แวดวงธุรกิจระดับโลกในปัจจุบัน
ต่างยอมรับกันว่าไอเดียเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าเงินทุน
อย่างเช่นเฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์นั้น
มีมูลค่าเป็นร้อยเป็นพันล้านดอลล์ได้เพราะไอเดีย
ไม่ใช่เพราะอาศัยการระดมทุนอย่างมโหฬารตอนเริ่ม
ไอเดียดีๆมักไม่ได้เกิดจากการตั้งใจเค้นคิด
แต่มันจะมาตอนไม่ได้คิดมาก
เช่น ขณะเล่นกีฬา ขณะออกกำลังกาย
ขณะขับรถ ขณะคุยเล่น หรือขณะกำลังอาบน้ำเพลินๆ
พูดให้รวบรัดคือไอเดียดีๆมักมา
ขณะที่เรากำลังให้อิสระกับความคิด
โดยเฉพาะความคิดที่มีทุนเดิมเป็นการตกผลึกแล้ว
ในสาขาอาชีพด้านใดด้านหนึ่งที่เราคร่ำหวอดอยู่กับมันนานพอ
และอิสระทางความคิดนั้น จะต้องไม่ถูกจำกัดด้วยข้อแม้ใดๆ
ไม่ว่าจะเป็นความกลัวคิดผิด ตัดสินใจพลาด
หรือประสบกับความล้มเหลวเมื่อจะลองเอาไอเดียไปใช้จริง
มองจากมุมที่กล่าวแล้วข้างต้น
อุปสรรคที่ปิดกั้นไอเดียดีๆของคนส่วนใหญ่ ได้แก่
๑) ไม่มีความเต็มใจพอจะเอาธุระ
เอาใจใส่กับงานมากพอจะตกผลึกทางความคิดในงาน
๒) ไม่กล้าคิดเองคนเดียว กลัวผิด
ต้องอาศัยมติที่ประชุมเป็นหลัก
เผื่อพลาดขึ้นมาจะได้มองว่าเป็นมติจากที่ประชุม
๓) ดูแคลนความคิดอันเกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระยามว่าง
สำคัญว่าความคิดที่เกิดจากการจงใจเค้นบนโต๊ะทำงาน
จึงจะเอามาใช้งานจริงได้
ปัจจุบันมีคอร์สอบรมสร้างไอเดียเด็ด
ซึ่งก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง
เพราะไม่ขึ้นอยู่กับคอร์สอย่างเดียว
ทัศนคติ ความเชื่อ ตลอดจนความรู้ความสามารถ
ของผู้เข้ารับการอบรมต้องมีความพร้อมพอจะรับด้วย
แต่ถ้าคุณฝึกเจริญสติโดยมีความเข้าใจที่ถูกต้องนำหน้า
คุณอาจพบว่าไอเดียดีๆที่เกิดขึ้นจะไม่สูญเปล่าอีกต่อไป
เพราะเมื่อเจริญสติอยู่ด้วยมุมมองและความเข้าใจ
ว่าความคิดฟุ้งซ่านไม่ใช่ตัวคุณ
เห็นว่าไม่มีใครปล่อยมันออกมา และไม่มีใครสั่งระงับมันได้
ใจของคุณจะไม่มีลักษณะครอบงำความคิด
เห็นมันเป็นภาวะคลื่นลมที่เกิดขึ้นในหัวเป็นคราวๆ
ไม่เอาถูกเอาผิดกับมัน ไม่กลัวเสียหน้าเพราะมัน
ไม่ต้องรู้สึกผิดจากการที่มันปรากฏขึ้นในหัวคุณ
และขณะเดียวกันก็ไม่ไปโลภมากจะขุดทองจากมันด้วย
แทนการรำคาญความฟุ้งซ่าน
คุณจะมีความสุข ความพอใจ
ที่ตัวเองมีความสามารถเห็นความฟุ้งซ่านเกิดเองได้หายเองได้
วิธีเริ่มต้นก็ไม่ยากเย็นอย่างที่คิด
แค่ตัดความอยากหายฟุ้งซ่านออกไปเป็นอันดับแรก
แล้วยอมรับตามจริงว่ากำลังฟุ้งซ่าน
เริ่มฝึกคุณจะเห็นแต่อาการตั้งอยู่ของมัน
แต่ไม่นานคุณจะเห็นการดับไปของมันด้วย
เมื่อเห็นความตั้งอยู่และดับไปของความฟุ้งซ่านบ่อยขึ้น
ไม่นานเช่นกัน จิตของคุณจะสงัดเงียบบ่อยขึ้น
และจากตรงนั้น คุณจะเริ่มเห็นว่าขณะใดวินาทีไหน
ที่ความฟุ้งซ่านเริ่มก่อตัวขึ้นจากความสงัดเงียบของจิต
ผลพลอยได้ที่จะตามมาเอง คือใจที่เปิดกว้าง
ยอมให้ทุกความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น
โดยไม่ยอมให้จิตพลอยซัดส่ายตามความฟุ้งซ่านไปด้วย
คุณอาจรู้หรืออาจไม่รู้ ว่าคลื่นความฟุ้งซ่านหนึ่งๆ
มันซัดพาเรื่องใดมากระทบใจ
แต่ที่แน่ๆคือจะไม่หลงติดอยู่
กับคลื่นความคิดระลอกใดระลอกหนึ่ง
นั่นแปลว่าในร้อยความฟุ้งซ่าน
ถ้าจับพลัดจับผลูเกิดความคิดแปลกใหม่
ผสมโยงใยระหว่างความฟุ้งซ่านหนึ่งกับอีกความฟุ้งซ่านหนึ่ง
แล้วคุณรู้สึกว่ามันเข้าท่า มันใช้ได้ มันน่าจะเป็นที่ยอมรับ
ก็จะเกิดการประมวลผลเองของจิต
คิดต่อยอดเอามาผสมผสาน ประดิดประดอยให้ประณีต
และนำมาใช้จริงได้ในที่สุด
ถ้าใครยังสงสัยว่าการเจริญสติจะมีผล
ให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงหรือไม่
ก็ขอให้ลองพิจารณาว่ายิ่งเจริญสติ
จะยิ่งช่วยให้ไอเดียเจริญขึ้นได้จริงหรือไม่
ดังตฤณ
พฤษภาคม ๕๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น