++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อัตตา ญาติโก ลูกหนี้ และบ้านเมือง โดย ว.ร. ฤทธาคนี

ก่อนที่จะเขียนเรื่องร้ายๆ ก็ควรพูดถึงเรื่องดีเป็นมงคล ซึ่งทุกคนจะเพิ่งได้รับกันมาจากวันวิสาขบูชา วันที่ 17 พฤษภาคม คือ ข่าวดีที่สุดจากคุณยงยุทธ ศรจิตติหรือพี่นิด บุตรชายวีรบุรุษสงครามอินโดจีน รุ่นพี่นักเรียนประจำกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สถานศึกษาก่อนอุดมศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคนี้ และสอนให้เยาวชนไทยเป็นพลเมืองดีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว และคำสอนที่ควรถ่ายทอดต่อๆ กันไป คือ “อย่าเห็นแก่ตัว” “จงรักชาติบ้านเมืองยิ่งชีวิต” สีประจำโรงเรียนคือสีม่วงกับสีทอง ซึ่งอาจารย์อารีย์ เสมประสาท อธิบายว่า สีม่วง คือการผสมของแม่สี 2 สี คือ น้ำเงินกับสีแดง สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์สากลของโลก หมายถึงพระมหากษัตริย์และสีแดงหมายถึงชาติ ส่วนสีทองนั้นเป็นสีแห่งคุณงามความดี ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวตามคุณสมบัติทอง

กรุงเทพคริสเตียนฯ โดยเฉพาะเด็กประจำตั้งแต่ประถม 1 ถึงมัธยมปีที่ 8 ในสมัยยุค 60 บวก ลบ หรือยุค 2,500 บวก ลบ ได้เรียนรู้ระบบการเลือกตั้งประธาน และรองประธานนักเรียน ตามหลักประชาธิปไตย และเปิดเผย พี่นิดได้รับเป็นประธานหลายสมัย ส่วนน้องฝาแฝด พี่หน่อย - ชัยยง อดีตอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ เป็นรองประธาน เพราะเสน่หาบารมีที่เด็กๆ ก็ศรัทธา

นอกจากนี้ กรุงเทพคริสเตียนฯ สอนถึงความเสมอภาคตามนัยสังคม ไม่มีการแบ่งชั้นตามฐานะทางสังคมของพ่อแม่ ไม่จำเป็นต้องเรียกพี่ แต่เป็นความสมัครใจ เด็กๆ สามารถเรียกรุ่นพี่ธรรมดาๆ ก็ได้ หรืออาจจะมีคำนำหน้าก็ได้หากพี่ไม่ดีพอ

วันนี้พี่นิดเล่าว่าได้ข่าวจากเพื่อนที่อิ่มเอิบและเบิกบานใจอย่างที่สุด จึงต้องเล่าต่อกันไปให้ฟังว่า ขณะนี้ในหลวงทรงพระสำราญดี พระองค์เสวยไวน์ 1 แก้ว และทรงฟังวงดนตรีด้วยความเบิกบานพระราชหฤทัย

ทำไมผมเชื่อข่าวนี้ ก็เพราะว่าผมสวดมนต์ภาวนาทุกวัน เพื่อให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ และอีกประการหนึ่ง พี่นิดเป็นผู้มีสัจจะ จงรักภักดี เป็นข้าราชการ รพช.ที่ไม่เคยทุจริตแม้แต่ตังค์แดงเดียว จึงเป็นเรื่องดีๆ สำหรับพวกเราทุกคน

เรื่องร้ายก็คือ เรื่องของบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทย ที่ผมจะต้องบอกว่าเกิดอาเพศขึ้นในแผ่นดินนี้ เมื่อเห็นชื่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายเหวง โตจิราการ อยู่ในลำดับ 1 - 20 ของบัญชีรายชื่อ

สองคนแรกเป็นนักการเมืองอาชีพปลุกระดม การชุมนุมเรียกร้องสิทธิ หรือประท้วงต่อต้าน ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนไทยตามระบอบประชาธิปไตย ไม่มีใครโต้แย้งขัดขวาง แต่การบงการด้วย วาทะพิสดารให้คนเผาบ้านเผาเมือง ยึดพื้นที่สาธารณะ และปิดกั้นเขตเสมือนเป็นอาณาจักรเฉพาะ สถาปนากฎหมู่ของพวกตนปกครอง เขาต้องรับรู้พฤติกรรมความรุนแรง การใช้อาวุธปืน ระเบิด เครื่องยิงลูกระเบิด สังหารนายทหาร แต่ไม่ได้ห้ามปราม บอกว่าเรื่องทั้งหมดเหนือการควบคุม และนี่หรือคือคำตอบของคนมีความรับผิดชอบต่อสังคม

นอกเสียจากว่าเป็นคนที่ได้รับคำสั่งตรงจากทักษิณ หรือนายใหญ่ตัวจริง เหตุการณ์พฤษภาคมหฤโหด 2553 จึงเป็นบาดแผลของคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ

ความสามานย์ของนายจตุพร นักการเมืองอาชีพปลุกระดมนั้นอยู่ที่ปากของเขา เพราะไม่นานมานี้เองก็สร้างความเลวร้ายด้วยวาทะอัปรีย์เมื่อเขาพูดถึง “กระสุนพระราชทาน”

วลีนี้ไม่ต้องตีความ เพราะมีการใช้ราชาศัพท์จึงหวังกระทบสถาบันอย่างชัดเจน การพาดพิงถึงกองทัพส่งทหารเข้าสลายมวลชนที่สมัครใจหรือจัดตั้งก็แล้วแต่ แต่คำพูดการใช้กระสุนพระราชทานทำร้ายประชาชนนั้นเป็น การสร้างจินตนาการให้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ซึ่งมักจะคล้อยตาม เราพบอยู่เป็นประจำจากกรณีที่มีการสร้างข่าวลือต่างๆ ในกลุ่มชนที่ไม่มีระบบวิเคราะห์ในสมองและมักจะเชื่อทันที

การที่ทักษิณบงการให้จัด นายจตุพร และนาย ณัฐวุฒิ อยู่ลำดับแรกๆ ในบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสนั้น ก็เห็นเป็นเพียงแผนอุบาทว์ที่ทักษิณหวังใช้การเมืองเป็นเกราะกำบังคน 2 คนนี้ เพราะเห็นจากห้วงเลวร้ายที่ผ่านมา นายจตุพรใช้ตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อรอดคุกมาตลอด

ทหารเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เพราะหากไม่ทำตามหน้าที่ก็ถูกด่า หากทำตามหน้าที่ก็ถูกด่า เพราะทหารเป็นคนที่ได้รับการฝึกมาให้ใช้อาวุธ ไม่ได้ใช้ปาก เมื่อรับคำสั่ง ทหารก็ต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย แต่ทหารต้องมีอาวุธ ใช้ปากรบไม่ได้

แต่ทหารมีสิทธิในการแสดงความในใจได้เหมือนกับคนทั้งหลาย ในกรณีหมิ่นสถาบันทหารรับไม่ได้เพราะได้สาบานไว้แล้วที่จะปกป้องสถาบัน ต่างกับคนหลายคนที่ไม่รักษาคำสาบานทุจริต คดโกงชาติบ้านเมืองอย่างไร้ยางอาย

พฤษภาคมหฤโหด ทหารจึงเป็นเบี้ยล่างมาตลอด เป็นจำเลยสังคม และทหารอีกนั่นแหละที่คนเสื้อแดง สร้างภาพให้เห็นว่าเป็นคนฆ่าประชาชน เพราะพวกอนาธิปไตย พวกรักความรุนแรงบิดเบื้อนความจริง ไม่เคยยอมรับว่าบรรดาพวกอันธพาลที่ออกมายิงระเบิด ยิงบ้องไฟ เผาอาคารบ้านเรือน ทำร้ายและฆ่าทหาร ตลอดเมษายนและพฤษภาคม 2553 แต่อย่างน้อยคนทั้งโลกได้เห็นไอ้โม่งถือปืนอาร์กาอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายเป็นพวกเขาเอง

ผู้บังคับหน่วยทหารทุกระดับไม่มีวันสามารถที่จะปิดปากทหารได้ทุกคน หากว่ามีการสั่งการให้ฆ่าประชาชนจริง นอกเหนือจากคำสั่งให้ใช้อาวุธป้องกันตัวเอง เพราะถึงเวลาก็จะมีทหารคนหนึ่งกล้าออกมาเปิดเผยให้สาธารณะชนได้รับรู้ว่ามีการสั่งฆ่าประชาชนจริง นี่เป็นสัจธรรมเกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะยุคนาซีเยอรมนี มีนายทหารหลายคนออกมาให้การเป็นพยานเล่าถึงพฤติกรรมความโหดของผู้รับผิดชอบสั่งฆ่าประชาชน

อีกคนหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง คือ นายเหวง โตจิราการ อดีตพวกหัวรุนแรงซ้ายในซ้ายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ต่อต้านกรรมการพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนิยมจีน ซึ่ง นายเหวง เห็นว่าอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะล้มระบอบการปกครองในประเทศไทยได้ และได้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในหนังสือชื่อ “ป่าแตก”

ประเด็นสำคัญในเรื่องความแตกแยกของพรรคคอมมิวนิสต์ ได้แก่มีกลุ่มหัวรุนแรงที่หวังจะใช้กองกำลังต่างชาติ เข้ามาปลดแอกระบอบการปกครองของชาติไทย มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของลุงคำตัน หรือพันโทพโยม จุลานนท์ อดีตเสนาธิการกองกำลังปลดแอกประชาชนชาวไทย ที่นำทหารป่าปกป้องแผ่นดินเกิดของท่านจากการรุกรานของต่างชาติ

เรื่องนี้ได้ยินจากปากสหายเติม หรือมะลิ สาคร แห่งสมรภูมิช่องช้าง สุราษฎร์ธานี ที่เล่าให้ฟังว่า “การที่สหายและพรรคพวกคอมมิวนิสต์ออกจากป่า ก็เพราะไม่รู้ว่าหากปฏิวัติสำเร็จแล้ว ใครจะเข้ามาปกครองประเทศไทย”

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเลือกโดยทักษิณพี่ชาย ให้เป็นผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่ออันดับ 1 หวังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แม้นว่าวุฒิการศึกษาของเธอจะดูดี และเป็นทายาทนักการเมืองชื่อ นายเลิศ เดิมแซ่คู เชื้อสายจีนแคะ ทำธุรกิจหลากหลาย และได้ถ่ายทอดให้ทายาทจนเป็นนักธุรกิจและนักการเมืองแต่ไม่เคยบริหารประเทศ

จึงเกิดคำถามสำคัญว่าคนไทยเป็นหนูลองยาของเธอ หรือเธอเป็นหนูลองยาของคนไทย หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง

แต่ที่แน่นอนคือ เธอเป็นคนที่ทักษิณไว้ใจมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการเล่นและแปลงหุ้น รวมทั้งยังเป็นผู้หนึ่งที่ทักษิณสามารถใช้งานด้านการเงินได้อย่างแนบเนียน

ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนเงินเพื่อการปฏิวัติพฤษภาหฤโหด 2553 เพราะเธอถอนเงินในวันที่ 28 เมษายน 2554 ถึง 140 ล้านบาท

หากเธอได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง ทักษิณก็เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่บริหารจากนอกประเทศ เพราะทักษิณอกหักจากนายสมัคร สุนทรเวช นายเนวิน ชิดชอบ และผิดหวังต่อความอ่อนแอของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์น้องเขย

การเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้จะเป็นวันสำคัญยิ่งของทักษิณ เพราะว่าชะตาชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ชะตาชีวิตคนกรุงเทพฯ คงจะกลับไปเป็นอย่างเมื่อปี 2548 จนถึงปัจจุบัน หากเสื้อแดงครองเมือง และเงินเป็นพลังของทักษิณ และอย่างที่มีคำกล่าวข้างถนนว่า “มีเงินซะอย่าง ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด” แต่สงสารประเทศไทยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น