้โดยการตั้งชื่อทารกว่า อหิงสกกุมาร แปลว่า กุมารผู้ไม่เบียดเบียนใคร
เมื่ออหิงสกกุมารเจริญวัยขึ้น ก็ได้ไปศึกษาศิลปวิทยากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกศิลาอหิงสกกุมารนั้นประพฤติตนดี เฉลียวฉลาด และเชื่อฟังคำของอาจารย์ จึงเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์ ศิษย์อื่นๆ พากันริษยาอหิงสกกุมาร จึงวางแผนจะทำให้อหิงสกกุมารแตกกับอาจารย์ ศิษย์อิจฉากลุ่มหนึ่งไปฟ้องอาจารย์ว่าอหิงสกกุมารคิดร้าย แต่อาจารย์ไม่เชื่อ ต่อมาศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งก็เข้าไปฟ้องอาจารย์อีก อาจารย์ก็เริ่มเอนเอียงตามแต่ยังไม่แน่ใจนัก ครั้นศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งไปฟ้องอาจารย์ทำนองเดียวกัน อาจารย์จึงหลงเชื่อสนิทใจ คิดที่จะฆ่าอหิงสกกุมารเสีย แต่แล้วกลับคิดได้ว่า ถ้าอาจารย์ฆ่าลูกศิษย์ ต่อไปคงไม่มีใครมาศึกษาในสำนักของตน คิดดังนั้นแล้ว จึงออกอุบายบอกอหิงสกกุมารว่า ”เธอเรียนศิลปะใกล้จะสำเร็จแล้ว เธอจงไปฆ่าคนอื่นมาให้ได้ ๑ พันก่อน
อาจารย์จะสอนวิษณุมนต์อันเป็นสุดยอดวิชาให้” อหิงสกกุมารลำบากใจที่จะต้องเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่อาจารย์ก็เกลี้ยกล่อมว่าอยากรู้วิชาดีก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่ถือเป็นการบูชาครู อหิงสกกุมารจึงตัดสินใจกราบลาอาจารย์

chamsaad.diaryclub.com/20071225/0/0/%F2%F5%F6...
เดินทางเข้าป่าพร้อมด้วยอาวุธครบมือเพื่อดักฆ่าคนที่จะเข้ามาในป่า แล้วตัดนิ้วมือคนที่ถูกฆ่าไว้คนละ ๑ นิ้ว ร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอ ชาวบ้านจึงขนานนามให้ว่า จอมโจรองคุลีมาล แปลว่า โจรผู้มีนิ้วมือเป็นพวงมาลัย ชาวบ้านหวาดกลัวโจรองคุลีมาลมาก ไม่กล้าเข้าป่ากันอีก จอมโจรองคุลีมาลจึงออกจากป่าเข้าไปฆ่าผู้คนในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพากันหนีเข้ากรุงสาวัตถี กราบทูลร้องทุกข์ต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ทรงทราบ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงจัดกำลังทหารออกปราบปราม ฝ่ายคัคคะพราหมณ์ได้ยินว่าพระราชาจะออกปราบจอมโจร จึงกลับมาบอกนางพราหมณีภรรยาว่าจอมโจรนั้น แท้จริงคืออหิงสกกุมารบุตรของตน นางพราหมณีขอร้องให้คัคคะพราหมณ์ไปช่วยอหิงสกกุมาร แต่คัคคะพราหมณ์ไม่กล้าไปช่วย เพราะคิดว่าไม่ควรวางใจคน ๔ จำพวก คือ โจร เพื่อนเก่า พระราชา และผู้หญิง ด้วยความรักของมารดาที่มีต่อบุตร เมื่อหมดหนทางที่จะช่วยเหลือได้ นางพราหมณีจึงตัดสินใจไปบอกข่าวอหิงสกกุมารด้วยตนเอง
เช้าตรู่วันเดียวกันนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงตรวจดูสรรพสัตว์ทั่วจักรวาล ได้เห็นองคุลีมาลปรากฎในพระญาณ ทรงทราบว่า หากพระองค์ไปโปรด องคุลีมาลจะออกบวช แต่หากพระองค์ไม่โปรด องคุลีมาลจะฆ่ามารดา แล้วไปสู่อเวจีมหานรก เช้าวันนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเสด็จไปตามเส้นทางในถิ่นขององคุลีมาล เมื่อผ่านคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงโคก็กราบทูลห้ามไม่ให้พระองค์ทรงเสด็จต่อไป เพราะแม้บุรุษมากถึง ๔๐ คน ก็ยังถูกองคุลีมาลฆ่าตายหมด
พระพุทธเจ้าทรงสดับแล้วก็ทรงนิ่งเสีย แล้วเสด็จดำเนินต่อไปจนถึงป่าชาลิวัน
ฝ่ายองคุลีมาล วันนี้กำลังจะได้ฆ่ามนุษย์ครบพันคน บังเอิญคนที่ผ่านมาให้องคุลีมาลฆ่าเป็นคนที่พันนี้กลับเป็นมารดาของตนเอง องคุลีมาลเงื้อดาบวิ่งเข้าใส่มารดา หมายจะฆ่าและตัดเอานิ้ว นางพราหมณีเห็นลูกชายถือดาบวิ่งเข้ามาก็ตกใจ รีบวิ่งหนีทันที พระพุทธเจ้าจึงทรงดำเนินไปขวางทางไว้ องคุลิมาลเห็นพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนใจ คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้าแทนมารดาของตน เมื่อคิดดังนี้แล้วจึงถือดาบและโล่ผูกสอดแล่งธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไป พระพุทธเจ้าทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ทำให้องคุลิมาลไม่อาจทันพระองค์ผู้เสด็จไปตามปกติได้ องคุลีมาลห้อตะบึงไปเต็มกำลัง ขณะไล่ตามจะถึงอยู่แล้ว ก็เห็นเหมือนพระองค์ดำเนินห่างออกไปไกล แต่ก็ไม่ลดละความพยายาม ทุ่มเทกำลังวิ่งไล่ตาม พระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้เกิดแม่นํ้าบ้าง หล่มบ้าง เลนบ้าง ขวางหน้าองคุลิมาลตลอดระยะ ๓ โยชน์ จนเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที คิดว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ เรานี้มีกำลังดุจพระยาช้างสารถึง ๗ เชือก แต่วันนี้วิ่งจนสุดกำลังแล้วยังไม่อาจทันสมณะผู้เดินไปตามปกตินี้ได้ คิดดังนี้แล้ว องคุลีมาลจึงหยุดยืน และกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่าามสุดความสามารถ


tick-skywalker.blogspot.com/2007/02/blog-post...

“สมณะ จงหยุดก่อน สมณะ ท่านจงหยุดก่อน”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า
“เราหยุดแล้ว องคุลีมาล แต่ท่านสิยังไม่หยุด”
องคุลีมาลคิดในใจว่า ได้ยินว่าสมณะศากยบุตรผู้นี้เป็นคนพูดจริง แต่นี่ท่านเดินไปอยู่แท้ๆ กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว ส่วนเราผู้หยุดอยู่ ท่านกลับพูดว่า ท่านสิยังไม่หยุด จึงตะโกนถามไปด้วยความสงสัยว่า “ดูก่อนสมณะ ท่านกำลังเดินไปกลับกล่าวว่าเราหยุดแล้ว ส่วนเราผู้หยุดอยู่ท่านกลับกล่าวว่าเรายังไม่หยุด ที่ท่านกล่าวมานั้นหมายถึงสิ่งใด” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า “ดูกร องคุลีมาล เราเว้นจากการฆ่าสรรพสัตว์ได้แล้วจึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนเธอยังมีกิจในการฆ่า จึงชื่อว่ายังไม่หยุด แม้ว่าบัดนี้เธอจะหยุดยืนอยู่ แต่เธอก็ต้องวิ่งต่อไปในนรก เปรต อสุรกาย และดิรัจฉานในภายหน้า“ องคุลีมาลได้ฟังดังนั้นก็ฉุกคิดได้ จึงทิ้งดาบและอาวุธลงในเหวลึก กราบทูลขอบรรพชา พระพุทธเจ้าจึงทรงบรรพชาองคุลีมาลด้วยเอหิภิกขุ

www.larnbuddhism.com/ongkulymal/ongkuly05.html
จากนั้นพระองคุลีมาลก็ตามเสด็จกลับพระเชตวัน ทางด้านพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้นำขบวนทหาร ๕๐๐ ออกมาปราบโจรองคุลีมาล เมื่อเสด็จผ่านพระเชตวันมหาวิหาร จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระอาราม กราบทูลราชกิจให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า “ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าบัดนี้องคุลีมาลปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ บวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว และประพฤติพรหมจรรย์ มหาบพิตรจะทำอย่างไรกับเขา” พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะไหว้และบำรุงเขาอย่างสมณะ แต่องคุลีมาลนั้นเป็นคนทุศีล จะมีความสำรวมด้วยศีลได้ที่ไหน” พระพุทธเจ้าจึงทรงยกพระหัตถ์ชี้ให้ดูพระองคุลีมาลซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก ตรัสบอกว่า “มหาราช นั่นไง องคุลีมาล“ พระเจ้าปเสนทิโกศลและทหารผู้ติดตามพากันตกใจ สะดุ้งหวาดกลัวไปตามๆ กัน พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า “อย่ากลัวเลย องคุลีมาลนี้เป็นผู้ไม่มีภัยต่อใครๆ อีกต่อไปแล้ว” พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าไปถามพระภิกษุรูปนั้นจนแน่ใจว่าเป็นโจรองคุลีมาลที่กลับใจแล้วจริงๆ พระองค์จึงทรงปลดผ้าคาดเอวออกถวาย พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นักที่พระองค์ไม่ได้ทรงใช้พระอาญา ไม่ทรงใช้ศาสตราวุธ แต่พระองค์ก็ทรงทรมานบุคคลที่ใครๆ ทรมานไม่ได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ ให้สงบไม่ได้ให้สงบได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ ให้ดับไม่ได้ให้ดับได้”
พระองคุลีมาลนั้น นับจากได้เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาแล้ว ก็ได้รับความทุกข์ลำบาก เมื่อออกบิณฑบาตผู้คนที่ยังกลัวก็แตกตื่นหนีกันชุลมุนวุ่นวาย ส่วนชนผู้โกรธแค้นก็ขว้างก้อนดิน ท่อนไม้ ก้อนกรวด ใส่ท่านด้วยความโกรธ บ้างก็ฉีกผ้าสังฆาฏิ บ้างก็ทุบบาตร แต่ท่านก็อดทนเรื่อยมา
วันหนึ่ง พระองคุลีมาลก็หลีกออกจากหมู่ไปบำเพ็ญความเพียรอย่างสม่ำเสมอ ในที่สุดท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
“เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด” นี้ องคุลีมาลเคยได้ฟังมาแล้วครั้งหนึงในอดีตชาติ โปริสาทมนุษย์กินคน
ที่มาhttp://www.agalico.com/board/archive/index.php/t-6773.html
บทพาหุงมหากา.wma

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น