"ภิกษุทั้งหลาย เรื่อง ๔ อย่างนี้ไม่ึงคิด ใครขืนคิดจะพึงมีส่วนเป็นบ้า เรื่อง ๔ อย่างคิอ พุทธวิสัย ฌานวิสัย กัมมวิปากวิสัย และโลกจินตา
ภิกษุทั้งหลาย เรื่อง ๔ อย่างเหล่านี้และไม่พึงคิด ใครขืนคิดจะพึงมีส่วนเป็นบ้า"
พุทธวจนะสั้นๆ นี้ ตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ขออธิบายประกอบเพื่อเข้าใจง่ายดังนี้
๑ พุทธวิสัย หมายถึงพระปรีชาญาณของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งเหนือสามัญมนุษย์ธรรมดา เพราะพระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน ทรงมี ื"ทศพลญาณ" (พระญาณอันเป็นกำลังของพระทศพล) ๑๐ ประการ ทรงมี "สัพพัญญุตญาณ" (พระญาณหยั่งรู้สิ่งทั้งปวง) ที่คนอื่นไม่มี การทรงแสดงปาฎิหาริย์ (เช่น ยมกปาฎิหาริย์) ก็ดี การที่ทรงพระฉายพระรัศมีไปเสมือนพระองค์ประทับอยู่เฉพาะหน้บุคคลที่ทรงต้อง การโปรดก็ดี ล้วนเป็นพุทธวิสัยทั้งสิ้น
๒ ฌานวิสัย หมายถึงความสามารถพิเศษของผู้ได้ฌานและอภิญญา เช่น ตาทิพย์ หูทิพย์ อันเป็นอำนาจหนือคนธรรมดา เป็นผลแห่งการฝึกฝนทางจิต สิ่งเหล่านี้มีจริงเป็นไปได้จริง คนที่ไม่เคยฝึกฝน ไม่เคยสัมผัส มัวแต่คิดว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ไม่พ้นกลายเป็นคนบ้า อาแค่ง่ายๆ เรานั่งอยู่ตรงนี้ มีกล้องทีวีจับอยู่ตรงหน้าเรา แต่ภาพและเสียงของเราไปปรากฎในจอสี่เหลี่ยมตามบ้านเรือนต่างๆ ไกลๆ ได้อย่างไร ใครขืนคิดก็ไม่พ้นบ้า เรื่องฌานและอภิญญาลึกล้ำกว่านี้หลายเท่านัก
๓ กัมมวิปากวิสัย การให้ผลของกรรมที่ทำไว้ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่ว เป็นความอัศจรรย์ กรรมมีกลไกของมันเองโดยเฉพาะมนุษย์ปุถุชนไม่สามารถจะหยั่งคาดได้ รู้เพียงว่ากรรมที่ทำลงไปแล้วนั้นจะให้ผล ส่วนจะให้ผลอย่างไร เมื่อใด ปุถุชนมิสามารถหยั่งคาดได้
๔ โลกจินตา การคิดเรื่องโลก อย่าไปคิดเลยว่า โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร จะสิ้นสุดลงเมื่อใด พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างไร คิดไปก็ไม่รู้จริงๆ ดอก ที่ใครให้ให้คำตอบไว้ก็คิดเอาเองทั้งนั้น ถูกซักมากๆ เข้าก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน "ไม่เป็นไรน่า อย่าคิดมาก เดี๋ยวจะไปกันใหญ่"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น