++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

“พรานไทย” สุรินทร์เหยื่อคุกเขมร บวชแทนคุณผู้ช่วยเหลือ - เปิดใจชีวิตเรือนจำสุดลำบาก

“พรานไทย” สุรินทร์เหยื่อคุกเขมร บวชแทนคุณผู้ช่วยเหลือ - เปิดใจชีวิตเรือนจำสุดลำบาก

สุรินทร์- “2 ใน 3” พรานไทยชาวสุรินทร์ เหยื่อคุกเขมรบวชแก้บน-ตอบแทนบุญคุณผู้ช่วยเหลือพ้นคุกกลับบ้านเกิดแผ่นดิน ไทยปลอดภัย เปิดใจชีวิตในเรือนจำกัมพูชา 4 เดือน 2 วันสุดลำบาก ได้กินข้าวคุณภาพต่ำกับผัดผักบุ้ง-คะน้า-แกงมะละกอวันละ 2 มื้อ เผยหากทะเลาะกันจะถูกลงโทษด้วยการตีจนสลบ แต่โชคดียังพอได้รับการดูแลดีจากผู้คุมในเรือนจำ เหตุผู้บังคับบัญชากำชับไว้ เกรงถูกประจาน

วันนี้ (10 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนอง วงศ์เจริญ และนายลิ้ม พวงเพชร ชาวบ้านตาโมม ต.สะกาด อ.สังขะ จ.สุรินทร์ 2 ใน 3 ชาวไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัวไปดำเนินคดี ขณะหาของป่าล่าสัตว์และพลัดหลงเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 ส.ค.53 และศาลจังหวัดเสียมราฐตัดสินลงโทษจำคุก 18 เดือน ก่อนได้รับอภัยโทษปล่อยตัวกลับประเทศไทยในโอกาสครบรอบ 60 ปีสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.53 ที่ผ่านมา หลังถูกคุมขังนานเป็นเวลา 4 เดือน 2 วันนั้น

ล่าสุดขณะนี้ นายสอง วงศ์เจริญ และนายลิ้ม พวงเพชร 2 ใน 3 คนไทยชาวสุรินทร์ดังกล่าว ได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์อยู่ที่วัดเต่าทอง บ้านตาโมม ต.สะกาด อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เพื่อเป็นการแก้บน และตอบแทนผู้มีพระคุณทุกคนที่ให้การช่วยเหลือจนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวจาก เรือนจำจังหวัดเสียมราฐกลับแผ่นดินไทยบ้านเกิดอย่างปลอดภัย ซึ่งได้เข้าพิธีอุปสมบทพร้อมกัน เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้ฉายาเป็น “พระสนอง ฐานุตตโร” และ “พระลิ้ม วิชโย”

พระสนอง ฐานุตตโร กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การบวชหลังจากได้ รับการปล่อยตัวจากเรือนจำจังหวัดเสียมราฐกัมพูชาครั้งนี้ เพื่อแก้บนที่บรรดาญาติพี่น้องได้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลวงพ่อใหญ่ ที่วัดเต่าทอง บ้านตาโมมแห่งนี้ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อายุนับร้อยปี และตนได้บนบานไว้ว่าหากได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำจะบวชเแก้บนเป็นเวลา 7 วัน พร้อมทั้งตั้งใจจะบวชเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ ทุกคนที่ให้การช่วยเหลือ จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ กลางจังหวัดเสียมราฐ เร็วกว่าโทษที่ศาลตัดสินไว้ถึง 18 เดือน

พระสนองกล่าวอีกว่า ภายในเรือนจำกลางจังหวัดเสียมราฐ มีนักโทษอยู่หลายเชื้อชาติ ที่ถูกคุมขังอยู่ที่คุกแห่งนี้ แต่มีนักโทษชาวเขมรอยู่เป็นจำนวนมากที่สุด รวมนักโทษในเรือนจำทั้งหมดกว่า 3,000 คน โดยหนึ่งห้องขังจะมีนักโทษอยู่รวมกันอย่างแออัด 8-11 คนและไม่มีการตีตรวน ไม่กำหนดแดนว่าแดนไหนเป็นนักโทษทำผิดอะไรมา แต่จะถูกปล่อยให้อยู่รวมกันทั้งหมด หากมีการทะเลาะกัน ผู้คุมภายในเรือนจำจะทำการลงโทษอย่างหนัก ด้วยการตีจนกระทั่งสลบก็มี ต้องเอาน้ำเย็นมาสาดใส่เพื่อให้ฟื้นขึ้นมา

ส่วนอาหารการกินนั้นลำบากมาก เพราะได้กินข้าวเพียง 2 มื้อต่อวัน คือช่วงเช้า ในเวลา 10.00 น. และช่วงเย็นเวลา 14.00 น. ข้าวที่ได้รับมาก็จะได้เป็นถ้วยเล็กๆ กินไม่อิ่ม เพราะนักโทษมีจำนวนมาก อีกทั้งเป็นข้าวเมล็ดสีแดง มีเมล็ด ดอกหญ้าผสมอยู่เยอะมาก สำหรับกับข้าวหรือ อาหาร ส่วนใหญ่จะเป็นผัดผักบุ้ง ผัดคะน้า แกงมะละกอ และ ใน 1 วันอนุญาตให้ออกจากห้องขังได้ 2 ครั้ง

“อย่างไรก็ตาม นักโทษชาวไทยก็ยังได้รับการดูแลจากผู้คุมเรือนจำดีกว่านักโทษชาวกัมพูชา เพราะเขาเกรงว่าจะนำเรื่องความเดือดร้อน แจ้งเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย แล้วผู้คุมจะได้รับความเดือดร้อนถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ” พระสนอง กล่าว

พระสนองกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้พูดคุยนักโทษชาวกัมพูชาที่พูดภาษาไทย ได้ เพราะเคยมาทำงานที่จังหวัดสุรินทร์ เขาบอกว่าชอบที่จะมาทำงานเมืองไทย เพราะรายได้ดี และติดคุกในเมืองไทยดีกว่าคุกในกัมพูชา เพราะคุกในเมืองไทยมีการดูแลจากผู้ถูกคุมขังเป็นอย่างดี มีอาหารให้กินอิ่ม ส่วนที่ถูกจับกุมมาขังคุกในประเทศตัวเอง เพราะมีคดี ลักลอบขโมยรถจักรยานยนต์ ในจังหวัดเสียมราฐ

“อาตมาและพระลิ้ม วิชโย ขอฝากขอบคุณรัฐบาลไทย รัฐบาลกัมพูชา อดีตผู้ว่าฯ สุรินทร์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ไทยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนักธรุกิจไทยชาว จ.ตราด ที่สนิทสนมกับทางการกัมพูชา ญาติพี่น้องทุกคน และผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้พยายามช่วยเหลือพวกเราทั้ง 3 ทุกวิถีทางจนได้รับการปล่อยตัวเดินทางกลับประเทศไทยอย่างปลอดภัย” พระสนอง ฐานุตตโร กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น